คืนนี้สำหรับซูจิ่นซีถูกตัดสินให้เป็นคืนที่นอนไม่หลับ นางไม่สามารถหลับได้เลยตลอดทั้งคืน
ไฟในลานบ้านของอนุปี้และซูอวี้ก็เปิดตลอดทั้งคืนเช่นกัน
อนุปี้ไม่รู้ว่ากำลังทำอันใดอยู่ ซูอวี้อ่านหนังสือแพทย์ทั้งคืน ส่วนหมอเทวดาหวาก็ยังไม่นอนเช่นกัน เขาอยู่เป็นเพื่อนซูอวี้
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากรับประทานอาหารเช้า ซูจิ่นซีก็ตัดแต่งต้นบอนไซสมุนไพรทั้งหมดในห้องของตนและรดน้ำ หลังจากนั้นนางก็ไปที่ตำหนักฝูอวิ๋นอีกครั้งเพื่อรดน้ำต้นหูเตี๋ยหลานบนโต๊ะทำงานของเยี่ยโยวเหยา
การแสดงออกบนใบหน้าของซูจิ่นซีราวกับกำลังทำเรื่องผ่อนคลาย เหมือนคนที่ไม่ได้เป็นกระไรอย่างไรอย่างนั้น ทว่าแม่นมฮวาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าซูจิ่นซีมีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจ
บางคนที่ภายในใจแสร้งทำ ลักษณะภายนอกยิ่งไม่ปรากฏความสุข ความทุกข์ อีกทั้งความรู้สึกอ่อนไหวล้วนไม่ถูกเปิดเผย
ในที่สุดเมื่อใกล้ยามอู่ [1] คนจากวังหลวงก็มา
“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮาทรงประชวรอีกแล้ว หมอหลวงอวิ๋นบอกว่านางถูกวางยาพิษ ฝ่าบาททรงมีพระกระแสรับสั่งให้พระชายาเข้าวังหลวงเพื่อตรวจพระอาการของฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮองเฮาประชวร มาหาข้าจะมีประโยชน์อันใด? ไปหาหมอหลวงหรือหมอของราชสำนักเถิด! ข้าไม่รู้ว่าจะช่วยชีวิตผู้คนอย่างไร”
ซูจิ่นซีกำลังนั่งดื่มชาที่ลานบ้านด้วยท่าทางอย่างคนไม่ต้องการหาเหาใส่หัวกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง
ผู้ที่มาเป็นขันทีข้างพระวรกายของฮ่องเต้ “โอ้ พระชายา ดูท่านพูดสิ พิษที่ฮองเฮาได้รับเมื่อสองครั้งก่อนก็เป็นท่านที่รักษาจนหายดีไม่ใช่หรือ? ผู้ใดบ้างไม่รู้ว่าท่านเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในหมู่พวกเราชาวจงหนิง! พระชายา หากท่านเอ่ยว่าไม่สามารถรักษาได้ ก็ไม่มีผู้ใดสามารถรักษาฮองเฮาได้แล้ว พ่ะย่ะค่ะ! ”
ซูจิ่นซียิ้มแผ่วเบาที่มุมปาก “เว่ยกงกง ท่านสอพลอได้ยอดเยี่ยมเสียจริง ทว่าแม้ฮองเฮาจะทรงประชวรหนัก ข้าก็ไม่สามารถไปตรวจรักษาได้ กงกงรีบกลับไปทูลฝ่าบาทให้ตามหมอมีฝีมือท่านอื่นเถิด! ข้าไม่ค่อยสบาย คงไม่อยู่ต้อนรับกงกงแล้ว พ่อบ้านส่งแขก! ”
ซูจิ่นซีออกคำสั่งให้ส่งแขกออกไป ส่วนตัวนางก็ลุกขึ้นและเดินเข้าไปในเรือนอวิ๋นไคทันที
ใบหน้าเว่ยกงกงเต็มไปด้วยความรู้สึกลำบากใจ ทว่าซูจิ่นซีไม่ได้อยู่ในลานแล้ว เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ ทำได้เพียงห่อเหี่ยวกลับไปยังวังหลวงเพื่อขออภัยโทษ
ทั้งแม่นมฮวาและลวี่หลีต่างไม่เข้าใจความคิดของซูจิ่นซี
ฮองเฮาล้มป่วย มีพระประสงค์ให้พระชายาเข้าวังหลวงเพื่อตรวจพระวรกายฮองเฮา นี่ไม่ใช่โอกาสดีที่จะเข้าไปในวังเพื่อท่านอ๋องหรอกหรือ? ใช้โอกาสนี้เพื่อจะได้รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นในวังหลวงกันแน่ ทว่าเหตุใดพระชายาจึงปฏิเสธเว่ยกงกงเล่า?
การเข้าไปในวังเพื่อตามหาเยี่ยโยวเหยา เกรงว่าซูจิ่นซีคงเป็นผู้ที่รอคอยและกังวลมากที่สุดในบรรดาผู้คนทั้งหมดในแคว้นจงหนิง
ทว่าที่ซูจิ่นซีทำเช่นนี้เพราะนางมีการคำนวณวางแผนของตนเองเช่นเดียวกัน
หลังจากขึ้นไปที่เรือนอวิ๋นไคแล้ว ซูจิ่นซีก็นอนอยู่บนตั่ง นางใช้ผ้าไหมคลุมตัวอยู่ตลอดเวลา นิ้วมือจับชายผ้าของที่เท้าแขนแกะสลักลายดอกไม้ กำลังครุ่นคิดกระไรบางอย่าง
จนกระทั่งก่อนถึงยามเหว่ย แม่นมฮวาก็ขึ้นไปชั้นบน “พระชายาเพคะ มีคนจากในวังหลวงมาอีกแล้วเพคะ! ”
ดวงตาทั้งสองของซูจิ่นซีเบิกกว้างสะท้อนแสงวาววับ
“ผู้ใด? ”
“ไท่จื่อเพคะ”
“ไม่พบ! ”
หลังจากพูดจบซูจิ่นซีก็หลับตาลงอีกครั้ง
ใบหน้าของแม่นมฮวายิ่งงงงวยขึ้นไปอีก นางต้องการพูดกระไรบางอย่าง ทว่าเมื่อนึกขึ้นได้ว่าพระชายาวิตกกังวลเรื่องท่านอ๋องเสียยิ่งกว่าพวกนาง เช่นนั้นพวกนางที่เป็นข้ารับใช้ก็ต้องอดทนกับความทุกข์ยากลำบากใจ พระชายาคงมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจ ดังนั้นแม่นมฮวาจึงระงับความสับสนลังเลในใจแล้วเดินลงบันไดไป
หลังจากนั้นสักพักก็มีเสียงชุลมุนวุ่นวายดังมาจากชั้นล่าง
“ไท่จื่อ นี่คือห้องใต้หลังคาของพระชายานะเพคะ ท่านเข้าไปไม่ได้นะเพคะ! ” เป็นเสียงของลวี่หลี
“ไปให้พ้น! ” เยี่ยเซินดูเหมือนจะโกรธเล็กน้อย ทว่าเมื่อพูดกับซูจิ่นซี น้ำเสียงของเขาก็อ่อนลง “จิ่นซี ข้ารู้ว่าท่านอยู่ด้านบนและได้ยินที่ข้าพูด สถานการณ์ครั้งนี้ของท่านแม่ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง ข้ามาที่นี่อย่างจริงใจเพื่อขอให้ท่านไปตรวจพระวรกายให้ท่านแม่”
ซูจิ่นซีส่งเสียงขึ้น
เมื่อเยี่ยเซินได้ยินก็เร่งรีบโดยทันที ทันใดนั้นแม่นมฮวาก็เริ่มวิตกขึ้นมา นางพูดอย่างจริงจังว่า “ไท่จื่อเพคะ ท่านได้โปรดรักศักดิ์ศรี! หากท่านยังเพิกเฉยต่อฐานะของตนเอง อย่าโทษว่าหม่อมฉันและทหารคุ้มกันของจวนโยวอ๋องปฏิบัติต่อท่านอย่างไม่เกรงใจ! ”
ทหารอารักขาจำนวนมากยืนอยู่ใต้บันไดของเรือนอวิ๋นไค
ซูจิ่นซีที่อยู่ด้านบนยังคงนิ่งสงบ
เยี่ยเซินขมวดคิ้ว คาดไม่ถึงว่าเขาไม่ละอายใจแม้แต่น้อย ที่ถูกแม่นมฮวาและทุกคนขัดขวาง เยี่ยเซินกระโดดขึ้นและเข้าไปในเรือนอวิ๋นไค
“ไสหัวออกไป! ”
ขณะที่เยี่ยเซินกำลังจะก้าวขึ้นบันได ดวงตาของซูจิ่นซีพลันมืดมน ใบหน้าอึมครึม นางก้าวลงจากบันไดทีละก้าวๆ
เสื้อคลุมผ้าไหมสีกลีบบัว กระโปรงยาวคาดเอวด้วยผ้ามัสลินสีฟ้าอ่อน นางสวมเสื้อคลุมแขนกว้างสีชมพูปักดอกไม้สีขาวน้ำนม ผมยาวดำเงา ด้านหลังเกล้ามวยต่ำครึ่งหนึ่งอีกครึ่งหนึ่งปล่อยสยาย ที่เอวมัดด้วยเครื่องประดับอันประณีตพิถีพิถันยิ่ง
นี่คือชุดที่ปีนี้ได้รับความนิยมมากที่สุดในเมืองตี้จิง แสดงให้เห็นว่าร่างกายของซูจิ่นซีพิเศษเป็นอย่างยิ่ง นางสวมใส่ได้อย่างเหมาะสมและสวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้ผู้ที่จ้องมองแทบลืมตาไม่ขึ้น
“เยี่ยเซิน ฟังคำคนไม่ออกอีกแล้วหรือ? ข้าบอกให้ไสหัวไป ได้ยินหรือไม่? ”
เมื่อซูจิ่นซีเดินมาเบื้องหน้า เยี่ยเซินถึงได้สติกลับมา
แววตาของเขาเลิ่กลั่กมองไปอีกทางหนึ่ง ทว่าก็หันกลับมามองซูจิ่นซีอย่างรวดเร็วพลางกล่าวว่า “จิ่นซี สถานการณ์ของเสด็จแม่ครั้งนี้ไร้ซึ่งความหวัง ข้ามาเชิญเจ้าด้วยความจริงใจอย่างสัตย์จริง! ”
“เยี่ยเซิน ความจริงใจอย่างสัตย์จริงของท่านมีค่าเป็นเงินเท่าใด? ”
“จิ่นซี ข้ารู้ดีว่าเรื่องราวก่อนหน้าระหว่างเจ้าและข้า คงเป็นเรื่องยากที่เจ้าจะให้อภัย ทว่าสิ่งเหล่านั้นได้ผ่านไปแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องนำมันมาใส่ใจอีกต่อไป ดีหรือไม่? ชีวิตคนเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาเล่นสนุก! “
“หึ ดูเหมือนว่าในที่สุดท่านก็พูดภาษามนุษย์ เรื่องก่อนหน้านี้ผ่านพ้นไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เยี่ยเซิน…ท่านอย่าติดทองบนหน้าตนเอง [2] ในใจของข้า…เจ้าไม่ได้เป็นตัวกระไรทั้งนั้น ข้ายังไม่ได้ตัดสินใจที่จะลงมือกับเจ้า ไสหัวออกไปให้เร็วที่สุด”
ซูจิ่นซีกล่าวอย่างเย็นชา ทันทีที่พูดจบนางก็เดินอ้อมเยี่ยเซินออกไปจากเรือนอวิ๋นไค ตรงไปที่โต๊ะหินกลางลานจวนและ นั่งลงบนม้านั่งหิน
ใบหน้าของเยี่ยเซินตกตะลึงเล็กน้อย ทว่าเขาเรียกสติตนเองกลับมาอีกครั้ง หลังจากเกิดความแปลกประหลาดพาดผ่านนัยน์ตา เยี่ยเซินก็เดินออกจากเรือนอวิ๋นไค ตรงไปนั่งลงตรงข้ามซูจิ่นซี
“จิ่นซี ระหว่างพวกเราต้องยุ่งยากถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ”
“ไสหัวไป! ”
ซูจิ่นซีพูดเพียงหนึ่งคำอย่างเย็นชา นางคว้าถ้วยชาบนโต๊ะสาดลงที่เท้าของเยี่ยเซิน
แม่นมฮวาไม่เข้าใจนักเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเยี่ยเซินและซูจิ่นซี ทว่าลวี่หลีนั้นเข้าใจอย่างชัดเจนยิ่งนัก นางเข้าใจกระไรบางอย่างชัดเจนเสียยิ่งกว่าซูจิ่นซีเสียอีก
ก่อนหน้านี้ที่คุณหนูของนางยังไม่ได้อภิเษกสมรสออกจากจวนสกุลซู ไท่จื่อทรงไม่สนพระทัยคุณหนูของนางเลย
กระทั่งไม่เคยชายตามองเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งยังคบชู้สู่ชายกับซูเซียนฮุ่ย…คุณหนูใหญ่ลับหลังและกลั่นแกล้งใส่ร้ายคุณหนูของนางในรูปแบบต่างๆ นอกจากนั้นยังวางกับดักหลอกล่อให้คุณหนูติดกับและคิดปลิดชีพคุณหนูของนางอีกด้วย
มีหลายคืนที่ลวี่หลีเห็นไท่จื่อข้ามกำแพงเข้าไปในสวนหลังบ้านของจวนสกุลซูและแอบสื่อสารลับๆ กับซูเซียนฮุ่ย ไม่เข้าตามตรอกออกตามประตู
ในคำพูดคุณหนูของนาง ไท่จื่อเป็นกากขยะจากก้นบึ้ง ทั้งยังเป็นขยะที่ไร้คุณค่ามากที่สุด
ทว่าเหตุใดวันนี้เยี่ยเซินถึงเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันเล่า? คาดไม่ถึงว่าจะเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน คุณหนูปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่เกรงใจถึงเพียงนี้ เขายังสามารถพูดจาดีได้อย่างไม่คาดคิด
นี่ยังคงเป็นไท่จื่อเยี่ยเซินคนนั้นอยู่หรือไม่?
ลวี่หลีรู้สึกราวกับไม่รู้จัก
ที่ไท่จื่อทำทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ว่ากำลังเสแสร้งอยู่กระมัง?
……