สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 165 เก้าในสิบ จะไม่ไปได้อย่างไร

       ขณะที่ลวี่หลีสงสัยว่าท่าทางของเยี่ยเซินที่มีต่อซูจิ่นซีนั้นจริงหรือเท็จ แม่นมฮวาก็รู้สึกว่าทัศนคติของซูจิ่นซีที่มีต่อไท่จื่อเยี่ยเซินนั้นเย็นชาและไม่เห็นอกเห็นใจจนเกินไป เยี่ยเซินพูดกับซูจิ่นซีอีกครั้งว่า “จิ่นซี เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าไม่ยินยอมเข้าวังเพื่อดูแลเสด็จแม่? ”

        ซูจิ่นซีเพียงจิบชาเบาๆ โดยไม่พูดจาอันใด

        ดวงตาแคบเรียวยาวของเยี่ยเซินหรี่มองซูจิ่นซี ทันใดนั้นเขาก็หยิบม้วนกระดาษสีเหลืองจำนวนหนึ่งออกมาจากเสื้อคลุมแขนกว้างปักลาย “พระชายาโยวอ๋องรับพระราชโองการ! ”

        ซูจิ่นซีขมวดคิ้วมุ่น นางรีบคุกเข่าลงอย่างรวดเร็วเพื่อรับพระราชโองการ เยี่ยเซินอ่านพระราชโองการอย่างจริงจัง แน่นอนว่าเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ซูจิ่นซีถูกบังคับให้เข้าไปในวังหลวงทันที ไม่สามารถคัดค้านพระราชโองการได้

        ซูจิ่นซีคุกเข่าลงบนพื้น ก้มศีรษะลง รอยยิ้มอย่างคนประสบความสำเร็จเผยที่มุมปากอย่างเชื่องช้า

        ที่จริงซูจิ่นซีไม่ต้องการเข้าวังเพื่อตรวจพระอาการของฮองเฮา เรื่องทั้งหมดนี้นางได้วางแผนไว้แล้วอย่างพิถีพิถันและความคืบหน้าของเรื่องราวก็พัฒนาตามวิถีเดิมของนาง เรื่องราวทั้งหมดอยู่ในกำมือของนางแล้ว

        เรื่องในตอนนี้สำเร็จเสร็จสิ้นลงแล้ว นางจะมีเหตุผลให้ไม่ไปได้อย่างไร

        ซูจิ่นซีเพียงรอโอกาสให้การแสดงนี้เป็นจริงมากขึ้น รอให้ฮ่องเต้คิดว่าซูจิ่นซีถูกพระองค์บังคับให้เข้าวังหลวง มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่สามารถต่อรองสถานการณ์กับฮ่องเต้ได้

        “จิ่นซี พระราชโองการของเสด็จพ่อได้รับสั่งลงมาแล้ว ไม่สามารถละเมิดได้ เจ้าควรจัดเก็บสิ่งของให้ดีและเข้าวังหลวงไปพร้อมกับข้าเถิด! ”

        เยี่ยเซินมอบพระราชโองการไปยังเบื้องหน้าซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซีน้อมรับพระราชโองการและยังคงนั่งลงบนม้านั่งหิน

        เช่นเดียวกับรอยยิ้มพึงพอใจที่ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเยี่ยเซิน ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็พูดขึ้นว่า “ให้ข้าเข้าวังหลวงย่อมได้ ทว่าข้ามีเงื่อนไขเพียงข้อเดียว”

        รอยยิ้มของเยี่ยเซินค่อยๆ จางลง “ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขใด ตราบใดที่ข้าสามารถทำได้ ข้าจะรับปากเจ้า”

        “ข้าต้องการพบเยี่ยโยวเหยา”

        ใบหน้าของเยี่ยเซินมืดครื้มลงทันที เขามองไปที่ซูจิ่นซีชั่วครู่แล้วกล่าวขึ้นว่า “จิ่นซี ข้าบอกความจริงกับเจ้าดีกว่า! เสด็จพ่อรับสั่งคุมขังเสด็จอาไว้ในตำหนักเจิ้นหนาน  ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้ตำหนักเจิ้นหนานและไม่อนุญาตให้พบเขา”

        ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!

        แม้ซูจิ่นซีจะคิดคำนวณถึงสิ่งที่แย่ที่สุด ทั้งยังคาดเดาเรื่องเช่นนี้ได้ ทว่าเมื่อได้ยินเยี่ยเซินพูดความจริงออกมาจากปาก นางก็ยังคงกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ

        แม่นมฮวาและลวี่หลีที่ยืนอยู่ด้านข้างล้วนตกตะลึงอย่างมากเช่นกัน

        อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าในกรณีใด ซูจิ่นซีต้องพบเยี่ยโยวเหยาให้ได้ นางต้องการรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ สิ่งใดที่ทำให้ความสมดุลระหว่างฮ่องเต้กับเยี่ยโยวเหยาลาดเอียง ฮ่องเต้จึงได้ลงมือทำบางสิ่งบางอย่างกับเยี่ยโยวเหยาขึ้นมาจริงๆ

        “จิ่นซี เจ้าควรรู้นิสัยของเสด็จพ่อ เรื่องนี้เป็นรับสั่งของท่าน เสด็จพ่อเป็นผู้ตัดสินเรื่องนี้ ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงมันได้! ”

        ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้?

        หึๆ นั่นมันสำหรับผู้อื่น!

        ทว่าสำหรับซูจิ่นซี แม้แต่การตัดสินใจที่หนักแน่นก็ต้องถูกบดขยี้ให้แหลกเป็นผุยผงและกลายเป็นข้อยกเว้นให้จงได้

        “นอกเสียจากว่าเจ้าจะให้ข้าได้พบเยี่ยโยวเหยา มิเช่นนั้น… ก็ไม่มีอันใดต้องพูดกันอีก! ”

        ซูจิ่นซีมองไปที่เยี่ยเซิน นางพูดแปดคำสุดท้ายทีละคำ แสดงความมุ่งมั่นของตนอย่างมั่นคง

        เยี่ยเซินมองซูจิ่นซีชั่วครู่ ทันใดนั้นก็หรี่ตาลงและพูดว่า “เจ้ามีความรู้สึกที่แท้จริงต่อเสด็จอาโยวอ๋องหรือ? ”

        มีความรู้สึกที่แท้จริง?

        ภายในใจของซูจิ่นซีกระตุกขึ้นอย่างกะทันหัน

        ในคราแรก ซูจิ่นซีรู้สึกหวาดกลัวและขี้ขลาดเมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยโยวเหยา กระทั่งรู้สึกเขินอายเมื่อมองไปที่เขา จนกระทั่งบัดนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยโยวเหยา นางเริ่มมีความกล้าหาญมากขึ้น นางรู้สึกเศร้าเพราะการกระทำหรือคำพูดของเขา เจ็บปวดเพราะมีสตรีลึกลับนางหนึ่งมาอยู่ข้างกายเขา คาดหวังว่าเขาจะปรากฏตัว กังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของเขา เริ่มคิดทุกสิ่งทุกอย่างแทนเขา ทั้งหมดนี้นับว่าเป็นความจริงใจ ซูจิ่นซีคิดว่านางคงมีความรู้สึกที่แท้จริงต่อเยี่ยโยวเหยาแล้วใช่หรือไม่?

        “เยี่ยเซิน ท่านไม่สมควรยืนอยู่ตรงนี้และพูดคุยกับข้าเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ให้ข้าพบเยี่ยโยวเหยา หรือ… ไสหัวไป! ”

        “เจ้าคิดขัดขืนพระราชโองการหรือ? ”

        “ผู้ใดบอกว่าข้าขัดขืนพระราชโองการ พระราชโองการบอกเพียงว่าข้าได้รับอนุญาตให้เข้าไปในวังหลวง ทว่าไม่ได้บอกว่าให้เข้าวังหลวงไปทำสิ่งใด นับว่าข้ารับพระราชโองการแล้ว หากข้าไม่ไปตรวจพระอาการของฮองเฮา พวกท่านจะทำอันใดกับข้าได้? ”

        “เจ้า… ”

        เยี่ยเซินสำลัก ไม่ว่าท่าทีของเขาที่มีต่อซูจิ่นซีจะดีเพียงใด ทว่าในที่สุดความอดทนของเขาก็มีขีดจำกัด เขากำหมัดแน่นอย่างเชื่องช้าและกล่าวว่า “ซูจิ่นซี เจ้าอย่าได้คืบจะเอาศอก”

        หึหึ!

        หางจิ้งจอกโผล่ออกมาเสียแล้วกระมัง?

        “อย่าคิดร่างพระราชโองการมาบังคับข้าให้ไปรักษาพระอาการประชวรของฮองเฮาอีก แม้แพทย์จะใจดีมีคุณธรรมทว่าก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ ข้าแนะนำไท่จื่อว่าอย่าเสียเวลากับข้าดีกว่า ไปเชิญหมอมีฝีมือท่านอื่นเถิด! หากท่านเสียเวลาโดยใช่เหตุ เกรงว่าพระอาการประชวรของฮองเฮาคงไม่อาจรอท่าน! ”

        ตอนที่เยี่ยเซินมาเชิญซูจิ่นซี เขาได้สั่งให้อวิ๋นจิ่นมาตรวจพระอาการของฮองเฮาแล้ว อวิ๋นจิ่นกล่าวว่ากำหนดระยะเวลาในการถอนพิษของฮองเฮา ไม่มีเวลาให้ล่าช้าได้อีกต่อไป

        ดวงตาของเยี่ยเซินทั้งเย็นเยือกทั้งโกรธเกรี้ยว เขาจ้องมองซูจิ่นซีราวกับต้องการมองทะลุนางอย่างไรอย่างนั้น

        ซูจิ่นซีดูเหมือนไม่ทุกข์ร้อนใจอันใด นางยกชาที่ถูกต้มขึ้นดื่มอึกแล้วอึกเล่าอย่างผ่อนคลาย

        ในที่สุดเยี่ยเซินก็กัดฟันและพูดว่า “เอาล่ะ ซูจิ่นซี ข้ารับปากเจ้า! ”

        “ท่านรับปากแล้วจะมีประโยชน์อันใด? ท่านสามารถตัดสินใจแทนฝ่าบาทได้หรือ? ”

        “ข้ารับปากกับเจ้าว่า ตราบใดที่เจ้าเข้าไปในวังหลวงพร้อมกับข้า ข้าจะไปขอร้องเสด็จพ่อให้ทันที หากเสด็จพ่อไม่เห็นด้วยกับการให้เจ้าพบเสด็จอาโยวเหยา เจ้าจะไม่ถอนพิษให้เสด็จแม่ก็ย่อมได้! ”

        “ไม่ทราบว่าไท่จื่อทรงมั่นใจเพียงใดว่าสามารถพูดกับฮ่องเต้ได้! ”

        “เก้าในสิบ! ”

        ซูจิ่นซีจิบชาอย่างสงบโดยไม่พูดอันใดแม้แต่น้อย

        หากเยี่ยเซินคนก่อนพูดเช่นนี้ ซูจิ่นซีแน่ใจได้เพียงว่าเขาไม่มีความมั่นใจแม้แต่ส่วนเดียว เนื่องจากเขาเพียงคำนวณในใจเท่านั้น

        ทว่าเยี่ยเซินในตอนนี้… แม้เขาจะดูแตกต่างจากเมื่อก่อน ทว่าซูจิ่นซีเชื่อเขาเพียงห้าส่วนเท่านั้น

        เพราะนางไม่เชื่อฮ่องเต้ อีกห้าส่วนที่เหลือเป็นแผนการสมรู้ร่วมคิดของฮ่องเต้

        อย่างไรเสียห้าส่วนนี้ก็เพียงพอแล้ว

        “ได้! ” ซูจิ่นซีวางถ้วยชาในมือลง

        ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ซูจิ่นซีและเยี่ยเซินก็เข้าไปในวังหลวงด้วยกัน

        เยี่ยเซินพาซูจิ่นซีไปที่ตำหนักวังแห่งหนึ่งก่อน ส่วนตนเองไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้

        คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเซินไม่ได้ตั้งใจขอร้องฮ่องเต้ เพราะฮ่องเต้กลับมาพบซูจิ่นซีด้วยตนเอง

        “ซูจิ่นซี ข้าขอสั่งให้เจ้ารักษาฮ่องเฮาเดี๋ยวนี้” ฮ่องเต้รับสั่งอย่างเคร่งขรึมน่าเกรงขามและทรงโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง

        เมื่อมองไปที่ฮ่องเต้ ดวงตาสง่างามของซูจิ่นซีพลันหรี่ลง นางเยาะเย้ยในใจชั่วขณะ

        ฮ่องเต้ไม่ใส่พระทัยในคำขอของนาง เป็นดั่งที่นางคิดไว้ก่อนหน้านี้ พระองค์คิดจะบีบบังคับให้นางยอมประนีประนอม!

        สายตาซูจิ่นซีหันไปมองเยี่ยเซินอีกครั้ง

        ใบหน้าของเยี่ยเซินรู้สึกผิดเล็กน้อย เขาเดินมาเบื้องหน้าซูจิ่นซีและพูดกับซูจิ่นซีอย่างแผ่วเบาว่า “จิ่นซี เจ้ารักษาพระอาการประชวรให้เสด็จแม่ก่อน รอให้พระอาการของเสด็จแม่ดีขึ้น แล้วค่อยเจรจาต่อรองเรื่องนี้กับเสด็จพ่อก็ยังไม่สาย”

        ก่อนรักษาพระอาการประชวรของฮองเฮา พวกเขายังไม่เห็นสมควร หากรอให้พระอาการประชวรของฮองเฮาหายแล้ว เรื่องนี้ซูจิ่นซียังจะมีสิทธิ์พูดอีกหรือ?

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset