ดวงตาของซูจิ่นซียังคงหรี่ลง นัยน์ตาสะท้อนแสงเย็นวาบวับ ทันใดนั้นนางก็ยิ้มอย่างเยือกเย็นและกล่าวอย่างมีความหมายแฝงว่า “ได้เพคะ! ”
“จิ่นซี ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องไม่มองเคราะห์ร้ายของเสด็จแม่อย่างไร้ความรู้สึก ข้าจะพาเจ้าไปที่ตำหนักจ้งหวา”
ไม่คิดว่าซูจิ่นซีจะตอบรับง่ายดายถึงเพียงนี้ เยี่ยเซินปลาบปลื้มดีใจเป็นอย่างมาก
ซูจิ่นซีเดินตามหลังเยี่ยเซินไป ขณะที่เดินผ่านฮ่องเต้ แววตาของนางก็ดูเยือกเย็นเป็นพิเศษ
แม้รับสั่งจากฮ่องเต้มิอาจฝ่าฝืน ฮ่องเต้บังคับซูจิ่นซีได้สำเร็จ ทว่าในพระทัยกลับรู้สึกเหมือนขาดบางสิ่งบางอย่างไป เมื่อซูจิ่นซีสบพระเนตรของพระองค์ ในพระทัยของพระองค์ก็รู้สึกกระวนกระวาย ฮ่องเต้จึงเสด็จตามเยี่ยเซินและซูจิ่นซีไปยังตำหนักจ้งหวา
หมอหลวงจำนวนมากยืนอยู่ที่ตำหนักจ้งหวา ต่างคนต่างขมวดคิ้วมุ่น แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นมีอวิ๋นจิ่น
เมื่ออวิ๋นจิ่นมองเห็นซูจิ่นซี ใบหน้าก็ยังคงประดับด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นดั่งสายลมยามวสันตฤดู “ข้าน้อยถวายบังคมพระชายาพ่ะย่ะค่ะ! ”
“หมอหลวงอวิ๋นไม่จำเป็นต้องมากพิธี พระอาการประชวรของฮองเฮาเป็นเช่นไรบ้าง? ”
เมื่อซูจิ่นซีเผชิญหน้ากับอวิ๋นจิ่น ความเศร้าหมองเมื่อครู่ก็ถูกขจัดออกไป ใบหน้าของนางยิ้มแย้มอ่อนโยนเช่นเดียวกับอวิ๋นจิ่น
“พระอาการประชวรของฮองเฮา ข้าน้อยก็คาดเดาไม่ได้เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ สถานการณ์ค่อนข้างซับซ้อน ลักษณะอาการของโรคเช่นนี้ ข้าน้อยที่เป็นแพทย์มาหลายปีไม่เคยพบที่ใดมาก่อนเลยพ่ะย่ะค่ะ”
หากย้อนกลับไปในอดีต นี่เป็นเพียงคำพูดปกติของซูจิ่นซีที่พูดกับอวิ๋นจิ่น เพื่อทำความเข้าใจอาการของคนไข้
ทว่าตอนนี้ กลับมีอีกความหมายหนึ่งแฝงอยู่ “หมอหลวงอวิ๋นลำบากท่านแล้ว ทางนี้ให้ข้าจัดการต่อเถิด! ”
“พ่ะย่ะค่ะพระชายา เชิญท่าน! ”
อวิ๋นจิ่นผายมือเชิญ ซูจิ่นซีพยักหน้าและเดินเข้าไปในห้องชั้นในของฮองเฮา เยี่ยเซินและฮ่องเต้จึงเสด็จตามเข้าไป ซูจิ่นซีไม่ได้ทำท่าทางขัดขวางเมื่อจะรักษาโรคให้ผู้คนเหมือนแต่ก่อน
ซูจิ่นซีเดินไปข้างแท่นบรรทมของฮองเฮา นางกำนัลรีบเปิดม่านออก
ฮองเฮานอนนิ่งอยู่บนแท่นบรรทม พระพักตร์แดงก่ำ ลมหายใจสม่ำเสมอ หากไม่ใช่ผู้อื่นบอกว่าฮองเฮาประชวร พระองค์ก็ดูเหมือนกำลังบรรทมเสียมากกว่า
ซูจิ่นซีนั่งลงข้างเตียง ทาบมือไปที่ชีพจรบนข้อพระหัตถ์ของฮองเฮาอย่างเชื่องช้า
นางหลับตาลงเบาๆ ตรวจชีพจรให้ฮองเฮาอย่างสงบ ไม่ได้พูดอันใดเป็นเวลานาน นานเสียจนฮ่องเต้และเยี่ยเซินทนรอไม่ไหว
“จิ่นซี อาการของเสด็จแม่เป็นอย่างไรกันแน่? ”
“ซูจิ่นซี อาการของฮองเฮาเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าตรวจได้ผลหรือไม่? ”
ซูจิ่นซียังคงตรวจวัดชีพจรอย่างสงบ ไม่เอ่ยเสียงใดออกมาราวกับไม่ได้ยินความกังวลของฮ่องเต้และเยี่ยเซินอย่างไรอย่างนั้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้เริ่มกริ้วขึ้นมาแล้ว พระองค์ตรัสว่า “ซูจิ่นซี ตรวจชีพจรต้องใช้เวลานานถึงเพียงนี้เชียวหรือ? เจ้าดูออกหรือไม่กันแน่? รีบตอบข้ามาเดี๋ยวนี้”
ซูจิ่นซีลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้าและลุกขึ้นยืน
นางกล่าวด้วยท่าทางเมินเฉยว่า “ฝ่าบาท พระอาการของฮองเฮาไม่ใช่อาการประชวร ทว่าพระองค์ได้รับพิษเพคะ! สถานการณ์เป็นเช่นเดียวกับที่หมอหลวงอวิ๋นกล่าวมาทั้งหมด พระอาการซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง”
ได้รับพิษ?
แม้ก่อนหน้านี้อวิ๋นจิ่นจะเคยบอกว่าพระอาการของฮองเฮามีลักษณะที่ชี้ให้เห็นว่าได้รับพิษ ทว่าคำพูดเหล่านี้เมื่อออกมาจากปากของซูจิ่นซีที่เป็นผู้ชำนาญในการถอนพิษก็เท่ากับเป็นการวินิจฉัยจากผู้เชี่ยวชาญ
ทุกคนต่างประหลาดใจ
ฮองเฮาต้องพิษอีกแล้ว!
ผู้ใดช่างกล้าได้ถึงเพียงนี้ คาดไม่ถึงว่าจะวางยาพิษฮองเฮาครั้งแล้วครั้งเล่า?
“สารเลว มันเป็นผู้ใดกันแน่ ดูถูกเหยียดหยามอำนาจของฮ่องเต้เช่นนี้ ทำร้ายฮองเฮาครั้งแล้วครั้งเล่า? ทหารอารักขาของตำหนักจ้งหวาตายหมดแล้วหรือ? ”
เมื่อได้ยินความโกรธของฮ่องเต้ ทหารอารักขาและข้ารับใช้ระดับล่างต่างพากันคุกเข่าลงกับพื้นโดยทันที
การแสดงออกของซูจิ่นซีดูเฉยเมยยิ่ง นางไม่ยอมหาเหาใส่หัวในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง
“พระชายาโยวอ๋อง ในเมื่อรู้ว่าได้รับพิษแล้ว ไฉนจึงยังไม่รีบใช้ยาถอนพิษเล่า! ” ฮ่องเต้รับสั่งอย่างเกรี้ยวกราด
ซูจิ่นซีไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย ทั้งยังจ้องสบแววพระเนตรของฮ่องเต้อย่างสงบนิ่ง หลังจากนั้นไม่นานซูจิ่นซีก็กล่าวว่า “ฝ่าบาท…ด้วยความเคารพ หม่อมฉันเคยบอกแล้วว่าการได้รับพิษของฮองเฮาในครั้งนี้ซับซ้อนเป็นอย่างมาก แม้หม่อมฉันจะวินิจฉัยได้ถูกต้อง ทว่าไม่ได้วินิจฉัยว่าเป็นพิษชนิดใด ดังนั้นตอนนี้จึงหาวิธีถอนพิษไม่ได้เพคะ”
กระไรนะ?
หมอหลวงที่ยืนอยู่ด้านนอกต่างพากันแสดงอาการตกใจ
จบสิ้นแล้ว!
ครั้งนี้จบสิ้นลงแล้วอย่างแน่นอน!
แม้แต่พระชายาโยวอ๋องยังวินิจฉัยไม่ได้ว่าเป็นพิษชนิดใด เช่นนั้นลองมองไปทั่วแคว้นจงหนิง ผู้ใดที่มีความสามารถในการถอนพิษเหนือกว่าพระชายาโยวอ๋องอีกเล่า
หรือว่าครานี้จะช่วยชีวิตฮองเฮาไม่ได้จริงๆ ?
“จิ่นซี เจ้าพูดกระไร? ” พระเนตรของฮ่องเต้มีความแค้นเคือง
ซูจิ่นซีไม่สนใจแม้แต่น้อย นางกล่าวให้ฮ่องเต้ฟังอีกรอบอย่างมั่นคงแน่วแน่ว่า “ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันมองไม่ออกว่าฮองเฮาต้องพิษกระไร ดังนั้นหม่อมฉันจึงไม่สามารถถอนพิษให้ฮองเฮาได้เพคะ”
“ซูจิ่นซี เจ้ายอมรับว่าเจ้าไร้ความสามารถเช่นนั้นหรือ? ”
“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันเพียงบอกว่ายังตรวจหาไม่พบชั่วคราว ไม่ได้บอกว่าจะตรวจหาไม่พบตลอดไปนะเพคะ”
ฮ่องเต้ชะงักไปชั่วขณะ “เช่นนั้นแล้ว เมื่อใดเจ้าจึงจะสามารถตรวจพบ? จำเป็นต้องใช้เวลานานเท่าใด? ”
ซูจิ่นซีเหลือบตามองเยี่ยเซินด้วยสายตาที่ซับซ้อน “มิทราบเพคะ อาจตรวจพบได้ในสองถึงสามชั่วยาม หรืออาจนานนับสิบวันครึ่งเดือน กระทั่งยาวนานกว่านั้น”
“กระไรกัน? นานถึงสิบวันครึ่งเดือนเชียวหรือ? ” ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พระชายาโยวอ๋อง ไม่สิ! หากท่านตรวจพบและมั่นใจแล้วว่าฮองเฮาได้รับพิษชนิดใดก็รีบหาทางรักษาให้เร็วที่สุดเถิด แม้ตอนนี้ฮองเฮาจะดูเหมือนไม่เป็นกระไรมาก ทว่าหลังจากที่พระองค์หมดสติจากการได้รับพิษ อุณหภูมิในร่างกายกลับลดลงไม่หยุด กระหม่อมไม่กล้าให้ยาโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นพิษกระไร หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ใช่วิธีการที่ดี เกรงว่าฮองเฮาคงไม่สามารถรอได้นานถึงเพียงนั้นนะพ่ะย่ะค่ะ! ”
อวิ๋นจิ่นลุกขึ้นมากล่าวได้อย่างถูกเวลา
ซูจิ่นซียืนนิ่ง นางส่งสายตาไปทางอวิ๋นจิ่นด้วยความซาบซึ้ง
ซูจิ่นซีกลับมาพูดอย่างสงบว่า “อาจไม่นานถึงเพียงนั้นก็เป็นได้เพคะ ช่วงนี้สภาพจิตใจของหม่อมฉันไม่ค่อยดี บางทีคงต้องรอให้หม่อมฉันมีสภาพจิตใจที่ดีเสียก่อน ไม่แน่ว่าอาจสามารถวินิจฉัยออกมาได้ว่าฮองเฮาได้รับพิษชนิดใดเพคะ”
ท้ายที่สุดฮ่องเต้ก็เข้าใจอันใดบางอย่างขึ้นมา ในพระเนตรอันทรงเกียรติลุกไหม้ไปด้วยความโกรธที่ไม่สามารถควบคุมได้ “พระชายาโยวอ๋อง ท่านกำลังล้อเล่นข้า ข่มขู่ข้าอยู่หรือ? ”
ใบหน้าที่สงบนิ่งไม่แยแสของซูจิ่นซี ในที่สุดก็เผยรอยยิ้มอ่อนจางออกมา “ฝ่าบาทเพคะ พูดได้อย่างไรว่านี่เป็นการล้อเล่นข่มขู่เพคะ? หม่อมฉันไม่ใช่หมอหลวงในราชสำนัก ไม่ใช่ความรับผิดชอบของหม่อมฉันที่ไม่สามารถรักษาผู้คนหรือวินิจฉัยได้ว่าฮองเฮาต้องพิษชนิดใด เป็นความผิดของหม่อมฉันหรือเพคะ? ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่หม่อมฉันพูดก็ไม่ผิด ไม่กี่วันมานี้หม่อมฉันยังไม่ได้พบท่านอ๋องเลยแม้แต่น้อยเพราะท่านอ๋องไม่ได้กลับจวน สภาพจิตใจของหม่อมฉันไม่ดีจริงๆ เพคะ”
