สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 160 ท่านอ๋องเป็นกระไรไป

   ในหนานย่วน เว่ยเหม่ยเจียยังคงร้องไห้รบกวนซูจิ่นซีให้ว้าวุ่นใจอยู่ตลอดเวลา ซูจิ่นซีจึงสั่งให้คนพาเว่ยเหม่ยเจียกลับไปที่เรือนของนาง

        เฉินไท่เฟยหลบทุกคนมาคุยกับซูจิ่นซีเป็นการส่วนตัว

        “จิ่นซีอ่า เรื่องนี้เจ้าเห็นแก่หน้าแม่แล้วลองคิดทบทวนวิธีการอื่นอีกครั้งได้หรือไม่? ฮั่วปี้นั้นเป็นคนเช่นไร เจ้าก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ หากเหม่ยเจียออกเรือนกับคนเช่นนี้ ชีวิตนี้คงจบสิ้นแล้ว”

        ฮั่วปี้จริงๆ แล้วก็ไม่เท่าไร แม้จะมีหน้าตา มีอิทธิพลมาก ทว่าทั้งอ้วนทั้งไม่น่าดู พฤติกรรมยังหยาบคายมากอีกด้วย

        สิ่งสำคัญที่สุดคือ นางได้ยินมาว่าเรื่องบนเตียงของเขาวิปริตบิดเบี้ยวยิ่งนัก ยังไม่ทันแต่งเข้าเรือนกลาง อนุกับสาวรับใช้ก็ถูกทำให้ระทมทุกข์ตายไปกี่คนแล้ว

        ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรเฉินไท่เฟยก็ไม่ต้องการให้เว่ยเหม่ยเจียแต่งกับคนเช่นนั้น นางพยายามเจรจาหาจุดตรงกลางกับซูจิ่นซี

        ทว่าที่เฉินไท่เฟยใช้น้ำเสียงดีเช่นนี้เจรจากับซูจิ่นซีนั้นเป็นเพราะมือของซูจิ่นซีได้จับข้อบกพร่องทั้งหมดของเฉินไท่เฟยไว้แน่นขนัดแล้ว

        “แทนที่ท่านแม่จะคิดเรื่องนี้ ไม่สู้ไปสั่งสอนน้องเหม่ยเจียให้ดีว่า หลังจากนี้ควรทำตัวให้น่าเอ็นดูต่อจวนจงอู่โหวอย่างไร อย่างไรเสียจวนหนานย่วนและจวนจงอู่โหวก็มีผู้สนับสนุนเบื้องหลังที่แข็งแกร่ง” ซูจิ่นซีกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา

        “จิ่นซี เรื่องนี้เจ้าจำเป็นต้องถอนรากถอนโคนถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ข้าไม่ยอมให้เหม่ยเจียแต่งกับฮั่วปี้เป็นอันขาด! ”

        เฉินไท่เฟยยืนกรานราวกับสัตว์ร้ายที่จำศีลซึ่งต่อสู้อย่างมุ่งมั่นเป็นครั้งสุดท้าย

        “ท่านแม่เพคะ ข้ายังคงแนะนำให้ท่านคิดดีๆ พิจารณาเพื่อท่านอ๋องให้ถี่ถ้วน แท้จริงแล้วท่านรู้ดีแก่ใจว่ามันเป็นผลลัพธ์ที่ดีในการให้เว่ยเหม่ยเจียแต่งกับฮั่วปี้ หากไม่เป็นเช่นนี้ เรื่องนี้คงสร้างปัญหาต่อไป ไม่ต้องเอ่ยถึงว่ามันจะนำเรื่องยุ่งยากมากมายมาให้ท่านอ๋อง แม้แต่พวกท่านสองคนแม่ลูกก็คงจบไม่สวยอย่างแน่นอน! ”

        ซูจิ่นซีถอดหน้ากากพูดกับเฉินไท่เฟยอย่างเปิดเผย

        เมื่อได้ยินคำว่า “พวกท่านสองแม่ลูก” เฉินไท่เฟยก็ตกตะลึงเป็นเวลานาน

        แม้ซูจิ่นซีจะเข้าใจสิ่งใดอย่างถ่องแท้ตั้งนานแล้ว ทว่าปากของเฉินไท่เฟยกลับตอบสนองเร็วกว่าหัว “เจ้า… เจ้ากำลังพูดถึงกระไร? ข้าไม่เข้าใจแม้แต่ประโยคเดียว”

        ซูจิ่นซียิ้มอย่างเย็นชาที่มุมปาก ไม่ได้โต้เถียงเฉินไท่เฟย “สามารถทำเรื่องแมวดาวสับเปลี่ยนองค์ชายเช่นนี้ ทั้งยังสามารถนำบุตรสาวแท้ๆ ของตนกลับมาเลี้ยงอยู่ข้างกาย ท่านแม่ปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตาย ท่านฉลาดมาเกือบทั้งชีวิต ข้าแนะนำว่าอย่าโง่กับเรื่องเช่นนี้เลยดีกว่า เรื่องนี้ควรจัดการอย่างไร ท่านแม่ไปคิดทบทวนเองให้ดี”

        ขณะที่พูดอยู่ ดวงตาของซูจิ่นซีพลันหรี่ลง นางหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “พูดตามตรง เหตุผลที่ท่านแม่เปลี่ยนตัวท่านอ๋องมาอยู่ข้างกายของตนก็เพื่อที่ท่านแม่จะได้สร้างความมั่นคงให้กับตนเอง ตราบใดที่ท่านอ๋องไม่ล่วงรู้ความจริง พวกท่านสองแม่ลูกก็ยังคงได้เสพสมความมั่งคั่งมีเกียรติไปชั่วชีวิต หากข้าไม่ระวัง บังเอิญพูดกระไรบางอย่างต่อหน้าท่านอ๋อง ความตั้งใจทั้งชีวิตของท่านแม่คงต้องไหลตามน้ำไปเสียแล้วเพคะ”

        การแสดงออกของเฉินไท่เฟยแข็งทื่อ นางจ้องมองซูจิ่นซีอย่างไม่เชื่อสายตาราวกับวิญญาณออกจากร่างกายไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น เฉินไท่เฟยทรุดตัวลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง

        สิ่งที่ซูจิ่นซีกล่าวนี้เป็นองค์ประกอบที่อันตรายต่อเฉินไท่เฟย ทว่ายังมีองค์ประกอบของการหยั่งเชิงลองใจด้วยเช่นกัน

        ซูจิ่นซีแน่ใจแล้วว่าเว่ยเหม่ยเจียเป็นธิดาแท้ๆ ของเฉินไท่เฟย ทว่านางไม่รู้ว่าเยี่ยโหยวเหยาเป็นโอรสที่แท้จริงของเฉินไท่เฟยหรือไม่

        นางเพียงแสดงความกล้าหาญและพยายามหยั่งเชิงต่อไป ทว่ากลับไม่คิดว่าการทดสอบหยั่งเชิงจะเป็นจริง

        การนิ่งเงียบและปฏิกิริยาที่เฉินไท่เฟยแสดงออกมาทั้งหมดนั้นชัดเจนแล้ว

        เมื่อซูจิ่นซีนึกถึงเยี่ยโยวเหยาที่ถูกเฉินไท่เฟยหลอกมาหลายปีถึงเพียงนั้น ภายในใจของนางก็รู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก นางไม่อยากเสียเวลากับเฉินไท่เฟยอีกต่อไปจึงพาคนออกจากหนานย่วน

        ทันทีที่เดินออกจากประตู ซูจิ่นซีก็ถามแม่นมฮวาอย่างกังวลว่า “มีข่าวอันใดเกี่ยวกับท่านอ๋องหรือไม่? ”

        “ฝั่งทางพ่อบ้านไม่ส่งข่าวคราวมาเลยเพคะ”

        ซูจิ่นซีหันศีรษะมองไปทางวังหลวง

        แสงตะวันในยามเย็นสาดส่องลงขอบฟ้า ในวันธรรมดาคงเป็นทิวทัศน์ที่งดงาม ทว่าวันนี้กลับดูน่ากลัวเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก

        “พระชายาไม่ต้องกังวลหรอกเพคะ หลายปีมานี้ฮ่องเต้ไม่สามารถจัดการท่านอ๋องได้ อีกประการหนึ่งยิ่งท่านอ๋องเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้ พระองค์ยิ่งไม่อาจทำกระไรท่านอ๋องได้”

        แม้แม่นมฮวาจะพูดเช่นนี้ ทว่าซูจิ่นซียังคงรู้สึกกระวนกระวายอยู่เสมอ นางรู้สึกว่าเรื่องในครั้งนี้คงไม่ง่ายถึงเพียงนั้น

        เมื่อซูจิ่นซีกลับมาที่จวน พ่อบ้านกลับไม่อยู่ที่นั่น ใช้เวลานานกว่าพ่อบ้านจะกลับมา

        “ท่านอ๋องมีข่าวคราวแล้วหรือ? ”

        ใบหน้าของพ่อบ้านมีท่าทีสิ้นหวังเล็กน้อย “บัดนี้แน่ใจแล้วว่าท่านอ๋องอยู่ในวังหลวงตลอด ทว่ามีคำสั่งปิดวังหลวง ฮ่องเต้รับสั่งไม่ให้ผู้ใดเข้าออก กระทั่งเช้าตรู่วันนี้ยังไม่สามารถเข้าไปได้ พวกเราไม่รู้สถานการณ์ในวังหลวงจึงไม่กล้าใช้นกพิราบบินส่งสาร์นไปยังท่านอ๋อง ทำได้เพียงรอให้ท่านอ๋องส่งข่าวออกมาเอง”

        ซูจิ่นซีขมวดคิ้วและนั่งเงียบ ไม่พูดอันใดสักประโยค

        หลังจากนั้นสักพักก็ถามขึ้นว่า “กองทัพในสังกัดของท่านอ๋องแตกต่างกันหรือไม่? ”

        “เรื่องกิจการกองทัพเป็นความรับผิดชอบของแม่ทัพคนสำคัญแห่งกองทัพกุ้ยมาโดยตลอด หากมีข่าวใดไม่ถูกส่งต่อมาถึงข้าน้อย ข้าน้อยก็จะไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

        “กองทัพกุ้ยเป็นกองทัพที่ท่านอ๋องสร้างและฝึกฝนด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องพูดถึงความจริงใจต่อท่านอ๋อง ข้ากำลังพูดถึงกองทัพอื่น”

        ทันใดนั้นพ่อบ้านก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เหมือนเขาจะคิดสิ่งใดบางอย่างได้ “วันนี้ข้าน้อยยุ่งกับเรื่องของจวนทั้งวันพ่ะย่ะค่ะ ยังไม่ทันได้คิดถึงจุดนี้ ต้องการให้ข้าน้อยส่งคนไปถามองครักษ์ฉินหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ”

        “ไม่ทันแล้ว! ”

        ซูจิ่นซีเดาว่ากองทัพต้องมีปัญหาแน่ หากไม่ใช่เพราะเรื่องปัญหาในกองทัพ ฮ่องเต้คงไม่มีความสามารถในการสั่งขังเยี่ยโยวเหยาทั้งวันทั้งคืนได้

        “พระชายา ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ? ”

        ทันใดนั้นพ่อบ้านที่ไม่ว่าจะกระทำสิ่งใดก็มักสงบนิ่งอยู่เสมอพลันเกิดความโกลาหลขึ้นมาชั่วขณะ

        “พระชายาเพคะ แท้จริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องใจร้อนเกินไป ตอนนี้ไม่มีข่าวคราวก็นับว่าเป็นข่าวดี แสดงว่าฮ่องเต้ยังไม่ได้กระทำสิ่งใดกับท่านอ๋อง! ”

        แม้จะพูดเช่นนี้ ทว่าใจของซูจิ่นซีเป็นห่วงเยี่ยโยวเหยาเสียจริง นอกจากนั้นซูจิ่นซียังพบว่า ถึงแม่นมฮวาจะเกลี้ยกล่อมซูจิ่นซี ทว่านางกลับเอาแขนเสื้อถูฝ่ามือไม่หยุด แท้จริงแล้วนางเองก็กังวลมากเช่นกัน

        หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนจากนอกประตูมารายงานว่าฉินเทียนมาแล้ว

        ซูจิ่นซีรีบสั่งให้คนเชิญฉินเทียนเข้ามาในเรือนชิงโยว

        บัดนี้เป็นยามซวี

        “แม่นางซู! ”

        เมื่อฉินเทียนเห็นซูจิ่นซี ใบหน้าของเขาไม่กระตือรือร้นใดๆ และไม่ได้เรียกซูจิ่นซีว่าพระชายาเช่นคนอื่นๆ

        ใบหน้าของแม่ฮวาเปลี่ยนไป

        ซูจิ่นซีรู้ว่าฉินเทียนเป็นคนข้างกายของเยี่ยโยวเหยาและฐานะของเขาก็ไม่ธรรมดา ทว่านางกลับไม่คาดคิดว่าฉินเทียนจะแสดงท่าทีเย่อหยิ่งต่อหน้านางเช่นนี้

        นี่เป็นครั้งแรกที่ซูจิ่นซีได้พูดคุยกับฉินเทียนและเป็นครั้งแรกที่ได้ทักทายเขาเช่นกัน หลังจากแปลกใจชั่วครู่ ซูจิ่นซีก็ยกยิ้มที่มุมปากอย่างแผ่วเบา นางไม่นำท่าทีของฉินเทียนมาใส่ใจมากนัก

        “องครักษ์ฉินได้ข่าวจากท่านอ๋องหรือไม่? ”

        ในดวงตาของฉินเทียนมีความประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าการแสดงออกบนใบหน้าของเขายังคงไม่มีความกระตือรือร้นใดๆ ราวกับเยี่ยโยวเหยาอย่างไรอย่างนั้น ฉินเทียนกล่าวอย่างเย็นชาว่า “พ่ะย่ะค่ะ! ”

        ซูจิ่นซีดีใจขึ้นมาชั่วครู่ “ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง? ”

        ฉินเทียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “กระหม่อมได้ส่งทหารฝีมือดีเข้าไปในวัง ทั้งยังได้เห็นเยี่ยโยวเหยาด้วย ทว่าข้างกายของเยี่ยโยวเหยามีทหารฝีมือดีจับจ้องอยู่ตลอดเวลา คนของพวกเราจึงไม่สามารถเข้าใกล้ได้พ่ะย่ะค่ะ”

        แม้แต่คนในวิหารวิญญาณของเยี่ยโยวเหยายังไม่สามารถเข้าใกล้ได้ ครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้ใช้ความคิดไปมากเท่าใดในการจัดการกับเรื่องนี้ คาดว่าแม้แต่เงินทุนของราชวงศ์ก็ถูกนำมาใช้ไปหมดแล้วกระมัง! ใช้ไปกับความละเอียดแม่นยำในการเลือกเฟ้นทหารอารักขาที่มีวรยุทธเก่งกาจที่สุดในราชวงศ์

        “ดังนั้น… องครักษ์ฉินต้องการให้ข้าทำสิ่งใดหรือไม่? ”

        เมื่อได้รับรู้ความปลอดภัยชั่วคราวของเยี่ยโยวเหยาในขณะนี้ ซูจิ่นซีจึงสงบลงมาก

        เกิดความประหลาดใจในดวงตาของฉินเทียนอีกครั้ง ทว่าแทนที่จะตอบคำพูดของซูจิ่นซีโดยตรง เขากลับพูดขึ้นว่า “ท่านเป็นคนที่มีความพิเศษบางอย่างจริงๆ ”

        ซูจิ่นซียิ้มแผ่วเบาที่มุมปาก “หือ? อย่างไรหรือ? ”

        ฉินเทียนไม่ได้ตอบคำถามของซูจิ่นซี เขาเปลี่ยนเรื่องพูดว่า “ข้างกายของโยวเหยาไม่ต้องการสตรีที่ฉลาดเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีฉลาดที่สามารถสร้างความยากลำบากได้ เขาแบกรับมามากพอแล้ว”

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset