สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 143 ฟังคำสั่งของข้า

        แม่นมฮวารีบดิ้นจนหลุดจากการควบคุมขององครักษ์ทั้งสอง นางวิ่งไปที่เท้าของเยี่ยโยวเหยา กอดขาของเยี่ยโยวเหยาและร้องไห้ว่า “ท่านอ๋องเพคะ ได้โปรด ได้โปรดพูดกับพระชายาแทนข้าน้อยนะเพคะ น้ำแกงไก่ตุ๋นโสมนั่นท่านอ๋องสั่งข้าน้อยทำ ข้าน้อยถึงจะกล้าตุ๋นให้กับพระชายา ไม่ใช่ความเห็นส่วนตัวของข้าน้อยเอง ท่านโปรดอ้อนวอนพระชายาแทนข้าน้อย ได้โปรดเพคะ!”

        ทว่าเยี่ยโยวเหยาทำราวกับไม่ได้ฟังเสียอย่างนั้น เขาเตะแม่นมฮวาออกไป และก้าวขึ้นบันไดอย่างนิ่งสงบทีละก้าวๆ ไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของซูจิ่นซี

        มือข้างหนึ่งบีบแขนของซูจิ่นซีไว้ มืออีกข้างบีบคางของซูจิ่นซีและกล่าวขึ้นว่า “ซูจิ่นซี ในสายตาของเจ้ายังมีสามีผู้นี้หรือไม่? ”

        “… ” ใบหน้าของซูจิ่นซีมึนงงขึ้นมาอีกครั้ง

        “ข้าบอกเจ้าก่อนจากไปว่าอย่างไร เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวออกจากตำหนักฝูอวิ๋น เจ้าถือเอาคำพูดของข้าเป็นเพียงลมข้างหูใช่หรือไม่? ”

        ให้ตายเถิด!

        นี่มันเรื่องอันใดกันแน่?

        ซูจิ่นซีคิดว่าเยี่ยโยวเหยาโกรธเกรี้ยวเนื่องจากเรื่องของแม่นมฮวา!

        ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้หรอกหรือ?

        บัดนี้แม่นมฮวากับเยี่ยโยวเหยาเหยาเหมือนดั่งประโยคนั้นที่ว่า ‘พ่อครัวที่ไม่อยากเป็นแม่ทัพไม่ใช่นักขับรถที่ดี [1] ’ อย่างไรอย่างนั้น!

        ซูจิ่นซีจ้องไปที่ดวงตาทั้งสองข้างของเยี่ยโยวเหยาอย่างสงบใจเย็น

        ความโกรธเกรี้ยว ความเยือกเย็น ความอดทนอดกลั้นและความเงียบสงบ บุคลิกภาพของเยี่ยโยวเหยาทุกอย่าง นอกจากนั้นซูจิ่นซียังเห็นบางสิ่งในดวงตาของเยี่ยโยวเหยาซึ่งไม่ใช่บุคลิกที่เย็นชาของเขาเลยแม้แต่น้อย

        นั่นก็คือความกังวล

        คนผู้นี้ กระทั่งความเป็นห่วงเป็นใยต่อผู้อื่นยังไม่เคยมีเลยแม้แต่น้อย

        เห็นได้ชัดว่าภายในใจกำลังกังวลเกี่ยวกับจิตใจของผู้อื่น กังวลอย่างกับกระไรดี ทว่ากลับต้องใช้วิธีเผด็จการและอำนาจถึงเพียงนี้

        ทันใดนั้นสมองของซูจิ่นซีก็นึกอันใดขึ้นมาได้ นางสบมองไปยังดวงตาของเยี่ยโยวเหยาอย่างคาดคั้น

        “เยี่ยโยวเหยาเพคะ! ”

        สิ่งที่เยี่ยโยวเหยาทนไม่ได้ที่สุดก็คือการกระทำของซูจิ่นซีในลักษณะเช่นนี้ ทั่วร่างชะงักไปชั่วครู่ เยี่ยโยวเหยาบีบแขนของซูจิ่นซีแน่น

        ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปากและยิ้มเล็กน้อย พลางเอ่ยขึ้นว่า “เยี่ยโยวเหยา ท่านกำลังขอสถานะจากหม่อมฉันอยู่ใช่หรือไม่เพคะ? ”

        เยี่ยโยวเหยาไม่เข้าใจความหมายของซูจิ่นซี คิ้วของเขาขมวดเป็นปม

        ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปากและก้าวเข้าไปใกล้เยี่ยโยวเหยาเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงกระซิบที่ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้นอย่างกล้าหาญว่า “ท่านกำลังขอสถานะกับหม่อมฉัน ในเรื่องนั้นเมื่อครั้งก่อนที่จวนสกุลซูใช่หรือไม่เพคะ? ”

        หลังจากพูดคำเหล่านี้ แก้มของซูจิ่นซีพลันแดงก่ำขึ้นมา หัวใจเต้นเป็นจังหวะ “ตึกตักๆ ” ไม่คงที่

        เยี่ยโยวเหยาหรี่ตามองไปที่ซูจิ่นซีด้วยความสนใจ

        ซูจิ่นซีทำตัวกล้าหาญเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งว่า “หากท่านอ๋องต้องการ ข้าจะพิจารณา เพียงแต่ว่า… ต้องดูการประพฤติตนของท่านอ๋องด้วยนะเพคะ”

        แม่นมฮวาที่อยู่ตรงประตูไม่มีความหลาบจำเลยแม้แต่น้อย ในชั่วพริบตาก็เริ่มคิดสกปรกขึ้นมาอีกครั้ง

        เพราะไม่ได้ยินคำพูดที่ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยากระซิบกัน นางได้ยินเพียงสองประโยคถัดมา ดังนั้นจึงคิดสัปดนขึ้นมาในทันที

        สวรรค์!

        พระชายาพูดกระไรกัน?

        ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดจึงถูกท่านอ๋องตอกย้ำอย่างน่าอนาถเสียทุกครั้ง นี่ราวกับเป็นการล่อลวงให้เปลือยกายล่อนจ้อน! ล่อลวงชัดๆ !

        ในระหว่างที่แม่นมฮวากำลังตกตะลึง เยี่ยโยวเหยาก็อุ้มซูจิ่นซีในท่าเจ้าสาวและหันหลังกลับไปยังตำหนักฝูอวิ๋น

        ใบหน้าของซูจิ่นซีซีดเผือด “เยี่ยโยวเหยา ท่านต้องการจะทำกระไรเพคะ ปล่อยหม่อมฉันนะ! ปล่อยเพคะ! ”

        “ซูจิ่นซี ความอดทนของข้ามีขีดจำกัด ครั้งนี้เจ้าหาเรื่องเอง เจ้าจะมาโทษข้าไม่ได้! ”

        ซูจิ่นซีที่อยู่ในอ้อมแขนของเยี่ยโยวเหยา นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าการหายใจของเยี่ยโยวเหยาค่อยๆ หนักขึ้นตามการก้าวฝีเท้าของเขา จังหวะการเต้นของหัวใจของเขาก็เร็วขึ้นเช่นกัน

        มาถึงจุดนี้แล้ว แม้แต่คนโง่ก็สามารถคาดเดาได้ว่าเยี่ยโยวเหยากำลังคิดสิ่งใดอยู่

        นางผิดแล้ว ผิดไปแล้วจริงๆ !

        นางไม่ควรยั่วเย้าเยี่ยโยวเหยาเลย

        ร่างด้านหลังของแม่นมฮวาที่คุกเข่าตรงบันได ใบหน้าชรามองไปยังด้านหลังของเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซี นางลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ชอบกันแต่ไม่ยอมแสดงออก พระชายานี่ฝีมือชั้นสูงเสียจริง! ไม่แปลกใจที่ท่านอ๋องทรงโปรดปรานนางอย่างรุนแรงถึงเพียงนั้น”

        แม้แต่นางที่เป็นหญิงชราในวังมานานก็ยังเทียบไม่เท่าเลย!

        แท้จริงแล้วทั้งซูจิ่นซีและแม่นมฮวาล้วนคิดผิด หลังจากที่เยี่ยโยวเหยาอุ้มซูจิ่นซีเข้าไปในตำหนักฝูอวิ๋นก็ไม่ได้กระทำสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย

        เขาวางซูจิ่นซีลงบนเตียงหลังใหญ่ของตำหนักฝูอวิ๋น ร่างกายคุกคามเข้าใกล้ซูจิ่นซีอย่างเย็นชา เมื่อซูจิ่นซีคิดว่าครานี้ยากที่จะหลบเลี่ยงอย่างแน่นอน นางกำลังจะขอความเมตตาจากเยี่ยโยวเหยา ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาเต็มไปด้วยความอดกลั้น ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นและตะโกนออกไปข้างนอกว่า “แม่นมฮวา เอาน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมเข้ามา”

        “เพคะ ท่านอ๋อง! ”

        แม่นมฮวาที่กำลังตกตะลึงกลับมามีสติอีกครั้ง นางตอบรับสุดเสียง รีบยกน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมที่ซูจิ่นซีไม่ชอบที่สุดเข้ามา

        เยี่ยโยวเหยาหยิบชามบนถาดและเดินไปที่ด้านข้างของซูจิ่นซี เขาเป่าน้ำแกงไก่อย่างระมัดระวังก่อนที่จะยื่นให้ซูจิ่นซี

        “ดื่มเร็ว! ”

        เดิมทีซูจิ่นซีไม่ชอบดื่มสิ่งนี้เลยแม้แต่น้อย ทว่าเมื่อเห็นเยี่ยโยวเหยาใส่ใจและอ่อนโยนเช่นนี้ นางกลับปฏิเสธไม่ลง จึงยกชามขึ้นมาแล้วดื่มลงไปจนหมด

        “แม่นมฮวา เมื่อครู่เจ้าพูดสิ่งใด? ” ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยาก็ถามขึ้น

        แม่นมฮวาตกใจเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าเยี่ยโยวเหยาถามถึงสิ่งใดก็รีบคุกเข่าลงบนพื้นทันที  “ท่านอ๋องเพคะ ท่านช่วยข้าน้อยขอร้องหน่อยเถิดเพคะ! ทั้งชีวิตนี้ข้าน้อยปรารถนาอยู่ข้างกายท่านอ๋องและพระชายาตลอดไป ที่ใดก็ไม่อยากไปเพคะ หากข้าน้อยทำสิ่งใดผิดไป ท่านอ๋องและพระชายาจะลงโทษข้าน้อยอย่างไรก็ได้ ขอเพียงอย่าไล่ข้าน้อยไปเลย ข้าน้อยมีชีวิตอยู่อีกไม่นานแล้ว เวลาที่เหลือล้วนต้องการอยู่กับท่านอ๋องและพระชายานะเพคะ! ”

        แม่นมฮวารีบพูดออกมายกใหญ่ ลิ้นพันกันจนฟังไม่ชัดถ้อยชัดคำแม้แต่น้อย เยี่ยโยวเหยามองไปยังซูจิ่นซีอย่างไม่เข้าใจ

        ซูจิ่นซีกุมหน้าผากอย่างช่วยไม่ได้

        เรื่องที่แม่นมฮวาทำสัปดนนั้นจะให้ซูจิ่นซีเอ่ยปากพูดกับเยี่ยโยวเหยาได้อย่างไร!

        เมื่อคิดดูแล้ว หากพูดขึ้นมาจริงๆ ความผิดของแม่นมฮวาก็ไม่ใช่ความผิดใหญ่หลวงที่จะให้อภัยไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังเป็นคนที่อยู่ข้างกายของเยี่ยโยวเหยามานานหลายปีถึงเพียงนี้ คงโหดร้ายเกินไปที่จะขับไล่นางออกไป

        ภายในใจของซูจิ่นซีให้อภัยแม่นมฮวาแล้ว ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปาก แม่นมฮวาก็คุกเข่าลงกับพื้นข้างกายซูจิ่นซีแล้วเอ่ยขอร้องนาง

        “พระชายาเพคะ ยกโทษให้ข้าน้อยสักครั้งเถิดเพคะ! ข้าน้อยรับปากว่าต่อจากนี้ไปจะดูแลท่านและท่านอ๋องเป็นอย่างดี สิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำจะแบ่งแยกให้ชัดเจน จะไม่กวนใจท่านให้โมโหอีกแล้วเพคะ! ”

        ดูเหมือนว่าแม่นมฮวายังคงฉลาดไม่น้อย บางทีอาจเข้าใจแล้วว่าตนเองกวนใจซูจิ่นซีให้อารมณ์เสียเรื่องใด

        ทว่าซูจิ่นซียังคงต้องการตักเตือนนางเสียหน่อย

        “แม่นมฮวา ให้ท่านอยู่ที่นี่ต่อก็ได้ ทว่าหลังจากนี้ต่อไปจงจำไว้ให้ดี แม้ว่าก่อนหน้านี้ท่านจะอยู่ข้างกายท่านอ๋องมาเป็นเวลานาน ทว่าบัดนี้ท่านเป็นคนในเรือนอวิ๋นไคของข้า หากยังคิดว่าตัวอยู่ที่ค่ายของเฉาเชาทว่าใจอยู่ที่ดินแดนฮั่น [2] พระชายาผู้นี้จะไม่ยกโทษให้ท่านอีก แม้ท่านอ๋องจะวิงวอนแทนก็เปล่าประโยชน์! ”

        แม่นมฮวาตกใจเล็กน้อย ทว่าก็รีบคำนับซูจิ่นซี “เพคะๆๆ ข้าน้อยจะจำไว้! ข้าน้อยจะรับใช้พระชายาอย่างสุดหัวใจแน่นอนเพคะ! ”

        แท้จริงแล้ว คำพูดครึ่งหนึ่งของซูจิ่นซีนั้นมีไว้สำหรับแม่นมฮวาจริงๆ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนางพูดให้เยี่ยโยวเหยาฟัง ผู้ใดใช้ให้เยี่ยโยวเหยาแหกกฎมากมายถึงเพียงนั้นกัน!

        ทหารอารักขาด้านนอกยกย่องซูจิ่นซีในฐานะพระชายา ทว่าในช่วงเวลาวิกฤติซูจิ่นซีกลับไม่ใช่แม้แต่ลมที่ผายออกมา กระทั่งไม่มีอิสระในการเข้าและออกจากตำหนักฝูอวิ๋น

        คำเสียดสีของซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาฟังไม่เข้าใจ เขามองไปที่ซูจิ่นซีอย่างเจ็บปวดเล็กน้อย

        ดวงตาของซูจิ่นซีหันไปด้านข้าง นางมองไปยังเยี่ยโยวเหยาโดยไม่แสดงความอ่อนแอใดๆ

        ทันใดนั้นก็เกิดแสงวาบวับระหว่างคนทั้งสองอีกครั้ง

        “ซูจิ่นซี นับวันเจ้ายิ่งหาญกล้าขึ้นเรื่อยๆ คาดไม่ถึงว่าจะกล้าเล่นอย่างฉลาดต่อหน้าข้า”

        “เยี่ยโยวเหยาเพคะ นี่คือวิธีการหนามยอกเอาหนามบ่ง คนของท่านหม่อมฉันไม่อาจแตะต้องได้ คนของหม่อมฉันท่านก็ไม่อาจคิดที่จะแทรกแซงได้ มิเช่นนั้นยอมไม่เอาเสียดีกว่า”

        ดวงตาของเยี่ยโยวเหยามืดหม่นขึ้นทุกที

        แม้แต่แม่นมฮวาก็รู้สึกว่าอากาศในห้องมืดครึ้มลงมากอย่างฉับพลัน

        ยั่วยุ ยั่วยุ! พระชายายั่วยุท่านอ๋องอย่างรุนแรง

        ครานี้ประตูเมืองไฟไหม้ เป็นภัยลามไปถึงปลาในบ่ออย่างแน่นอน [3] แม่นมฮวาแทบรอไม่ไหวที่จะหาทางแอบออกไป

        อย่างไรก็ตาม ยามนี้คนที่เป็นกังวลมากกว่าแม่นมฮวาคือทหารอารักขาที่รออยู่ด้านนอกตำหนักฝูอวิ๋น

        ในขณะนี้พวกเขายิ่งรู้สึกมากขึ้นว่าหากไม่ใช่พระชายากำลังเสียเปรียบก็ต้องเป็นศีรษะของพวกเขาที่ไม่สามารถเกาะอยู่บนลำคอได้อีกนานนัก

        แน่นอนว่าวินาทีต่อมา น้ำเสียงเยือกเย็นของเยี่ยโยวเหยาก็ดังออกมาจากตำหนักฝูอวิ๋นว่า “ทุกคน ฟังคำสั่ง…”

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset