ทันใดนั้นเขาก็ชี้ไปที่เว่ยเหม่ยเจียและพูดว่า “เมื่อคืนนี้เป็นนางที่ปลุกปล้ำข้า! เป็นนางที่ถอดเสื้อผ้าออกต่อหน้าข้าและล่อลวงข้า ข้าเมาแล้วไม่รู้กระไรเลยแม้แต่น้อย มันไม่ใช่เรื่องของข้า! “
เว่ยเหม่ยเจียเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อ นางชี้ไปที่ฮั่วปี้แล้วพูดว่า “เจ้าพูดมั่ว! “
หลังพูดสามคำนี้จบ เว่ยเหม่ยเจียก็ร้องไห้และทรุดลงบนพื้นอย่างอ่อนแรง นางกุมหน้าอกสะอื้นไห้ไม่หยุด
เฉินไท่เฟยรีบเข้าไปช่วยอย่างทะนุถนอม นางพยุงเว่ยเหม่ยเจียขึ้นมา ดวงตาชราทั้งสองข้างเต็มไปด้วยน้ำตา “เหม่ยเจีย ป้าอยู่นี่ ป้าอยู่เคียงข้างเจ้า ป้าจะเป็นหลักให้เจ้าอย่างแน่นอน”
“ทหาร! ลากฮั่วปี้ออกไปให้ข้า ตัดหัว! ” เฉินไท่เฟยขึ้นเสียงตะโกนออกไปด้านนอก
“ท่านแม่! ” ฮั่วปี้รีบวิ่งไปด้านหลังของไหวหยางจวิ้นจู่ด้วยความตกใจกลัว
ทันใดนั้นไหวหยางจวิ้นจู่ก็จ้องมองเฉินไท่เฟยอย่างโกรธเคือง “เฉินไท่เฟย แม้ท่านจะมีฐานะสูงส่งที่สุดในหมู่พวกเรา ทว่าท่านก็ไม่มีสิทธิ์ฆ่าคนอ่อนแอกระมัง? ”
ดวงตาของเฉินไท่เฟยแดงก่ำ นางกำหมัดแน่น หน้าอกพองขึ้นลงอย่างต่อเนื่องเพราะความโกรธ “แม้ข้าจะไม่มีสิทธิ์ฆ่าคนส่งเดช ทว่าอย่างไรก็ตาม วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าสารเลวผู้นี้ด้วยมือของข้าเองอย่างแน่นอน”
ขณะที่พูดอยู่ เฉินไท่เฟยก็ลุกขึ้นและเดินออกไปที่ลานหน้าจวนอย่างรวดเร็ว เมื่อเดินไปถึงประตู เฉินไท่เฟยก็ชักดาบข้างเอวของทหารอารักขาและรีบตรงไปยังร่างของฮั่วปี้ที่หลบอยู่ด้านข้างไหวหยางจวิ้นจู่
“ฆ่าคน… เฉินไท่เฟยจะฆ่าคนแล้ว… ”
ทันใดนั้นฮั่วปี้ที่หลบอยู่ด้านหลังไหวหยางจวิ้นจู่ก็ตะโกนขึ้น
ไหวหยางจวิ้นจู่ตกใจจนหน้าถอดสีเช่นกัน นางก้าวเท้าถอยไปเสียหลายก้าว คอยปกป้องบุตรชายที่อยู่ด้านหลัง
ดวงตาของซูจิ่นซีเหลือบมองไปที่ JX3 ที่ยืนอยู่ด้านหลังของนาง
JX3 กระโดดขึ้น แย่งดาบที่อยู่ด้านหน้าของเฉินไท่เฟยอย่างรวดเร็วและโยนดาบยาวในมือของเฉินไท่เฟยทิ้ง
“ซูจิ่นซี เจ้าอยู่ข้างผู้ใดกันแน่? ”
เฉินไท่เฟยกล่าวขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด
ฝั่งหนึ่งคือเฉินไท่เฟยซึ่งเป็นมารดาแท้ๆ และยังมีลูกพี่ลูกน้องโดยสายเลือดของเยี่ยโยวเหยา อีกฝั่งหนึ่งคือครอบครัวของจงอู่โหวที่บอกว่าพวกเขาไม่เคยรู้จักสนิทชิดเชื้อกัน ทว่าก็ไม่มีผู้ใดเชื่อ
ซูจิ่นซีไม่อยู่ฝั่งผู้ใดทั้งนั้น
“ท่านแม่ ท่านจะนำความเดือดร้อนมาให้ท่านอ๋องหรืออย่างไร? ”
หากวันนี้เฉินไท่เฟยฆ่าฮั่วปี้จริงๆ คงเป็นปัญหาใหญ่ยิ่งนัก ในเวลานี้ฮ่องเต้ยังขาดข้ออ้างในการจัดการกับเยี่ยโยวเหยา!
เฉินไท่เฟยแทบกัดฟัน “ไม่ว่ากรณีใด วันนี้ข้าจะไม่ปล่อยฮั่วปี้ออกไปเป็นแน่”
“ท่านแม่ ท่านมีปฏิกิริยามากเกินไปกระมัง? เว่ยกั๋วกงและฮูหยินเว่ยกั๋วยังไม่ได้พูดอันใดเลยแม้แต่น้อย! ”
คำพูดของซูจิ่นซีมักแทงใจดำเสมอ
ซูจิ่นซีสงสัยมานานแล้วเรื่องทัศนคติของเฉินไท่เฟยที่มีต่อเว่ยเหม่ยเจีย
เฉินไท่เฟยจงใจหลีกเลี่ยงซูจิ่นซี แววตาของเว่ยกั๋วกงและฮูหยินเว่ยกั๋วกงก็วาววับเช่นกัน
“ฮั่วปี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม วันนี้เจ้าคงหนีไม่พ้น” ฮูหยิ่นเว่ยกั๋วกงกล่าวขึ้น “สิ่งที่เจ้าทำ วันนี้เจ้าต้องให้คำอธิบายแก่พวกเรา”
ในใจของซูจิ่นซียกยิ้มเย็นชา
สามีภรรยาคู่นี้ช่างโหดเหี้ยมเสียยิ่งกว่าสัตว์ร้าย
“ฮั่วปี้! ” ซูจิ่นซีพูดขึ้นอย่างกะทันหัน “วันนี้ข้ามีทางเลือกให้เจ้าสองทาง หากไม่แต่งงานตามจารีตประเพณี ยกเกี้ยวเจ้าบ่าวมารับเว่ยเหม่ยเจีย ภายภาคหน้าหนานย่วน จวนเว่ยกั๋วกง และจวนจงอู่โหวเกี่ยวดองเป็นครอบครัว เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป หรือมิฉะนั้น… ” ซูจิ่นซีมองไหวหยางจวิ้นจู่อย่างจงใจ “ตอนนี้ข้าจะล่ามเจ้าไว้ ส่งเจ้าไปเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ ให้พระองค์เป็นผู้ตัดสินตามกฎหมายของจงหนิง เรื่องนี้ควรทำอย่างไรก็ตัดสินอย่างนั้น”
หากไตร่ตรองอย่างเข้มงวด เว่ยเหม่ยเจียเป็นราชวงศ์อย่างแท้จริง ความสัมพันธ์ระหว่างฮั่วปี้และราชวงศ์ยังห่างชั้นกว่าเว่ยเหม่ยเจียมาก
ตามกฎหมายของจงหนิง การดูหมิ่นราชวงศ์ถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรงมีโทษตัดศีรษะ
“ข้าเลือกทางแรก! ”
ซูจิ่นซีพึ่งพูดจบ ฮั่วปี้ก็ตอบคำถามทันที
“เป็นไปไม่ได้! ”
“ไม่! นอกเสียจากว่าข้าจะตาย! ”
เฉินไท่เฟยและเว่ยเหม่ยเจียพูดออกมาในเวลาเดียวกัน
“ท่านแม่ แม้ท่านจะมีฐานะและสิทธิ์มากที่สุด ทว่าเรื่องนี้ดูเหมือนไม่ใช่ท่านที่ควรลุกขึ้นมาเป็นหลักกระมัง? ” ซูจิ่นซีชี้ให้เห็นและถามกลับเว่ยกั๋วกงและฮูหยินเว่ยกั๋วกง “ท่านกั๋วกง ฮูหยินเว่ยกั๋วกง เรื่องนี้ท่านทั้งสองว่าอย่างไรเล่า? ”
เรื่องฮั่วปี้ ซูจิ่นซีบังคับถามความคิดเห็นจากเว่ยกั๋วกงและฮูหยินเว่ยกั๋วกง พวกเขาจะไม่เห็นด้วยหรือ?
อย่างไรก็ตาม เว่ยกั๋วกงผู้นี้ยังคู่ควรเป็นจิ้งจอกเฒ่าสารพัดพิษ ในใจของเขาเห็นด้วยอย่างชัดเจน ทว่าปากกลับจงใจกล่าวว่า “ชายชราเลี้ยงดูบุตรสาวมาสิบกว่าปี ไม่ง่ายเลยที่จะเลี้ยงนางให้เป็นผู้ที่เป็นมิตรและใสสะอาด คาดไม่ถึงว่าจะถูกเจ้าสุนัขฮั่วปี้ทำลาย ชายชราแทบทนรอไม่ไหวที่จะฆ่ามัน! ”
ไม่ง่ายเลยที่จะเลี้ยงแปลงกะหล่ำปลีแล้วถูกไอ้ชั่วเจาะไข่แดงเช่นนี้
ซูจิ่นซีมองไปยังฮูหยินเว่ยกงกั๋วอีกครั้ง
ฮูหยินเว่ยกั๋วกงปาดน้ำตา “เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หากไม่แต่งเหม่ยเจียกับฮั่วปี้จะได้หรือ? เพียงเท่านี้ ก็เข้าทางเจ้าสุนัขนั่นแล้ว ถุย!”
“พี่สาม น้องสะใภ้สาม เรื่องนี้ข้าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง! ” เฉินไท่เฟยกล่าวอย่างเฉียบขาด
“ไท่เฟยเพคะ ท่านคิดกว้างๆ เสียหน่อยเถิด! เรื่องราวมาถึงจุดนี้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ที่ด้านนอกยังมีข่าวลือมากมาย หากเหม่ยเจียไม่แต่งกับฮั่วปี้ แล้วจะแต่งกับผู้ใดได้อีก? หรือท่านยังหวังจะหาบ้านสามีดีๆ ได้อีกหรือ? ต่อให้มีบ้านสามีที่ดี ทว่าบุรุษผู้ใดจะทนเรื่องที่ภรรยาของตนนอกใจก่อนแต่งได้เล่า? ท่านคิดว่าเหม่ยเจียจะมีวันที่ดีในชีวิตอีกหรือ? ”
“เช่นนั้นยิ่งไม่สามารถแต่งส่งเดชเช่นนี้ได้! ” เฉินไท่เฟยร้องไห้กล่าวขึ้น
ซูจิ่นซีรู้สึกอยู่เสมอว่าทัศนคติของเฉินไท่เฟย เว่ยกั๋วกง และฮูหยินเว่ยกั๋วกงที่ห่วงใยเว่ยเหม่ยเจียช่างแปลกยิ่งนัก ทันใดนั้นภายในใจของซูจิ่นซีก็เกิดความคิดที่ไร้เหตุผลยิ่ง ทว่าในไม่ช้านางก็กดมันลงไป
เป็นไปได้อย่างไร?
ความคิดจำพวกนี้ช่างน่ากลัวเสียจริง!
หากเป็นจริงดั่งที่นางคิด เช่นนั้นเยี่ยโยวเหยาเล่า?
จะให้เยี่ยโยวเหยารับเรื่องจริงพวกนั้นได้อย่างไร?
ซูจิ่นซีระงับความคิดในใจ นางเดินไปด้านข้างเฉินไท่เฟย และจงใจทำน้ำเสียงอ่อน ปลอบโยนเฉินไท่เฟยว่า “ท่านแม่ อย่างไรเสียเหตุการณ์นี้ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว เราต้องมีหนทางแก้ไขเพื่อไม่ให้ผู้คนภายนอกหัวเราะเยาะได้ ท่านว่าจริงหรือไม่? นอกจากนี้ ท่านยังเป็นท่านป้า แม้จะรักเหม่ยเจียยิ่ง ความรู้สึกระหว่างพวกท่านช่างเหลือล้นยิ่งนัก ทว่าต้องคิดเผื่ออนาคตของเหม่ยเจียให้ดี! เว่ยกั๋วกงและฮูหยินกั๋วกงยังเป็นบิดามารดาแท้ๆ ของเหม่ยเจีย ไม่อาจทำร้ายเหม่ยเจียได้ ท่านว่าความคิดเช่นนี้มีเหตุผลหรือไม่? ”
คำพูดเช่นนี้ของซูจิ่นซี แท้จริงแล้วเป็นการจงใจทดสอบความคิดของตนที่มีต่อเฉินไท่เฟย
ทว่าสิ่งที่นางไม่คาดคิดคือ เฉินไท่เฟยจะเป็นดั่งที่นางคาดไว้ ดวงตาของเฉินไท่เฟยสั่นไหวยิ่ง การแสดงออกของนางเต็มไปด้วยความสับสน แม้กระทั่งตอนที่ซูจิ่นซีกล่าวว่า “เว่ยกั๋วกงและฮูหยินเว่ยกั๋วกงเป็นบิดามารดาโดยสายเลือดของเหม่ยเจีย” เมื่อนางกล่าวคำพูดนี้ การแสดงออกของเฉินไท่เฟยยิ่งแปลกประหลาดนัก มือที่กำแน่นข้างลำตัวยิ่งกำแน่นขึ้น
นี่เป็นการอธิบายสิ่งใด?
มันแสดงให้เห็นว่าปฏิกิริยาของเฉินไท่เฟยได้พิสูจน์ความคิดภายในใจของซูจิ่นซีมากยิ่งขึ้น
ภายในใจของซูจิ่นซีสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทันใดนั้นร่างโดดเดี่ยวและเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาที่สะท้อนอยู่บนหน้าต่างของตำหนักฝูอวิ๋นยามค่ำคืนพลันส่องประกายในใจของนาง
ในใจของซูจิ่นซีเกิดความรู้สึกเจ็บแปลบชั่วขณะ
ความเกลียดชังที่มีต่อเฉินไท่เฟยยิ่งฝังลึกในใจทบเท่าทวีคูณ