“พระชายา หมอเทวดาหวามาแล้วเพคะ! ”
“เชิญเข้ามา! ”
ในที่สุดซูจิ่นซีก็ไม่ ‘กลั่นแกล้ง’ ซูอวี้อีกแล้ว
ซูอวี้ก็ยืนอย่างเชื่อฟังอยู่ข้างกายของซูจิ่นซี
“ข้าน้อยคำนับพระชายา! ”
หลังจากที่หมอเทวดาหวาเข้าประตูมาก็ทำความเคารพซูจิ่นซี
“ลุกขึ้นเถิด! มารยาทเหล่านี้ก็ละเว้นเสีย เรื่องของอวี้เอ๋อร์ท่านอ๋องคงบอกท่านแล้วใช่หรือไม่? ” ซูจิ่นซีถามอย่างตรงไปตรงมา
“ท่านอ๋องบอกแล้วพ่ะย่ะค่ะ คุณชายน้อยอวี้ต้องการเข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือกผู้สืบทอดของสกุลซูและมีเวลาเตรียมตัวเพียงเจ็ดวัน พระชายาโปรดวางพระทัย ในเวลาเจ็ดวันนี้ข้าน้อยจะสอนคุณชายน้อยอวี้เป็นอย่างดีแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ เมื่อถึงเวลานั้น ในการแข่งขันคุณชายน้อยอวี้จะไม่ทำให้พระชายาเสียพระพักตร์อย่างแน่นอน”
“ดี ในเมื่อหมอเทวดาหวามั่นใจถึงเพียงนี้แล้ว ข้าผู้นี้ก็ไม่กังวลอีกต่อไป เริ่มกันตั้งแต่วันนี้เถิด! ในช่วงนี้ท่านไม่จำเป็นต้องกลับไปที่วิหารวิญญาณแล้ว พักเสียในจวน ข้าจะให้พ่อบ้านจัดที่พักให้ท่าน ทุกวันตื่นในยามเหมา [1] และพักผ่อนตอนกลางคืนในยามไฮ่ [2] อวี้เอ๋อร์ เจ้าก็เช่นกัน”
ซูจิ่นซีกล่าวกับหมอเทวดาหวา และกล่าวกับซูอวี้เช่นเดียวกัน
“พ่ะย่ะค่ะ พระชายา”
“ท่านพี่จิ่นซี อวี้เอ๋อร์ทราบแล้ว”
กลับมาเชื่อฟังอีกครั้งแล้ว? ไม่โกรธเคืองแล้วหรือ?
ซูจิ่นซีเหลือบมองซูอวี้อย่างมีนัยลึกซึ้ง ทั้งยังขยิบตาให้ซูอวี้อีกด้วย
ปรากฏว่าเด็กนี่หน้าแดงเสียแล้ว
เด็กอายุเท่านี้จะรู้กระไรเล่า?
คาดไม่ถึงว่าจะหน้าแดง!
“เอาล่ะ! กล่าวมากมายถึงเพียงนี้ ไปเรียนเถิด! ตามพ่อบ้านไป ข้าจะวางแผนเรื่องสถานที่ให้พวกเจ้า”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
หมอเทวดาหวากับซูอวี้เดินออกประตูไปด้วยกัน ตามหลังพ่อบ้านออกไป
ซูจิ่นซีไม่ได้วางแผนจัดสถานที่เรียนของซูอวี้ในเรือนชิงโยวไว้ เยี่ยโยวเหยามิชอบให้เรือนชิงโยวถูกรบกวนโดยผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ประเด็นนี้ซูจิ่นซีรู้ดียิ่ง หากมีคนมากเกินไปจะทำให้เยี่ยโยวเหยาโกรธเคือง ถึงเวลานั้นผู้ที่เสียเปรียบคงเป็นตัวนางเอง
ซูจิ่นซีเป็นคนฉลาด นางไม่หาความยุ่งยากมาใส่ตนหรอก
หลังจากที่หมอเทวดาหวาและซูอวี้จากไป แม่นมฮวาก็เข้ามาด้วยใบหน้าลำบากใจราวกับกลัวซูจิ่นซีมากอย่างใดอย่างนั้น
“พระชายาเพคะ! ”
“อืม” ซูจิ่นซีส่งเสียงตอบกลับเล็กน้อย
“พระชายาเพคะ? ”
“มีเรื่องอันใด พูด! ”
เมื่อใดกันที่แม่นมฮวากลายเป็นอืดอาดยืดยาดถึงเพียงนี้?
“พระชายา นี่… ”
“แม่นมฮวา ตกลงว่าเจ้ามีเรื่องอันใดกันแน่? ”
ซูจิ่นซีรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็พบแม่นมฮวากำลังถือถาดอยู่ จึงกล่าวว่า “วางตรงนี้ก็พอ แม่นมฮวา ปกติเจ้าก็เป็นผู้ที่ซื่อตรงผู้หนึ่ง เหตุใดวันนี้จึงอ้อมค้อมลังเลถึงเพียงนี้? มีเรื่องอันใดพูดมาตรงๆ ไม่ได้หรือ? ”
แม่นมฮวามองไปยังใบหน้าของซูจิ่นซี นางลดถาดในมือลงอย่างไม่สบายใจ เพื่อให้ซูจิ่นซีได้เห็นสิ่งของที่อยู่บนถาด
ซูจิ่นซีมองแวบเดียวก็พลันโกรธเคืองขึ้นมาทันที
“แม่นมฮวา ข้าไม่ได้บอกไปแล้วหรอกหรือ? ต่อไปนี้ห้ามทำน้ำแกงไก่ตุ๋นโสม ข้าทานสิ่งนี้จนแทบจะอาเจียนอยู่แล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังทำอีกเล่า? ”
สีหน้าของแม่นมฮวายิ่งลำบากใจมากขึ้น “พระชายา ข้าน้อยก็ไม่อยากทำเช่นกันเพคะ ทว่าเป็นท่านอ๋องที่ขอให้ข้าน้อยทำ ท่านอ๋องได้สั่งให้คนไปซื้อไก่มาสิบตัวและโสมร้อยปีสิบหัว เมื่อส่งมาแล้วก็รับสั่งให้ข้าน้อยตุ๋นให้ท่านทุกวันเพคะ”
“กระไรนะ? ”
มุมปากของซูจิ่นซีกระตุก นางลุกขึ้นจากเก้าอี้ในทันที
ทว่าเนื่องจากนั่งนานเกินไป กอปรกับที่เมื่อคืนซูจิ่นซีเสียเลือดไปมาก ร่างกายจึงอ่อนแอจนแทบจะหมดสติอีกครั้ง
แม่นมฮวารีบวางถาดในมือและเข้าไปพยุงซูจิ่นซีไว้
นางกล่าวเกลี้ยกล่อมว่า “พระชายาเพคะ ข้าน้อยรู้ว่าท่านไม่ชอบดื่ม ทว่านี่เป็นความตั้งใจของท่านอ๋องต่อท่านเช่นกัน! นอกจากนี้ร่างกายของท่านยังอ่อนแออยู่มาก หากท่านไม่รีบบำรุงร่างกาย ต่อไป… ต่อไปจะรับใช้ท่านอ๋องได้อย่างไรกัน? ”
แม่นมฮวาไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นในตำหนักฝูอวิ๋นเมื่อคืนนี้ นางรู้เพียงว่าคืนวานซูจิ่นซีนอนที่ตำหนักฝูอวิ๋นของเยี่ยโยวเหยาและไม่ได้ออกมาทั้งคืน ดังนั้นจึงเริ่มคิดสกปรกขึ้นมาอีกครั้งโดยธรรมชาติ
แม่นมฮวาคิดว่าซูจิ่นซีได้รับความโปรดปรานจากเยี่ยโยวเหยาจนร่างกายย่ำแย่ถึงเพียงนี้
นางเป็นผู้เดียวที่มีแรงกังวลเกี่ยวกับชีวิตทางเพศในอนาคตของซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาอย่างไม่หยุดหย่อน
“แม่นมฮวา ตาของเจ้าบอดแล้วหรืออย่างไร? ข้าเพียงเสียเลือดมาก! ”
ซูจิ่นซีมองแม่นมฮวาและแกว่งข้อมือที่มีผ้าพันแผลของตนไปยังเบื้องหน้านาง
แม่นมฮวาชะงักไปครู่หนึ่ง นางถอนหายใจด้วยใบหน้าสลด “เฮ้อ… ท่านอ๋องนี่ก็จริงเชียว เขาป่วยจนกลายเป็นเช่นนั้นแล้วยังมีกะจิตกะใจตอกย้ำผู้อื่น คงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่รู้จักเกรงใจพระชายาท่าน”
แม่นมฮวาคิดว่าสวรรค์รู้ดีว่าเมื่อคืนท่านอ๋องทรงตอกย้ำพระชายาอย่างไร
หลังจากนั้นไม่นาน แม่นมฮวาก็มองไปที่ซูจิ่นซีอีกครั้งและกล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม พระชายา…ท่านก็จริงๆ เลยนะเพคะ! ”
“…”
ใบหน้าซูจิ่นซีมืดหม่นลงทันใด
เหตุใดจึงตำหนินางได้ นางผิดหรือ?
แม่นมฮวาถอนหายใจอีกครั้ง แม้จะรู้ว่าไม่มีผู้ใดอยู่ใกล้ๆ ทว่านางก็ยังขยับเข้าไปใกล้ซูจิ่นซีและกระซิบกระซาบว่า “พระชายา ท่านอ๋องยังทรงเยาว์วัยจึงมีพลังมาก กลางคืนย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงไม่ไยดีท่านได้ ทว่าท่านร้องขอความเมตตาได้นี่เพคะ! แท้จริงแล้วเมื่อบุรุษเผชิญหน้ากับสตรีที่ตนเองโปรดปราน ตราบใดที่สตรีร้องขอความเมตตาก็จะใจอ่อน ยิ่งไปกว่านั้นท่านอ๋องยังทรงหวงแหนท่านมาก ทว่าเหตุใดท่านจึงคิดไม่ได้เล่าเพคะ? ต้อง… ต้องฆ่าตัวตายเลยหรือ? ท่านดูสิ ท้ายที่สุดผู้ที่เป็นทุกข์ก็คือท่านไม่ใช่หรือ? ”
นี่แม่นมฮวากำลังคิดกระไรอยู่?
หรือนางคิดว่า เป็นเพราะซูจิ่นซีรับไม่ไหวกับเยี่ยโยวเหยานางจึง… ฆ่าตัวตาย?
ให้ตายเถิด!
หญิงชราสกปรกผู้นี้ นางอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว!
ซูจิ่นซีพยายามอย่างหนักครู่ใหญ่กว่าจะระงับความโกรธในใจลงได้ นางพยายามวาดรอยยิ้มที่อ่อนโยนมากที่สุดบนใบหน้าและพูดอย่างใจเย็นเท่าที่จะทำได้ว่า “แม่นมฮวา! ”
“เพคะพระชายา! ”
แม่นมฮวาตอบรับโดยไม่ทันสังเกตถึงน้ำเสียงอันตรายแต่อย่างใด
“ข้าขอร้องเจ้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่? ”
แม่นมฮวายังคงไม่สังเกตเห็นถึงอันตรายใดๆ นางคิดว่าซูจิ่นซีกำลังถือหางนาง จึงเจียมเนื้อเจียมตัวก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม “พระชายา ท่านกล่าวเช่นนี้กำลังฆ่าข้าน้อยนะเพคะ พูดขอร้องกระไรเช่นนี้ ข้าน้อยรับผิดชอบไม่ไหว มีเรื่องอันใดเพียงท่านสั่งข้าน้อยก็พอเพคะ”
“รับผิดชอบไหวสิ เหตุใดจึงรับผิดชอบไม่ไหวเล่า? ท่านอ๋องเองก็ถูกเจ้าเลี้ยงดูมาจนโต ความชอบของท่านนั้นใหญ่หลวงนัก! ”
แม่นมฮวายังคงไม่สังเกตเห็นใบหน้าที่มืดมนของซูจิ่นซี นางกล่าวอย่างเขินอายและถ่อมตนมากขึ้น “พระชายา ท่านทำให้ทาสแก่อย่างข้ามีความสุขจนแทบรับไม่ไหวเสียแล้วเพคะ! ”
ใบหน้าของซูจิ่นซีมืดมน “แม่นมฮวา ข้าไม่ได้ให้เจ้ามีความสุขจนแทบรับไม่ไหว! ข้าจะขอร้องเจ้าว่าหลังจากนี้ขอให้ไปให้ไกลจากข้าเท่าที่จะไกลได้ ไปไกลๆ อย่ามาปรากฏตัวสกปรกอยู่ต่อหน้าข้าอีก ได้หรือไม่? ”
“หือ? ”
เดิมทีแม่นมฮวามีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า เมื่อได้ยินสองประโยคหลังที่ซูจิ่นซีกล่าว รอยยิ้มบนใบหน้าก็พลันชะงักลงทันที นางไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเป็นเวลานาน ทว่าท่าทางของซูจิ่นซีดูเหมือนจะไม่ได้ล้อเล่น “พระชายา เพราะกระไรกัน? ข้าน้อยทำเรื่องอันใดผิดหรือเพคะ? ”
“แม่นมฮวา เจ้าไม่ได้ทำเรื่องอันใดผิดเลย เป็นข้าที่ผิด! ”
นางรู้แล้ว นางไม่ควรข้ามภพมายังสถานที่นรกเช่นนี้ตั้งแต่แรก
“แม่นมฮวา จากนี้ไปเจ้าจะอาศัยอยู่นอกเรือนชิงโยว ไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวเข้ามาในเรือนชิงโยวแม้แต่ก้าวเดียว มิฉะนั้นในจวนโยวอ๋องนี้ มีเจ้าก็จะไม่มีข้า มีข้าก็จะไม่มีเจ้า! ”
น่ารังเกียจเกินไปแล้ว!
แม่นมฮวาเชื่อว่าตนเองเป็นคนชราข้างกายเยี่ยโยวเหยา เมื่อพูดต่อหน้าซูจิ่นซีกระทั่งปากก็ไม่มีหูรูด ควรพูดหรือไม่ควรพูดล้วนเอ่ยออกมาทั้งหมด ผู้ที่อยู่ข้างกายเช่นนี้ช่างน่ารำคาญเสียจริงเชียว
อย่าคิดให้มากจนเกินงาม เจ้าไม่มีสิทธิ์
“ทหาร! พาแม่นมฮวาออกไป หากผู้ใดกล้าให้นางเข้ามาในเรือนชิงโยว คนผู้นั้นจะโดนรับโทษเช่นเดียวกับแม่นมฮวา! ”
ซูจิ่นซีตะโกนออกมา ทันใดนั้นก็มีคนเดินเข้ามาพาแม่นมฮวาออกไป
ก่อนจากไปแม่นมฮวายังตะโกนว่าตนไม่ผิด ไม่รู้ว่าตนผิดที่ใด
“ซูจิ่นซี เจ้าจะต่อต้านข้าอย่างจริงจังใช่หรือไม่? ”
ทันใดนั้น เสียงของเยี่ยโยวเหยาก็ดังมาจากด้านนอกประตู
แม่นมฮวาหันศีรษะไปมองในทันที เห็นแผ่นหลังของเยี่ยโยวเหยาก้าวขึ้นบันไดเรือนอวิ๋นไคทีละก้าวๆ ดวงตาคู่นั้นของนางราวกับได้เห็นฝนทันเวลา [3] อย่างไรอย่างนั้น
……