แม้ซูจิ่นซีจะบอกว่าไม่ได้ข่มขู่ ทว่าสิ่งที่นางพูดไปกลับแสดงถึงการเจรจาเงื่อนไขกับฮ่องเต้ตามความคิดที่อยู่ในใจของตน มันยิ่งกว่าการขู่เข็ญเสียอีก
“ซูจิ่นซี เจ้าอาจหาญยิ่งนัก”
ไฟโกรธในพระเนตรของฮ่องเต้แปรเปลี่ยนเป็นความแค้น
ซูจิ่นซีกลับมาแสดงท่าทีเฉยเมยเช่นเดิม “หม่อมฉันมิบังอาจเพคะ! ”
“เจ้าไม่กล้า? ข้าคิดว่าเจ้ากล้ายิ่งนัก! ”
เหล่านางกำนัลและขันทีในตำหนักจ้งหวา รวมไปถึงหมอหลวงที่อยู่ด้านนอกถูกเยี่ยเซินไล่ออกไปอย่างเงียบเชียบ ตอนนี้ในตำหนักจ้งหวาเหลือเพียงสี่คนคือซูจิ่นซี ฮ่องเต้ เยี่ยเซิน และฮองเฮาที่หมดสติเท่านั้น
เยี่ยเซินกล่าวว่า “เสด็จพ่อ จากที่ลูกมองแล้ว ท่านรับปากซูจิ่นซีไปก่อนดีกว่า อย่างไรเสียตอนนี้ท่านอาโยวอ๋องก็อยู่ที่ตำหนักเจิ้นหนาน มีกองกำลังทหารและองครักษ์เงาของราชสำนักหมิงคอยคุ้มกันอยู่อย่างหนาแน่น ต่อให้ติดปีกก็หนีไม่พ้น ซูจิ่นซียิ่งไม่รู้วรยุทธต่อสู้ แม้นางได้พบท่านอาโยวอ๋องก็ใช้แผนหลอกล่อไม่ได้อยู่ดี”
ฮ่องเต้ขึงพระเนตรด้วยความอาฆาตแค้นแล้วกวาดมองไปทางเยี่ยเซิน “ไท่จื่อ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเหมาะสมเพียงใดกับตำแหน่งของตงกง แม้แต่เจ้ายังกล้าขัดขืนคำสั่งของข้าหรือ? ”
เยี่ยเซินรีบส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “เสด็จพ่อ ลูกมิบังอาจ ลูกเพียงเป็นห่วงเสด็จแม่เท่านั้น อย่างไรก็ตามหมอหลวงอวิ๋นก็พูดว่าอาการของเสด็จแม่คาดเดาได้ยากนัก ยิ่งช้าก็ยิ่งอันตราย เสด็จพ่อโปรดไตร่ตรองอาการของเสด็จแม่ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ” เมื่อพูดจบ เยี่ยเซินก็คุกเข่าลงเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้
เมื่อพูดถึงพระอาการของฮองเฮา พระเนตรที่ลุกเป็นไฟในคราแรกของฮ่องเต้ก็อ่อนโยนมากขึ้น พระองค์ทอดพระเนตรฮองเฮาที่นอนหมดสติบนแท่นบรรทมและทรงใคร่ครวญถึงบางสิ่งบางอย่าง
หลังจากนั้นไม่นาน ดวงเนตรที่เย็นชาก็หันกลับไปมองซูจิ่นซี “ตกลง พระชายาโยวอ๋อง ขอเพียงเจ้าถอนพิษในกายของฮองเฮาได้ ข้ารับปากว่าจะให้เจ้าได้พบกับโยวอ๋อง”
“เป็นไปไม่ได้! ”
ซูจิ่นซีไม่คิดแม้แต่น้อย นางรีบปฏิเสธในทันที
ฮ่องเต้รับปากกับซูจิ่นซีแล้วว่าสามารถให้นางเข้าพบเยี่ยโยวเหยาได้ กลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะปฏิเสธ
นางต้องการจะทำสิ่งใด?