“ข้าไม่แต่ง ข้าไม่แต่ง ข้าไม่แต่ง! ข้าไม่อาจแต่งกับผู้อื่นที่ไม่ใช่ท่านพี่ได้ ต่อให้ข้าตาย ข้าก็จะให้คนนำศพของข้าไปเผาทำลาย บดกระดูกลงไปในกองขี้เถ้า อย่าได้ให้ชายอื่นที่ไม่ใช่ท่านพี่มาแตะต้องตัวข้า! ” เว่ยเหม่ยเจียตะโกนร้องไห้อย่างสิ้นหวัง
“เหม่ยเจีย เจ้าไม่ต้องร้องแล้ว เหม่ยเจียเจ้าไม่ต้องร้อง นี่เจ้ากำลังฆ่าป้านะ! ” เฉินไท่เฟยสะบัดแขนของซูจิ่นซีออกและรีบวิ่งไปด้านข้างเว่ยเหม่ยเจีย
ซูจิ่นซีมองเว่ยกั๋วกงและฮูหยินเว่ยกั๋วกงอย่างจงใจ นางรู้สึกว่าท่าทีของพวกเขาทั้งสองต่อเว่ยเหม่ยเจียที่เป็นบุตรสาวแท้ๆ นั้น มีความเย็นชายิ่งกว่าเมื่อเทียบกับเฉินไท่เฟย
“เว่ยเหม่ยเจีย เจ้าเก็บการร้องห่มร้องไห้เช่นนี้ไปเสีย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเจ้าที่หาเรื่องใส่ตัว ตอนนี้ข้าให้เจ้าเลือกสองทาง ทางแรกคือรอเกี้ยวเจ้าสาวจากจวนจงอู่โหว ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวอย่างมีความสุข หลังจากนี้ต่อไปอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ส่วนอีกทางหนึ่ง… ” ซูจิ่นซีเหลือบมองเฉินไท่เฟยพลางกล่าวว่า “กลับไปที่จวนเว่ยกั๋วกงของเจ้า ต่อจากนี้ไป ไม่ว่าเจ้าจะออกบวชเป็นชีหรือไม่ออกเรือนกับผู้ใดจนแก่ตายก็แล้วแต่เจ้า ทว่าเลิกหาเรื่องยุ่งยากให้พวกเราตำหนักหนานย่วน! ”
คำพูดของซูจิ่นซีค่อนข้างดุร้าย การแสดงออกของเฉินไท่เฟยดูโมโหเล็กน้อย
“ซูจิ่นซี เจ้าจงใจจัดการข้า เพื่อไม่ให้ข้าอยู่เคียงข้างท่านพี่ คู่แข่งที่คอยแย่งท่านพี่กับเจ้าจะได้น้อยลงใช่หรือไม่? ” เว่ยเหม่ยเจียถามทั้งน้ำตา
ซูจิ่นซียิ้มเยาะที่มุมปาก นางเดินไปด้านข้างเว่ยเหม่ยเจียทีละก้าวและโน้มตัวลงพูดที่ข้างหูของเว่ยเหม่ยเจียอย่างเย็นชาว่า “ใช่! ”
“เลว! ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าทำสำเร็จ ข้ายอมตายเสียดีกว่า! ”
ขณะที่พูดอยู่ เว่ยเหม่ยเจียก็เดินบุ่มบ่ามกระแทกเข้าไปที่โต๊ะ
“เหม่ยเจีย ไม่ได้นะ! ” เฉินไท่เฟยรีบคว้าเว่ยเหม่ยเจียเอาไว้
“JX3! ”
ซูจิ่นซีเอ่ยเรียกและยื่นมือไปที่ด้านหลังของ JX3
JX3 เข้าใจทันที เขาก้าวไปด้านหน้า นำดาบยาวที่อยู่ข้างเอววางไว้บนมือของซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีโยนดาบยาวไปยังเบื้องหน้าของเว่ยเหม่ยเจียอย่างรุนแรง
ท่าทางของซูจิ่นซีช่างหยิ่งยโสและงดงามเป็นอย่างยิ่ง “หากเจ้าอยากตายจริงๆ ก็ทำใจกล้าเสียหน่อย จะเชือดคอ ผ่าท้อง หรือปักดาบไปที่หัวใจ ก็แล้วแต่จะเลือกมาหนึ่งอย่าง ไม่มีผู้ใดขัดขวางเจ้า หากไม่อยากตายก็เสแสร้งให้น้อยลง”
“จิ่นซี! อย่างไรเสียเหม่ยเจียก็เป็นน้องของโยวอ๋อง เจ้าทำกับนางเช่นนี้ได้อย่างไร” เฉินไท่เฟยกล่าวขึ้นด้วยความโมโห
“นี่เป็นน้องเช่นใด ท่านแม่ ท่านรู้ดีอยู่แก่ใจ! ”
เมื่อเฉินไท่เฟยได้ยินความหมายแฝงที่ลึกซึ้งจากประโยคของซูจิ่นซี นางก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาในทันที “เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ”
“ไม่ได้หมายความว่ากระไรเพคะ เพียงจิ่นซีรู้สึกอยู่เสมอว่าท่านปฏิบัติกับน้องสามีดีเสียยิ่งกว่าท่านอ๋องที่เป็นบุตรชายของท่านอีกนะเพคะ? หรือจิ่นซีคิดมากไป? ”
คำพูดนี้ ซูจิ่นซีก้มตัวลงไปเอ่ยอย่างแผ่วเบาที่ข้างหูของเฉินไท่เฟย ให้นางได้ยินเพียงผู้เดียว
ร่างของเฉินไท่เฟยสั่นเทาขึ้นมาอย่างกะทันหัน นางจ้องไปที่ซูจิ่นซี “เจ้า… เจ้ารู้กระไร? ”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา “ขอเพียงวันนี้ท่านแม่หันมาอยู่ฝั่งข้า ข้าสามารถไม่รู้ไม่เห็นกระไรทั้งสิ้น! ”
ทันใดนั้นดวงตาของเฉินไท่เฟยก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ หวาดกลัวและยากที่จะเชื่อ
ทว่าซูจิ่นซีไม่ให้ความสนใจกับเฉินไท่เฟยแล้ว นางพูดกับเว่ยเหม่ยเจียที่ยังคงร้องห่มร้องไห้ว่า “ว่าอย่างไร เว่ยเหม่ยเจีย เจ้าไม่กล้าตายแล้วหรือ? ”
“ซูจิ่นซี แม้ข้า…เว่ยเหม่ยเจียตายแล้ว ก็จะไม่ปล่อยเจ้าไว้อย่างเด็ดขาด! ”
เว่ยเหม่ยเจียกัดฟัน นางถือดาบยาวขึ้นมาจากพื้นและยกมาทาบคอของตนเอง
เฉินไท่เฟยยังคงคิดจะห้ามปราม ทว่าภายใต้การจ้องมองและคุกคามจากดวงตาของซูจิ่นซี ทำให้นางลังเล ในที่สุดก็ไม่ได้เอ่ยห้ามแต่อย่างใด
ทุกคนต่างสูดลมหายใจเย็นขณะที่มองเว่ยเหม่ยเจีย ทว่ามีเพียงซูจิ่นซีผู้เดียวที่ยกมือทั้งสองข้างกอดอก ยืนพิงผนัง พร้อมกับวาดรอยยิ้มที่มุมปากอย่างเย็นชาราวกับนางกำลังดูเรื่องตลก
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปนานแล้ว ดาบยาวในมือของเว่ยเหม่ยเจียยังไม่ได้เฉือนลงไป นางหลับตา เม้มปากแน่น แม้ท่าทางการจับดาบจะทำให้หลายคนหวาดกลัว ทว่าไม่มีความมั่นคงแม้แต่น้อย กระทั่งมือที่จับดาบยังสั่นเทา
ทันใดนั้นเว่ยเหม่ยเจียก็ทิ้งดาบยาวในมือลง นางโผเข้าไปในอ้อมอกของเฉินไท่เฟย “เสด็จป้า ท่านต้องสนับสนุนเหม่ยเจียนะเพคะ! เหม่ยเจียไม่ได้รับความเป็นธรรม พวกมันทั้งหมดรังแกเหม่ยเจีย หากท่านไม่รักเหม่ยเจียก็ไม่มีผู้ใดรักเหม่ยเจียแล้ว”
ซูจิ่นซีดูออกแต่แรกแล้วว่าเว่ยเหม่ยเจียกลัวความตาย เดิมทีนางก็ไม่กล้าฆ่าตัวตาย ดังนั้นซูจิ่นซีถึงได้ข่มขู่เว่ยเหม่ยเจีย
เวลานี้ สถานะของเว่ยเหม่ยเจียที่อยู่ตรงหน้าซูจิ่นซีไม่นับว่าเป็นอันใดเลย นางต่ำตมเสียยิ่งกว่าฝุ่นดิน
ซูจิ่นซีสวยสง่า กิริยาสูงส่งราวกับนางฟ้า สิ่งที่สำคัญคือนางกล้าหาญ
ส่วนทางด้านเว่ยเหม่ยเจียกลับซีดเซียวตรอมใจ แม้นางจะหลบอยู่ในอ้อมแขนของเฉินไท่เฟย ทว่ากลับดูเหมือนนางกำลังคลานมาแทบเท้าของซูจิ่นซีเสียมากกว่า
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่เว่ยเหม่ยเจียยังขี้ขลาดราวกับหนู แม้จะมีอุบายชั้นต่ำน่ารังเกียจสักเท่าใด ทว่ากลับถูกซูจิ่นซีจับได้ ในสายตาของซูจิ่นซี เว่ยเหม่ยเจียดูเหมือนตัวตลกอย่างไรอย่างนั้น
“ในเมื่อไม่ยอมตาย เช่นนั้นก็ไสหัวกลับไปจวนเว่ยกั๋วกง หรือไม่ก็รอออกเรือนเสียดีๆ ” ซูจิ่นซีกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา
“มีสิทธิกระไร? มีสิทธิกระไร? ซูจิ่นซี เจ้ามีสิทธิกระไรมาทำตัวเป็นใหญ่? เจ้าคิดว่าข้าเป็นสิ่งของเช่นนั้นหรือ? เสด็จป้าท่านไม่พูดกระไรบ้างเล่าเพคะ! ” เว่ยเหม่ยเจียร้องไห้ คิดฝากความหวังไว้กับเฉินไท่เฟย
ซูจิ่นซีมองเฉินไท่เฟยด้วยแววตาที่แฝงไว้ด้วยความหมายลึกซึ้ง “ใช่หรือ? ในเมื่อเสด็จแม่สามารถตัดสินใจด้วยตนเองได้ แล้วยังจะเรียกข้ามาหนานย่วนเพื่ออันใด? เรื่องนี้ท่านยังมีความเห็นกระไรหรือไม่? ”
ในเวลานี้ แม้เฉินไท่เฟยจะต้องการแสดงความคิดเห็น ทว่ากลับถูกคำสองคำเมื่อครู่ของซูจิ่นซีกดทับไว้ นางจึงไม่กล้าพูดอันใดแม้แต่น้อย
ซูจิ่นซีหันกลับมาถามผู้คนในลาน “เว่ยกั๋วกง ฮูหยินเว่ยกั๋วกง ข้อตกลงนี้ ท่านทั้งสองพอใจหรือไม่? ”
เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเขายังจะมีสิ่งใดที่ไม่พอใจอีกเล่า ทว่าใบหน้าของพวกเขายังคงโกรธแค้น ทั้งสองต่างถอนหายใจออกมา “อย่างไรก็ให้พระชายาโยวอ๋องตัดสินเถิด! ”
“ไหวหยางจวิ้นจู่ ท่านเล่า? ” ซูจิ่นซีถาม “การจัดการของข้าเช่นนี้เป็นประโยชน์กับจวนจงอู่โหวของท่าน ท่านคงไม่มีสิ่งใดจะพูดกระมัง! ”
เป็นอย่างที่ซูจิ่นซีพูดไว้ แท้จริงแล้วการจัดการเช่นนี้เป็นประโยชน์กับจวนจงอู่โหวมากที่สุด เดิมทีทุกคนต่างคิดว่าไหวหยางจวิ้นจู่ได้เปรียบเป็นอย่างมาก นางควรภูมิใจมากถึงจะถูก เพียงแต่ไม่คิดว่า ไหวอย่างจวิ้นจู่จะพูดว่า “ซูจิ่นซี ท่านมีสิทธิ์กระไรมาตัดสินใจเช่นนี้? ท่านมีอำนาจกระไรมาตัดสินใจเช่นนี้? ต้องการให้เว่ยเหม่ยเจียแต่งเข้าจวนจงอู่โหวของพวกข้า ท่านเคยถามความคิดเห็นของข้าที่เป็นผู้ใหญ่ในจวนจงอู่โหวหรือไม่? ”
“ไหวหยางจวิ้นจู่ ท่านหมายความว่าอย่างไร? ” ฮูหยินเว่ยกั๋วกงกล่าวขึ้น
ไหวหยางจวิ้นจู่ถอนหายใจอย่างไม่พอใจ “หากไม่ใช่เพราะปัญหาทางด้านศีลธรรมในตัวของเว่ยเหม่ยเจีย จู่ๆ หญิงสาวที่สวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยจะไปทำกระไรบนถนนในยามค่ำคืน? ผู้ใดจะรู้ว่าก่อนที่คนในสกุลของพวกเราจะพบนาง ได้เกิดกระไรขึ้นบ้างแล้ว ไม่แน่ว่าบุตรชายของข้าอาจบังเอิญซวยถึงเนื้อถึงตัวนางเข้าพอดี! ผู้หญิงไร้ยางอายเช่นนี้ หาได้ไม่ยากในจวนจงอู่โหวของพวกเรา”
“ไหวหยางจวิ้นจู่ ท่านพูดบ้ากระไร? ” เฉินไท่เฟยกล่าวอย่างเดือดดาล
การแสดงออกบนใบหน้าของเว่ยกั๋วกงและฮูหยินเว่ยกั๋วกงก็ดูไม่ดีเช่นกัน
ทว่าซูจิ่นซียังคงสงบเงียบเช่นเดิม
เนื่องจากซูจิ่นซีรู้ความคิดของไหวหยางจวิ้นจู่ในตอนนี้ดี ข้าวสารหุงเป็นข้าวสุก [1] แล้ว ในตอนนี้หนานย่วนและจวนเว่ยกั๋วกงยังกลับหัวกลับหาง แล้วบุคคลเช่นนาง หากไม่คิดจะฉวยโอกาสก็คงไม่ใช่ไหวหยางจวิ้นจู่
“องค์หญิงมีเงื่อนไขกระไร พูดมาตามตรงเถิด! ”
ซูจิ่นซีเหมือนคุมหางเสือสถานการณ์ทั้งหมดอย่างไรอย่างนั้น นางมองเห็นทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าอย่างทะลุปรุโปร่ง
……