ฮ่องเต้รับปากกับซูจิ่นซีแล้วว่าสามารถให้นางเข้าพบเยี่ยโยวเหยาได้ กลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะปฏิเสธ
นางต้องการจะทำสิ่งใด?
“พระชายาโยวอ๋อง เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ” ฮ่องเต้ตรัสเสียงเย็น
“หม่อมฉันต้องการพบท่านอ๋องก่อนแล้วค่อยทำการวินิจฉัยเพื่อถอนพิษให้ฮองเฮาเพคะ”
“นี่เจ้าไม่เชื่อข้าอย่างนั้นหรือ? ”
ไม่ต้องพูดอันใด ซูจิ่นซีก็แทบไม่เชื่อฮ่องเต้อยู่แล้ว
อย่างไรเสีย ซูจิ่นซีทำเพียงยืนเงียบ ไม่พูดไม่จาอันใด
“พระชายาโยวอ๋อง เจ้ามันได้คืบจะเอาศอก” ฮ่องเต้เริ่มกัดฟัน
“แท้จริงแล้วหม่อมฉันไม่พบท่านอ๋องก็ได้ ฝ่าบาทเรียกใช้หมอมีฝีมือท่านอื่นก็แล้วกันนะเพคะ”
ซูจิ่นซีกำลังข่มขู่มากขึ้นอีกขั้น
เมื่อมองไปทั่วทั้งจงหนิง ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์หรือพสกนิกร เกรงว่าจะมีเพียงเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีเท่านั้นที่กล้าข่มขู่ฮ่องเต้เช่นนี้
ไม่คิดว่าการให้ซูจิ่นซีอภิเษกกับเยี่ยโยวเหยาจะทำให้พระองค์ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทั้งคับอกคับใจทั้งถูกกระทำเช่นนี้ ไม่รู้ว่าภายในพระทัยของฮ่องเต้จะนึกเสียใจจนกระอักเลือดไปแล้วกี่ครั้ง
“ได้ๆๆ พระชายาโยวอ๋อง เจ้ากล้าหาญพอสมควร” ฮ่องเต้ถูกซูจิ่นซีทำให้กริ้วครั้งแล้วครั้งเล่า
“จิ่นซี อย่างไรเจ้าก็ถอนพิษให้เสด็จแม่ก่อนเถิด! ชีวิตของมนุษย์สูงส่งเทียมฟ้าไม่อาจล่าช้าหมางเมิน! ไม่รู้ว่าพิษนี้จะกำเริบขึ้นมาเมื่อใด หากรอให้เจ้ากลับมาจากการพบท่านอาโยวอ๋อง พิษในตัวเสด็จแม่ก็คง… ”
เยี่ยเซินรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยเช่นกัน ทว่าคำพูดประโยคหลังที่อาจเป็นการเนรคุณและทรยศนั้น ท้ายที่สุดก็ติดอยู่ในลำคอของเขา ไม่ได้พูดออกมา
“ในเมื่อข้าพูดแล้วว่าจะถอนพิษให้ฮองเฮาหลังจากได้พบท่านอ๋อง นั่นเพราะข้ามั่นใจว่าฮองเฮาสามารถอยู่ได้ถึงเวลานั้น หากไท่จื่อไม่เชื่อข้า เหตุใดถึงเชิญข้ามาเล่า”
“ได้ ซูจิ่นซี ข้ารับปากเจ้า หากถึงเวลานั้นแล้วฮองเฮาเคราะห์หามยามร้ายหรือเจ้ายังไม่สามารถถอนพิษให้ฮองเฮาได้ ก็อย่ามาโทษข้าที่ไม่เกรงใจเจ้า”
ซูจิ่นซีไม่สนใจ นางหันหลังเดินไปข้างพระวรกายของฮองเฮาและหยิบขวดขนาดเล็กออกมาจากแขนเสื้อ ซูจิ่นซีเทยาลูกกลอนสีขาวขุ่นออกมาหนึ่งเม็ดให้ฮองเฮาเสวย
“นี่คือดอกไม้เก้าชนิดต้านพิษ แม้จะถอนพิษในพระวรกายของฮองเฮาไม่ได้ ทว่ามันสามารถระงับพิษในพระวรกายของฮองเฮาไม่ให้กำเริบได้ชั่วคราว อยู่ได้จนถึงหม่อมฉันกลับมา”
ซูจิ่นซีช่างอาจหาญข่มขู่ฮ่องเต้ ไม่เหลือเกียรติให้ฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้โกรธกริ้วไปทั้งร่าง หากไม่ใช่เพราะต้องถอนพิษให้ฮองเฮา เกรงว่าพระองค์คงรับสั่งให้คนมาลากตัวซูจิ่นซีไปประหารตั้งนานแล้ว
ฮ่องเต้ส่งเสียงไม่พอพระทัยเล็กน้อยพร้อมสะบัดแขนเสื้อเสด็จออกนอกประตูไป “ไท่จื่อ พาพระชายาโยวอ๋องไปตำหนักเจิ้นหนาน”
