แม่นมฮวารีบดิ้นจนหลุดจากการควบคุมขององครักษ์ทั้งสอง นางวิ่งไปที่เท้าของเยี่ยโยวเหยา กอดขาของเยี่ยโยวเหยาและร้องไห้ว่า “ท่านอ๋องเพคะ ได้โปรด ได้โปรดพูดกับพระชายาแทนข้าน้อยนะเพคะ น้ำแกงไก่ตุ๋นโสมนั่นท่านอ๋องสั่งข้าน้อยทำ ข้าน้อยถึงจะกล้าตุ๋นให้กับพระชายา ไม่ใช่ความเห็นส่วนตัวของข้าน้อยเอง ท่านโปรดอ้อนวอนพระชายาแทนข้าน้อย ได้โปรดเพคะ!”
ทว่าเยี่ยโยวเหยาทำราวกับไม่ได้ฟังเสียอย่างนั้น เขาเตะแม่นมฮวาออกไป และก้าวขึ้นบันไดอย่างนิ่งสงบทีละก้าวๆ ไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของซูจิ่นซี
มือข้างหนึ่งบีบแขนของซูจิ่นซีไว้ มืออีกข้างบีบคางของซูจิ่นซีและกล่าวขึ้นว่า “ซูจิ่นซี ในสายตาของเจ้ายังมีสามีผู้นี้หรือไม่? ”
“… ” ใบหน้าของซูจิ่นซีมึนงงขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าบอกเจ้าก่อนจากไปว่าอย่างไร เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวออกจากตำหนักฝูอวิ๋น เจ้าถือเอาคำพูดของข้าเป็นเพียงลมข้างหูใช่หรือไม่? ”
ให้ตายเถิด!
นี่มันเรื่องอันใดกันแน่?
ซูจิ่นซีคิดว่าเยี่ยโยวเหยาโกรธเกรี้ยวเนื่องจากเรื่องของแม่นมฮวา!
ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้หรอกหรือ?
บัดนี้แม่นมฮวากับเยี่ยโยวเหยาเหยาเหมือนดั่งประโยคนั้นที่ว่า ‘พ่อครัวที่ไม่อยากเป็นแม่ทัพไม่ใช่นักขับรถที่ดี [1] ’ อย่างไรอย่างนั้น!
ซูจิ่นซีจ้องไปที่ดวงตาทั้งสองข้างของเยี่ยโยวเหยาอย่างสงบใจเย็น
ความโกรธเกรี้ยว ความเยือกเย็น ความอดทนอดกลั้นและความเงียบสงบ บุคลิกภาพของเยี่ยโยวเหยาทุกอย่าง นอกจากนั้นซูจิ่นซียังเห็นบางสิ่งในดวงตาของเยี่ยโยวเหยาซึ่งไม่ใช่บุคลิกที่เย็นชาของเขาเลยแม้แต่น้อย
นั่นก็คือความกังวล
คนผู้นี้ กระทั่งความเป็นห่วงเป็นใยต่อผู้อื่นยังไม่เคยมีเลยแม้แต่น้อย
เห็นได้ชัดว่าภายในใจกำลังกังวลเกี่ยวกับจิตใจของผู้อื่น กังวลอย่างกับกระไรดี ทว่ากลับต้องใช้วิธีเผด็จการและอำนาจถึงเพียงนี้
ทันใดนั้นสมองของซูจิ่นซีก็นึกอันใดขึ้นมาได้ นางสบมองไปยังดวงตาของเยี่ยโยวเหยาอย่างคาดคั้น
“เยี่ยโยวเหยาเพคะ! ”
สิ่งที่เยี่ยโยวเหยาทนไม่ได้ที่สุดก็คือการกระทำของซูจิ่นซีในลักษณะเช่นนี้ ทั่วร่างชะงักไปชั่วครู่ เยี่ยโยวเหยาบีบแขนของซูจิ่นซีแน่น
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปากและยิ้มเล็กน้อย พลางเอ่ยขึ้นว่า “เยี่ยโยวเหยา ท่านกำลังขอสถานะจากหม่อมฉันอยู่ใช่หรือไม่เพคะ? ”
เยี่ยโยวเหยาไม่เข้าใจความหมายของซูจิ่นซี คิ้วของเขาขมวดเป็นปม
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปากและก้าวเข้าไปใกล้เยี่ยโยวเหยาเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงกระซิบที่ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้นอย่างกล้าหาญว่า “ท่านกำลังขอสถานะกับหม่อมฉัน ในเรื่องนั้นเมื่อครั้งก่อนที่จวนสกุลซูใช่หรือไม่เพคะ? ”
หลังจากพูดคำเหล่านี้ แก้มของซูจิ่นซีพลันแดงก่ำขึ้นมา หัวใจเต้นเป็นจังหวะ “ตึกตักๆ ” ไม่คงที่
เยี่ยโยวเหยาหรี่ตามองไปที่ซูจิ่นซีด้วยความสนใจ
ซูจิ่นซีทำตัวกล้าหาญเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งว่า “หากท่านอ๋องต้องการ ข้าจะพิจารณา เพียงแต่ว่า… ต้องดูการประพฤติตนของท่านอ๋องด้วยนะเพคะ”
แม่นมฮวาที่อยู่ตรงประตูไม่มีความหลาบจำเลยแม้แต่น้อย ในชั่วพริบตาก็เริ่มคิดสกปรกขึ้นมาอีกครั้ง
เพราะไม่ได้ยินคำพูดที่ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยากระซิบกัน นางได้ยินเพียงสองประโยคถัดมา ดังนั้นจึงคิดสัปดนขึ้นมาในทันที
สวรรค์!
พระชายาพูดกระไรกัน?
ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดจึงถูกท่านอ๋องตอกย้ำอย่างน่าอนาถเสียทุกครั้ง นี่ราวกับเป็นการล่อลวงให้เปลือยกายล่อนจ้อน! ล่อลวงชัดๆ !
ในระหว่างที่แม่นมฮวากำลังตกตะลึง เยี่ยโยวเหยาก็อุ้มซูจิ่นซีในท่าเจ้าสาวและหันหลังกลับไปยังตำหนักฝูอวิ๋น
ใบหน้าของซูจิ่นซีซีดเผือด “เยี่ยโยวเหยา ท่านต้องการจะทำกระไรเพคะ ปล่อยหม่อมฉันนะ! ปล่อยเพคะ! ”
“ซูจิ่นซี ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด ครั้งนี้เจ้าหาเรื่องเอง เจ้าจะมาโทษข้าไม่ได้! ”
ซูจิ่นซีที่อยู่ในอ้อมแขนของเยี่ยโยวเหยา นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าการหายใจของเยี่ยโยวเหยาค่อยๆ หนักขึ้นตามการก้าวฝีเท้าของเขา จังหวะการเต้นของหัวใจของเขาก็เร็วขึ้นเช่นกัน
มาถึงจุดนี้แล้ว แม้แต่คนโง่ก็สามารถคาดเดาได้ว่าเยี่ยโยวเหยากำลังคิดสิ่งใดอยู่
นางผิดแล้ว ผิดไปแล้วจริงๆ !
นางไม่ควรยั่วเย้าเยี่ยโยวเหยาเลย
ร่างด้านหลังของแม่นมฮวาที่คุกเข่าตรงบันได ใบหน้าชรามองไปยังด้านหลังของเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซี นางลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ชอบกันแต่ไม่ยอมแสดงออก พระชายานี่ฝีมือชั้นสูงเสียจริง! ไม่แปลกใจที่ท่านอ๋องทรงโปรดปรานนางอย่างรุนแรงถึงเพียงนั้น”
แม้แต่นางที่เป็นหญิงชราในวังมานานก็ยังเทียบไม่เท่าเลย!
แท้จริงแล้วทั้งซูจิ่นซีและแม่นมฮวาล้วนคิดผิด หลังจากที่เยี่ยโยวเหยาอุ้มซูจิ่นซีเข้าไปในตำหนักฝูอวิ๋นก็ไม่ได้กระทำสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย
เขาวางซูจิ่นซีลงบนเตียงหลังใหญ่ของตำหนักฝูอวิ๋น ร่างกายคุกคามเข้าใกล้ซูจิ่นซีอย่างเย็นชา เมื่อซูจิ่นซีคิดว่าครานี้ยากที่จะหลบเลี่ยงอย่างแน่นอน นางกำลังจะขอความเมตตาจากเยี่ยโยวเหยา ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาเต็มไปด้วยความอดกลั้น ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นและตะโกนออกไปข้างนอกว่า “แม่นมฮวา เอาน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมเข้ามา”
“เพคะ ท่านอ๋อง! ”
แม่นมฮวาที่กำลังตกตะลึงกลับมามีสติอีกครั้ง นางตอบรับสุดเสียง รีบยกน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมที่ซูจิ่นซีไม่ชอบที่สุดเข้ามา
เยี่ยโยวเหยาหยิบชามบนถาดและเดินไปที่ด้านข้างของซูจิ่นซี เขาเป่าน้ำแกงไก่อย่างระมัดระวังก่อนที่จะยื่นให้ซูจิ่นซี
“ดื่มเร็ว! ”
เดิมทีซูจิ่นซีไม่ชอบดื่มสิ่งนี้เลยแม้แต่น้อย ทว่าเมื่อเห็นเยี่ยโยวเหยาใส่ใจและอ่อนโยนเช่นนี้ นางกลับปฏิเสธไม่ลง จึงยกชามขึ้นมาแล้วดื่มลงไปจนหมด
“แม่นมฮวา เมื่อครู่เจ้าพูดสิ่งใด? ” ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยาก็ถามขึ้น
แม่นมฮวาตกใจเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าเยี่ยโยวเหยาถามถึงสิ่งใดก็รีบคุกเข่าลงบนพื้นทันที “ท่านอ๋องเพคะ ท่านช่วยข้าน้อยขอร้องหน่อยเถิดเพคะ! ทั้งชีวิตนี้ข้าน้อยปรารถนาอยู่ข้างกายท่านอ๋องและพระชายาตลอดไป ที่ใดก็ไม่อยากไปเพคะ หากข้าน้อยทำสิ่งใดผิดไป ท่านอ๋องและพระชายาจะลงโทษข้าน้อยอย่างไรก็ได้ ขอเพียงอย่าไล่ข้าน้อยไปเลย ข้าน้อยมีชีวิตอยู่อีกไม่นานแล้ว เวลาที่เหลือล้วนต้องการอยู่กับท่านอ๋องและพระชายานะเพคะ! ”
แม่นมฮวารีบพูดออกมายกใหญ่ ลิ้นพันกันจนฟังไม่ชัดถ้อยชัดคำแม้แต่น้อย เยี่ยโยวเหยามองไปยังซูจิ่นซีอย่างไม่เข้าใจ
ซูจิ่นซีกุมหน้าผากอย่างช่วยไม่ได้
เรื่องที่แม่นมฮวาทำสัปดนนั้นจะให้ซูจิ่นซีเอ่ยปากพูดกับเยี่ยโยวเหยาได้อย่างไร!
เมื่อคิดดูแล้ว หากพูดขึ้นมาจริงๆ ความผิดของแม่นมฮวาก็ไม่ใช่ความผิดใหญ่หลวงที่จะให้อภัยไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังเป็นคนที่อยู่ข้างกายของเยี่ยโยวเหยามานานหลายปีถึงเพียงนี้ คงโหดร้ายเกินไปที่จะขับไล่นางออกไป
ภายในใจของซูจิ่นซีให้อภัยแม่นมฮวาแล้ว ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปาก แม่นมฮวาก็คุกเข่าลงกับพื้นข้างกายซูจิ่นซีแล้วเอ่ยขอร้องนาง
“พระชายาเพคะ ยกโทษให้ข้าน้อยสักครั้งเถิดเพคะ! ข้าน้อยรับปากว่าต่อจากนี้ไปจะดูแลท่านและท่านอ๋องเป็นอย่างดี สิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำจะแบ่งแยกให้ชัดเจน จะไม่กวนใจท่านให้โมโหอีกแล้วเพคะ! ”
ดูเหมือนว่าแม่นมฮวายังคงฉลาดไม่น้อย บางทีอาจเข้าใจแล้วว่าตนเองกวนใจซูจิ่นซีให้อารมณ์เสียเรื่องใด
ทว่าซูจิ่นซียังคงต้องการตักเตือนนางเสียหน่อย
“แม่นมฮวา ให้ท่านอยู่ที่นี่ต่อก็ได้ ทว่าหลังจากนี้ต่อไปจงจำไว้ให้ดี แม้ว่าก่อนหน้านี้ท่านจะอยู่ข้างกายท่านอ๋องมาเป็นเวลานาน ทว่าบัดนี้ท่านเป็นคนในเรือนอวิ๋นไคของข้า หากยังคิดว่าตัวอยู่ที่ค่ายของเฉาเชาทว่าใจอยู่ที่ดินแดนฮั่น [2] พระชายาผู้นี้จะไม่ยกโทษให้ท่านอีก แม้ท่านอ๋องจะวิงวอนแทนก็เปล่าประโยชน์! ”
แม่นมฮวาตกใจเล็กน้อย ทว่าก็รีบคำนับซูจิ่นซี “เพคะๆๆ ข้าน้อยจะจำไว้! ข้าน้อยจะรับใช้พระชายาอย่างสุดหัวใจแน่นอนเพคะ! ”
แท้จริงแล้ว คำพูดครึ่งหนึ่งของซูจิ่นซีนั้นมีไว้สำหรับแม่นมฮวาจริงๆ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนางพูดให้เยี่ยโยวเหยาฟัง ผู้ใดใช้ให้เยี่ยโยวเหยาแหกกฎมากมายถึงเพียงนั้นกัน!
ทหารอารักขาด้านนอกยกย่องซูจิ่นซีในฐานะพระชายา ทว่าในช่วงเวลาวิกฤติซูจิ่นซีกลับไม่ใช่แม้แต่ลมที่ผายออกมา กระทั่งไม่มีอิสระในการเข้าและออกจากตำหนักฝูอวิ๋น
คำเสียดสีของซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาฟังไม่เข้าใจ เขามองไปที่ซูจิ่นซีอย่างเจ็บปวดเล็กน้อย
ดวงตาของซูจิ่นซีหันไปด้านข้าง นางมองไปยังเยี่ยโยวเหยาโดยไม่แสดงความอ่อนแอใดๆ
ทันใดนั้นก็เกิดแสงวาบวับระหว่างคนทั้งสองอีกครั้ง
“ซูจิ่นซี นับวันเจ้ายิ่งหาญกล้าขึ้นเรื่อยๆ คาดไม่ถึงว่าจะกล้าเล่นอย่างฉลาดต่อหน้าข้า”
“เยี่ยโยวเหยาเพคะ นี่คือวิธีการหนามยอกเอาหนามบ่ง คนของท่านหม่อมฉันไม่อาจแตะต้องได้ คนของหม่อมฉันท่านก็ไม่อาจคิดที่จะแทรกแซงได้ มิเช่นนั้นยอมไม่เอาเสียดีกว่า”
ดวงตาของเยี่ยโยวเหยามืดหม่นขึ้นทุกที
แม้แต่แม่นมฮวาก็รู้สึกว่าอากาศในห้องมืดครึ้มลงมากอย่างฉับพลัน
ยั่วยุ ยั่วยุ! พระชายายั่วยุท่านอ๋องอย่างรุนแรง
ครานี้ประตูเมืองไฟไหม้ เป็นภัยลามไปถึงปลาในบ่ออย่างแน่นอน [3] แม่นมฮวาแทบรอไม่ไหวที่จะหาทางแอบออกไป
อย่างไรก็ตาม ยามนี้คนที่เป็นกังวลมากกว่าแม่นมฮวาคือทหารอารักขาที่รออยู่ด้านนอกตำหนักฝูอวิ๋น
ในขณะนี้พวกเขายิ่งรู้สึกมากขึ้นว่าหากไม่ใช่พระชายากำลังเสียเปรียบก็ต้องเป็นศีรษะของพวกเขาที่ไม่สามารถเกาะอยู่บนลำคอได้อีกนานนัก
แน่นอนว่าวินาทีต่อมา น้ำเสียงเยือกเย็นของเยี่ยโยวเหยาก็ดังออกมาจากตำหนักฝูอวิ๋นว่า “ทุกคน ฟังคำสั่ง…”
……