การแสดงออกของไหวหยางจวิ้นจู่มีความประหลาดใจอยู่บ้าง ทว่าไม่นานนางก็ยกยิ้มขึ้น “ซูจิ่นซี ท่านเป็นคนฉลาดจริงๆ คบหากับคนฉลาดก็สบายหน่อย ข้าจะไม่อ้อมค้อม หากต้องการให้เว่ยเหม่ยเจียเข้าตามตรอกออกตามประตูจวนจงอู่โหวของข้าก็ย่อมได้ ขอเพียงโยวอ๋องสามารถหาตำแหน่งราชการให้ปี้เอ๋อร์ของเรา ข้าก็รับปาก”
ไหวหยางจวิ้นจู่เป็นหมาป่าผู้หิวโหยที่ไม่รู้โชคชะตา คาดไม่ถึงว่านางจะสนใจในตัวของเยี่ยโยวเหยา
ซูจิ่นซีคิดไตร่ตรองสิ่งใดบางอย่าง นางไม่ได้พูดจาอันใด ไหวหยางจวิ้นจู่จึงพูดต่อว่า “ธรณีประตูหนานย่วนของพวกท่านและจวนเว่ยกั๋วกงช่างสูงส่ง ข้าเกรงว่าหากเว่ยเหม่ยเจียเข้าไปในสกุลของพวกเราแล้ว ฮั่วเอ๋อร์ต้องคอยนอบน้อมต่อหน้านาง”
“ไหวหยางจวิ้นจู่ ตามความเห็นของท่าน ฮั่วปี้กำลังมองตำแหน่งใดเล่า? ” ซูจิ่นซีพูดอย่างเฉื่อยชา
“เงื่อนไขของข้าไม่สูงนัก ขอเพียงตำแหน่งงานที่สบายๆ ไม่เข้มงวดมากนัก หรืองานที่กรมพระคลังระดับหกขึ้นไปเถิด! ”
ตำแหน่งกรมพระคลังระดับหกขึ้นไปนั้นเป็นเพียงเสมียนผู้ช่วยกรมพระคลังระดับห้า หากสูงกว่านี้ก็เป็นรองเสนาบดีกรมพระคลังระดับสี่ ตำแหน่งของรองเสนาบดีกรมพระคลังต้องดำรงตำแหน่งในราชสำนักมานานกว่าสิบปีถึงจะสามารถแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เพิ่มได้ เป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาจะได้รับการแต่งตั้งหรือถอดถอน
ไหวหยางจวิ้นจู่จ้องตำแหน่งเสมียนผู้ช่วยกรมพระคลังตาเป็นมันมานานแล้ว!
ทว่าดูฮั่วปี้ รูปร่างใหญ่ เหมือนโตแต่ไม่โต ต้องการคุณธรรมกลับไม่มีคุณธรรม ต้องการคุณสมบัติกลับไม่มีคุณสมบัติ คนอย่างเขาสามารถนั่งในตำแหน่งเสมียนผู้ช่วยกรมพระคลังได้หรือ?
ไหวหยางจวิ้นจู่ไม่รู้จักประมาณตนเองเสียเลย
ซูจิ่นซียิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน ดวงตาหรี่ลง “ไหวหยางจวิ้นจู่ ท่านเป็นสิงโตอ้าปากกว้าง [1] อยากได้อยากมียิ่ง ท่านไม่กลัวติดคอตนเองแล้วจะสำลักตายหรือ? ”
ไหวหยางจวิ้นจู่ยิ้ม พลางกล่าวว่า “ไม่ถึงเพียงนั้นหรอก! ของพวกนี้เทียบไม่ติดกับสิ่งที่จวนโยวอ๋องของท่าน ทั้งยังหนานย่วนและจวนเว่ยกั๋วกงมีในครอบครอง! ข้าเป็นเพียงขนเส้นเดียวบนวัวเก้าตัว [2] เท่านั้นเอง”
“เอาล่ะ! ” ซูจิ่นซีกล่าว “ทุกสิ่งที่ไหวหยางจวิ้นจู่ขอ เมื่อถึงเวลาข้าจะกราบทูลท่านอ๋องอย่างแน่นอน ท่านจะเชิญแม่สื่อมาเมื่อใด จะเปลี่ยนวันเกิงเถี่ย [3] เมื่อใด จะส่งของกำนัลและออกเรือนเมื่อใด ไหวหยางจวิ้นจู่ ท่านต้องว่องไวหน่อย”
“ซูจิ่นซี พูดเรื่องนี้ในตอนนี้จะไม่ดูเร็วไปหน่อยหรือ? ค่อยว่ากันหลังจากได้ตำแหน่งมาให้ปี้เอ๋อร์ของเรา! ” ไหวหยางจวิ้นจู่ร้ายกาจยิ่งนัก
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีอันใดต้องพูดอีกแล้ว JX3 JX4 มัดฮั่วปี้ไว้ นำไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทในวังกับข้า! ”
ซูจิ่นซีอดทนกับไหวหยางจวิ้นจู่มานานพอแล้ว สาเหตุที่ซูจิ่นซีทนพูดกับนางได้นานถึงเพียงนี้ เพราะซูจิ่นซีพยายามแก้ไขปัญหาเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด นางยังมีเรื่องสำคัญให้กังวลมากกว่า อีกทั้งตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวของเยี่ยโยวเหยา!
นางจะถือโอกาสนี้เข้าวังหลวง สืบหาว่ามันเกิดอันใดขึ้นกันแน่
JX3 JX4 ทำงานอย่างว่องไว พวกเขามัดฮั่วปี้อย่างรวดเร็ว
“ท่านแม่ ท่านช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย! ลูกไม่อยากเข้าวัง ลูกไม่อยากตาย ลูกยอมสมรสกับเว่ยเหม่ยเจีย ลูกยอมสมรสกับนาง! ” ใบหน้าหวาดกลัวของฮั่วปี้พลันเปลี่ยนแปลงไป เขาร้องโวยวายเหมือนคนไร้สติปัญญาอย่างไรอย่างนั้น
ไหวหยางจวิ้นจู่ไม่คิดว่าซูจิ่นซีจะเอาจริง นางกัดฟันพลางพูดว่า “ซูจิ่นซี ต่อให้ท่านพาปี้เอ๋อร์เข้าวัง ท่านก็จะไม่ได้ประโยชน์อันใด! ”
“จะได้หรือไม่ได้ประโยชน์อันใด ไหวหยางจวิ้นจู่…ท่านพูดได้หรือ? หรือท่านไม่เห็นแก่มิตรภาพพี่น้องระหว่างฮ่องเต้ของพวกเราแล้ว? แม้กระทั่งความยุติธรรม ท่านก็ไม่สนใจหรือ? ท่านเป็นผู้ใดในราชวงศ์? ท่านบอกข้ามาสิ! ”
ไหวหยางจวิ้นจู่คิดว่านางยังเป็นเด็กสาวผู้สวยงามคนนั้น เป็นคุณหนูผู้เป็นที่รักของจวนมู่แห่งแคว้นยูนนาน เป็นจุดแต้มสีชาดที่ฮ่องเต้โปรดปราน เหตุใดฮ่องเต้จะไม่ใส่ใจนางเช่นนั้นหรือ?
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮองเฮาที่อยู่ในตำหนักเวลานี้
แท้จริงแล้วผู้ใดจะเป็นผู้ที่ไม่ได้รับผลประโยชน์กันแน่ ก็ยังไม่แน่ใจ!
ในที่สุดความเย่อหยิ่งของไหวหยางจวิ้นจู่ก็ลดน้อยลง นางกัดฟันอย่างรุนแรงกล่าวว่า “ตกลง! พรุ่งนี้ข้าจะไปพาแม่สื่อมาคุยที่จวนด้วยตนเอง ส่วนระยะเวลาในการดำเนินการเรื่องอื่นๆ วันพรุ่งนี้ค่อยหารือกันใหม่ ซูจิ่นซี เจ้าอย่าผิดสัญญาเรื่องตำแหน่งขุนนางของปี้เอ๋อร์เล่า! ”
“สายไปแล้ว! ”
ซูจิ่นซีเงยหน้า นางยกมือกอดอกด้วยท่าทีหยิ่งยโสเป็นอย่างมาก
ใบหน้าของไหวหยางจวิ้นจู่เปลี่ยนไปในทันที “ซูจิ่นซี ท่านคิดจะทำกระไรกันแน่? ”
“ทหาร! จับไหวหยางจวิ้นจู่มัดไว้ นางดูหมิ่นข้า บุกรุกหนานย่วน หมิ่นเกียรติของฮ่องเต้พระองค์ก่อน ตามกฎหมายสมควรฆ่า ส่งพวกนางไปให้ฮ่องเต้ด้วยกันเสีย! ”
“พ่ะย่ะค่ะ! ” JX4 ตอบรับ รีบเรียกทหารสองนายมาคุมตัวตัวไหวหยางจวิ้นจู่
ไหวหยางจวิ้นจู่เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองโง่เพียงใด
นางใช้วิธีการต่ำช้ากับซูจิ่นซี และการพูดเงื่อนไขกับซูจิ่นซีนั้นช่างโง่เขลายิ่งนัก
เรื่องทั้งหมดในวันนี้ เห็นได้ชัดว่าฮั่วปี้บุตรชายของนางมีความผิด แล้วนางยังทำอวดดีอีก หากไปหาฮ่องเต้ ไม่ใช่เป็นการรนหาที่ตายหรอกหรือ?
บางทีฮ่องเต้อาจคิดถึงมิตรภาพเก่าในอดีตและปกป้องนาง ทว่าฮั่วปี้บุตรชายของนางเล่า?
เขาก่อเรื่องวุ่นวายต่อหน้าฮ่องเต้ถึงเพียงนั้น ไม่ต้องพูดถึงอนาคตในภายภาคหน้าของฮั่วปี้ที่คงหมดสิ้นแล้ว เป็นไปได้ว่าแม้แต่ชีวิตก็อาจปกป้องไว้ไม่ได้
“ซู… พระชายาโยวอ๋อง ท่านว่าเรื่องนี้พวกเรามาคุยกันอีกรอบดีหรือไม่? ”
ไหวหยางจวิ้นจู่เปลี่ยนคำเรียกในทันที น้ำเสียงที่พูดกับซูจิ่นซีนุ่มนวลขึ้นไม่น้อยทีเดียว
แท้จริงแล้วซูจิ่นซีไม่คิดจะเข้าไปก่อเรื่องวุ่นวายในวังหลวง ทันใดนั้นนางก็ทำท่าทางก้าวร้าวเพื่อให้ไหวหยางจวิ้นจู่ตกใจ เมื่อเห็นว่าไหวหยางจวิ้นจู่เดินตามนางมาจริงๆ ซูจิ่นซีที่เดินออกไปด้านนอกก็หยุดเดินและหันหลังกลับมา
“ไหวหยางจวิ้นจู่ ท่านมีกระไรจะคุยกับข้า? ”
“พระชายาโยวอ๋อง ท่านว่า ปี้เอ๋อร์และเหม่ยเจียกำลังจะสมรสกันในไม่ช้า หากเข้าไปก่อเรื่องวุ่นวายในวังหลวงเช่นนี้คงไม่ดีกระมัง? หลังจากนี้พวกเราจะเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว พวกเราคุยกันอีกครั้งได้หรอไม่”
“มีกระไรต้องคุย? ไหวหยางจวิ้นจู่ ท่านว่าหญิงสาวจากหนานย่วนเช่นพวกเรานั้นหาไม่ยาก พวกเราก็ไม่ลำบากเมื่อต้องหาครอบครัวให้หญิงที่ได้สามีแล้วเช่นกัน! ”
ครานี้ซูจิ่นซีได้เปรียบ นางไม่คิดใช้โอกาสนี้ในการฆ่าไหวหยางจวิ้นจู่
ทว่าเมื่อครู่ไหวหยางจวิ้นจู่อวดดี เดิมทีไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
ไหวหยางจวิ้นจู่ก้มมองต่ำ คิดกลับไปกลับมาอย่างรวดเร็ว และรีบเงยหน้าขึ้นมากล่าวว่า “พระชายาโยวอ๋อง แท้จริงแล้วหากเรื่องนี้เกิดแตกหักหรือเกิดเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา ไม่ว่าต่อหนานย่วนหรือจวนเว่ยกั๋วกงก็ตาม แม้กระทั่งจวนโยวอ๋องก็คงไม่เกิดประโยชน์อันใด ท่านก็ทราบดีว่า แท้จริงแล้วผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือการที่สกุลของพวกเราทั้งสองสมรสกัน ทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก ส่วนเรื่องเล็กก็แล้วกันไป เรื่องเมื่อครู่นี้ข้าผิดเอง ข้าได้คืบจะเอาศอก ท่านโตเป็นผู้ใหญ่ อย่าได้คิดเล็กคิดน้อยกับข้านักเลย ได้หรือไม่? ”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปาก “ทว่าน่าเสียดายที่ข้าไม่ได้ใจกว้างเหมือนกับท่านถึงเพียงนั้น ไหวหยางจวิ้นจู่ ข้ามันใจแคบ แคบเสียยิ่งกว่าปลายเข็ม”
ไหวหยางจวิ้นจู่ขมวดคิ้ว ในใจยังคงคิดไปมาอย่างรวดเร็ว เวลาผ่านไปสักพัก นางก็กล่าวขึ้นอีกครั้งว่า “พระชายาโยวอ๋อง ท่านและข้าต่างก็เป็นคนฉลาด เข้าใจคำพูดคน พวกเราไม่ต้องปิดบังถ้อยคำให้มากความ เปิดหน้าคุยกันเถิด! ครั้งนี้ข้าอยู่ในกำมือของท่าน เพียงพวกท่านยอมให้เว่ยเหม่ยเจียสมรสเข้าจวนจงอู่โหว พวกเราล้วนยอมทุกอย่าง ท่านมีเงื่อนไขกระไรเพียงพูดออกมา! ”
อันที่จริงซูจิ่นซีกำลังรอประโยคนี้อยู่!
นางยกยิ้มที่มุมปากอย่างเฉยชา “ท่านเป็นคนฉลาดเสียจริง ไหวหยางจวิ้นจู่ช่างตรงไปตรงมา เช่นนั้นข้าก็จะไม่อ้อมค้อมแล้ว”
ซูจิ่นซีพูดพลางมองไปทางฮั่วซื่อที่อยู่ด้านข้างไหวหยางจวิ้นจู่และพูดต่อว่า “ข้าสนใจหอโอสถของสกุลซูในเมืองตี้จิง ไหวหยางจวิ้นจู่ หากท่านไม่ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้กับข้า เช่นนั้นก็ให้น้องสะใภ้ของท่านนำสมุดบัญชีหอโอสถทั้งเจ็ดของจวนสกุลซูมาให้ข้า มีเพียงสองทางเลือกนี้เท่านั้น ท่านไม่มีสิทธิ์เลือกมากกว่านี้”
หอโอสถในเมืองตี้จิงทั้งเจ็ดของสกุลซู?
แท้จริงแล้วนี่เป็นสิ่งที่ซูจิ่นซีได้วางแผนเอาไว้
ทว่าพอซูจิ่นซีพูดเช่นนี้ ใบหน้าของเว่ยกั๋วกง ฮูหยินเว่ยกั๋วกง และเฉินไท่เฟยก็ดูไม่ได้เอาเสียเลย
ตอนนี้กำลังพูดถึงเรื่องของเว่ยเหม่ยเจียและฮั่วปี้ ทว่าซูจิ่นซีกลับทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเองเช่นนี้ คงไม่ดีกระมัง?
ผู้ใดบอกว่าไม่ดี?
ทำเพื่อตนเองแล้วผิดอันใด?
หากไม่ใช่เพราะเรื่องของเว่ยเหม่ยเจียทำลายชื่อเสียงของหนานย่วน นอกจากนั้นยังมีความเป็นไปได้ที่จะสร้างความลำบากให้กับเยี่ยโยวเหยา หลังจากเกิดเรื่องนี้แล้ว ซูจิ่นซีจะไม่มาที่หนานย่วนได้หรือ?
นางจะสามารถยืนคุยอันใดมากมายกับขยะเหล่านี้ได้กัน?
ฮั่วซื่อต้องการหอโอสถทั้งเจ็ดของจวนสกุลซู เพราะต้องการถือโอกาสรับดอกเบี้ยเล็กๆ น้อยๆ ทว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่ายังมาไม่ถึง!
“จิ่นซี เช่นนี้คงไม่เหมาะสมกระมัง? ท่านรู้หรือไม่ว่าหอโอสถทั้งเจ็ดนั้นมีความหมายต่อสกุลซูอย่างไร? ” ฮั่วซื่อมีท่าทีจริงจังมาก
ทุกสิ่งทุกอย่างของสกุลซู
นั่นคือทรัพย์สินเกือบทั้งหมดของสกุลซู การครอบครองหอโอสถทั้งเจ็ดก็เท่ากับการครอบครองชีวิตของจวนสกุลซู
ซูจิ่นซีจะไม่เข้าใจได้อย่างไร?
เมื่อก่อน นางก็เคยกระโจนเข้าไปในจวนสกุลซูนี่!
“ท่านแม่ ให้ไม่ให้ก็พูดมาเถิดเจ้าค่ะ! ” ซูจิ่นซีพูดขึ้น
“เป็นไปไม่ได้! แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของข้าก็ตาม ท่านอย่าได้คิดแตะต้องหอโอสถทั้งเจ็ดของจวนสกุลซู! ” ฮั่วซื่อกล่าวฉีกหน้าซูจิ่นซี
……