ในเวลานี้ แม้ซูจิ่นซีจะแสดงใบหน้าเมินเฉยทว่าในใจลึกๆ กลับถอนหายใจยาว ไม่มีผู้ใดรู้ว่าผลลัพธ์ที่นางต้องคำนวณนั้นยากเย็นเพียงใด ฝ่ามือของนางเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น
เวลาผ่านไปไม่นาน เยี่ยเซินก็พาซูจิ่นซีไปถึงฝั่งตำหนักเจิ้นหนาน
ตำหนักเจิ้นหนานเป็นสถานที่ที่เฉินไท่เฟยและเยี่ยโยวเหยาอาศัยอยู่ในคราแรก เมื่อครั้งที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังมีพระชนม์ชีพอยู่
เป็นจริงอย่างที่เยี่ยเซินพูด บริเวณโดยรอบของตำหนักเจิ้นหนานได้รับการคุ้มกันอย่างหนาแน่นและเข้มงวด ทว่านี่เป็นเพียงสิ่งที่ซูจิ่นซีสามารถใช้สายตามองเห็นเท่านั้น บริเวณที่สายตาของซูจิ่นซีมองไม่เห็นยังมีทหารของราชวงศ์ที่ไม่รู้ว่าหลบซ่อนอยู่มากน้อยเพียงใด
ซูจิ่นซียกยิ้มภายในใจอย่างขมขื่น
ที่จริงแล้วยิ่งฮ่องเต้ทำเช่นนี้มากเท่าไร ยิ่งเป็นการอธิบายถึงความเก่งกาจของเยี่ยโยวเหยามากเท่านั้น
มันยิ่งอธิบายว่าฮ่องเต้กลัวเยี่ยโยวเหยามากเพียงใด!
“จิ่นซี ท่านอาโยวอ๋องอยู่ด้านใน”
เมื่อทหารเปิดประตูตำหนักเจิ้นหนาน เยี่ยเซินก็กล่าวด้วยถ้อยคำที่ซับซ้อน
ซูจิ่นซีทำเหมือนว่าเยี่ยเซินไม่อยู่ตรงนี้ นางคร้านที่จะสนใจเขาแล้ว
ทว่าในขณะที่ซูจิ่นซีกำลังก้าวเข้าประตู เท้าที่ยื่นออกไปก็ชะงักด้วยความสับสนลังเลครู่หนึ่ง
เยี่ยโยวเหยาเป็นผู้ที่มีบุคลิกสูงส่งและหยิ่งยโสเช่นนั้น ตอนนี้กลับเป็นนักโทษของฮ่องเต้ ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นเช่นไรบ้าง
จะตกระกำลำบากหรือไม่?
จะอดทนได้หรือไม่?
เขาจะยอมให้ผู้อื่นเห็นเขาในสภาพนี้หรือไม่?
ทว่าท้ายที่สุดซูจิ่นซีก็ก้าวเท้าเข้าไปอย่างกล้าหาญและแน่วแน่
สิ่งที่ทำให้ซูจิ่นซีคาดไม่ถึงคือ เยี่ยโยวเหยากำลังนั่งอยู่ที่ลานในตำหนักเจิ้นหนาน เขายังคงมีท่าทางทะนงตน สูงศักดิ์ และเยือกเย็น แม้จะถูกลดค่าเป็นนักโทษ ทว่าเขายังคงสูงส่งและไม่อาจล่วงละเมิดให้ขุ่นเคือง
ขณะนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เมฆทางฝั่งตะวันตกถูกย้อมด้วยสีแดงโชติช่วง สว่างไสวราวอาทิตย์อัสดงสาดส่องจากฟากฟ้าลงมาสู่ตำหนักเจิ้นหนานอย่างเงียบสงัด ดั่งของขวัญจากสวรรค์
เยี่ยโยวเหยาสวมชุดสีดำเข้มราวกับท่านอ๋องผู้ลึกลับ ในมือถือหมากรุกจีน เขากำลังเล่นหมากรุกจีนกับตนเองอย่างเงียบสงบ
ในที่สุดก็ได้เห็นเยี่ยโยวเหยาอีกครั้ง เป็นเวลาเพียงหนึ่งวันสองคืนยี่สิบเอ็ดชั่วยาม ทว่าในหัวใจของซูจิ่นซีราวกับผ่านไปแล้วหลายปี เห็นได้ชัดว่าซูจิ่นซีวิตกกังวลมากเพียงใดในยี่สิบเอ็ดชั่วยามนี้
เยี่ยโยวเหยาได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวที่ประตูจึงหันหน้ามามองอย่างเชื่องช้า
แสงแดดส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้า การแสดงออกของเขาไม่มีอาการตกใจเมื่อเห็นซูจิ่นซี ทว่ากลับยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยให้นาง เป็นรอยยิ้มเพื่อซูจิ่นซีโดยเฉพาะ
ช่วงเวลานี้ ดูเหมือนว่าแสงสนธยาของดวงอาทิตย์ถูกบดบังไปไม่น้อย
ซูจิ่นซีเก็บอารมณ์ความเจ็บปวดภายในใจเอาไว้ นางยิ้มและเดินไปหาเยี่ยโยวเหยาทีละก้าว
ซูจิ่นซีเป็นคนพูดขึ้นก่อน “เยี่ยโยวเหยาเพคะ แสงสนธยายามพลบค่ำในตำหนักเจิ้นหนานไม่น่าดูเท่าจวนโยวอ๋องเลย! ”
“ซูจิ่นซี เจ้ามาได้อย่างไร? ”
“เยี่ยโยวเหยาเพคะ บอกข้าได้หรือไม่ว่ามันเกิดอันใดขึ้น? ” ซูจิ่นซีขมวดคิ้วถามขึ้น
“กลับไป นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า! ”
“เหตุใดถึงไม่ใช่เรื่องของหม่อมฉันเล่า? เยี่ยโยวเหยาเพคะ หม่อมฉันเป็นชายาของท่าน! ”
ซูจิ่นซีดื้อรั้นเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งสวรรค์ก็รู้ว่านางพยายามมากเพียงใดกว่าจะได้มาพบกับเยี่ยโยวเหยา คาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะเฉยชากับนางเช่นนี้ ขณะนี้ซูจิ่นซีรู้สึกว่ารอยยิ้มที่ตนเห็นบนใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาเมื่อครู่นั้นเป็นภาพลวงตาของนางเอง
เยี่ยโยวเหยาชะงักไปครู่หนึ่ง ความรู้สึกแปลกประหลาดแวบผ่านเข้ามาในดวงตา เขาทำเสียงอ่อนโยนขึ้นไม่น้อยว่า “ซูจิ่นซี ฟังนะ กลับไป! ข้าไม่ได้เป็นกระไร”
“ไม่เป็นกระไรได้อย่างไรเพคะ? ด้านนอกมีทหารเฝ้ามากมายถึงเพียงนั้น ยิ่งไปกว่านั้นท่าทางของฮ่องเต้ในครั้งนี้ก็ดูเหมือนพระองค์ไม่ได้โกหก”
ซูจิ่นซีไม่ใช่ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ปรารถนาที่จะกำจัดจวนโยวอ๋องและโค่นล้มเยี่ยโยวเหยามาโดยตลอด
ซูจิ่นซียังต้องการถามบางอย่างต่อ ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยาก็ก้าวมาจับมือซูจิ่นซีและพานางมานั่งบนเก้าอี้หินที่เขานั่งเมื่อครู่
“เจ้าเล่นหมากรุกจีนเป็นหรือไม่? เล่นเป็นเพื่อนข้าเป็นอย่างไร?”
จนถึงเวลานี้แล้ว คาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยายังคิดจะเล่นหมากรุกจีนอีก
ซูจิ่นซีกังวลยิ่ง คำพูดที่กำลังจะถามเยี่ยโยวเหยาติดอยู่ที่ริมฝีปาก ทว่านางเห็นหางตาของเยี่ยโยวเหยาพยายามมองไปที่ชายคาของตำหนักที่เชื่อมต่อกันอยู่
ทันใดนั้นนางก็มองไปยังทิศทางที่เยี่ยโยวเหยามอง พลันเห็นร่างสีดำรีบซ่อนตัวที่ด้านหลังชายคาอย่างรวดเร็ว ไม่นานซูจิ่นซีก็เข้าใจกระไรบางอย่างในทันที
ซูจิ่นซีเอ่ยขึ้นอย่างสงบว่า “เล่นเป็นบ้าง ทว่าฝีมืออาจไม่ดีนัก”
“เพียงเล่นเป็นก็พอแล้ว! ”
ขณะที่พูดอยู่ เยี่ยโยวเหยาก็วางตัวหมากรุกจีนสีดำลงบนกระดานหมากรุก
ซูจิ่นซีเป็นตัวสีขาว
พวกเขาเล่นหมากรุกจีนอยู่ราวๆ ครึ่งชั่วยาม การเข้าโอบล้อมของซูจิ่นซีไม่ดีนัก แน่นอนว่านางไม่อาจเอาชนะเยี่ยโยวเหยาได้เลย
ทว่าหลังจากการวางหมากรุกจีน ซูจิ่นซีก็ต้องตกใจเมื่อมองดูการวางตัวของหมากรุกบนกระดาน
ซูจิ่นซีเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยโยวเหยาอย่างไม่อยากจะเชื่อ