สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 171 ปราศจากอุปสรรคสามพันปี

        “พระชายา เรื่องนี้ท่านยังไม่ต้องกังวลจนเกินไปพ่ะย่ะค่ะ หลายปีมานี้ท่านอ๋องได้ผ่านพายุคลื่นซัดมาถึงเพียงนี้แล้ว เขายังสามารถฝ่าฟันอันตราย พลิกเหตุการณ์ร้ายให้กลายเป็นดีได้ ครานี้ก็จะต้องไม่เป็นอันใดอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

        แม้เยี่ยโยวเหยาจะไม่พูด ทว่าซูจิ่นซีได้ตัดสินกับตนเองเงียบๆ ในใจแล้วว่า นางต้องหาทางช่วยเหลือเยี่ยโยวเหยาออกมาให้ได้

        ทว่ายังมีสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากในตอนนี้ นั่นคือการคัดเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขสกุลซูที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า

        ในตอนเช้าของวันเดียวกัน ซูจิ่นซีพาแม่นมฮวาและลวี่หลีพร้อมทั้งอนุปี้และซูอวี้ไปที่สนามประลอง

        การแข่งขันครานี้จัดขึ้นที่หอกุ้ยเหรินบนถนนหลักฉางอันตามที่ซูจิ่นซีได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้

        ซูจิ่นซีสวมอาภรณ์เสร็จและออกเรือนไปหลังจากรับประทานอาหารเช้า พ่อบ้านได้เตรียมรถม้าไว้ด้านนอกประตู ซูอวี้และอนุปี้มาถึงก่อนแล้ว

        ซูจิ่นซีมองเห็นหมอเทวดาหวาที่ยืนอยู่ข้างรถม้า

        “หมอเทวดาหวาก็ไปด้วยหรือ? ”

        “ข้าน้อยและท่านชายน้อยซูอวี้ถือเป็นอาจารย์และศิษย์เช่นกัน ครานี้ท่านชายน้อยซูอวี้เข้าร่วมการแข่งขัน ข้าน้อยต้องการไปที่สนามประลองเพื่อช่วยเหลือท่านชายน้อยซูอวี้ด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ” หมอเทวดาหวากล่าวขึ้น

        “หายากนักที่หมอเทวดาหวาจะมีเจตนาเช่นนี้ เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด! ”

        หลังจากที่ซูจิ่นซีพูดจบ ก็เดินนำขึ้นไปบนรถม้า

        ระหว่างทางซูจิ่นซี ลวี่หลี และแม่นมฮวานั่งในรถม้าขนาดใหญ่ ส่วนอนุปี้และซูอวี้นั่งในรถม้าขนาดเล็ก ผู้ที่ขี่ม้าตามมาด้านหลังรถม้าของซูจิ่นซีคือหมอเทวดาหวา

        เพื่อไม่ให้สะดุดตา ในครานี้ซูจิ่นซีจึงไม่ได้พาองครักษ์ไปมากนัก

        “คุณหนู การแข่งครานี้คุณชายน้อยอวี้จะต้องชนะอย่างแน่นอนเพคะ! ” ลวี่หลีกล่าวขึ้น

        แม้ซูจิ่นซีจะนั่งอยู่ในรถม้า ทว่านางกลับหลับตาลงทั้งสองข้างและไม่พูดอันใด

        ลวี่หลีพูดเองเออเองอีกครั้ง “ท่านชายน้อยอวี้จะต้องชนะแน่นอน เขาอุตสาหะ ยิ่งไปกว่านั้นยังฉลาดกว่าเด็กคนอื่นๆ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ฮูหยินใหญ่และท่านชายน้อยจวิ้นเลวถึงเพียงนั้น อย่างไรก็ปล่อยให้พวกเขาเอาชนะการแข่งขันครั้งนี้ไม่ได้”

        ไม่รู้ว่าซูจิ่นซีกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ราวกับว่านางไม่ได้ยินเสียงลวี่หลีเลยอย่างไรอย่างนั้น ทั้งยังไม่พูดโต้ตอบใดๆ

        ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดัง “ตูม” ตามมาด้วยเสียงม้าร้องติดๆ กัน

        ซูจิ่นซีลืมตาขึ้นมาทันที “เกิดกระไรขึ้น? ”

        “ทูลพระชายา รถม้าของอนุปี้และท่านชายน้อยอวี้ถูกโจมตีพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ที่ติดตามรถม้ารายงานกลับ

        รถม้าของซูอวี้ถูกรถม้าอีกคันชน?

        ใบหน้าของซูจิ่นซีสงบ นางก้าวเท้าลงจากรถม้า

        “อวี้เอ๋อร์เป็นกระไรหรือไม่? ”

        “ยังไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ รถม้าถูกชนจนพลิกคว่ำพ่ะย่ะค่ะ”

        รถม้าของอนุปี้และซูอวี้อยู่ไม่ไกลจากรถม้าของซูจิ่นซี เมื่อซูจิ่นซีเดินลงมาก็เห็นว่ารถม้าที่อยู่ด้านหลังสองคันนั้นชนกันจนพลิกคว่ำจริงๆ

        สาเหตุของอุบัติเหตุคือรถม้าสองคันชนกัน รถม้าของอนุปี้และซูอวี้ถูกชนตรงแผงขายก๋วยเตี๋ยวข้างถนน รถหักคว่ำลง ล้อรถข้างหนึ่งถูกชนกระเด็นไปอีกฝั่ง

        ร้ายแรงถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?

        ซูอวี้…

        ซูจิ่นซีรีบตรงไปยังด้านข้างรถม้าและตะโกนว่า “อวี้เอ๋อร์ อนุปี้…พวกท่านเป็นกระไรหรือไม่? ”

        “…”

        “อนุปี้! อวี้เอ๋อร์! พวกท่านได้ยินเสียงของข้าหรือไม่? หากได้ยินก็ตอบกลับข้าสักคำเถิด! ”

        “ท่านพี่จิ่นซี ข้าอวี้เอ๋อร์ อวี้เอ๋อร์ได้ยิน! แม่… ท่านแม่เสียเลือดมาก! ”

        อนุปี้ได้รับบาดเจ็บ?

        “อวี้เอ๋อร์ไม่ต้องกลัว พี่หญิงจะให้คนช่วยพวกเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้! ”

        “เร็วเข้า! ยกรถม้าขึ้น! ” ซูจิ่นซีสั่งองครักษ์ที่อยู่ด้านข้าง

        แม้จะมีผู้ติดตามไม่มากนัก ทว่ากำลังคนยังมีมากพอที่จะยกรถม้าขึ้น

        ทันทีที่รถม้าถูกยกขึ้น ซูจิ่นซีก็เห็นอนุปี้และซูอวี้

        อนุปี้ได้รับบาดเจ็บจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังร้ายแรงมากอีกด้วย

        เมื่อรถม้าถูกชน คานบนหลังคาได้หักลง ส่วนหนึ่งของคานหลุดลงมาและแทงเข้าไปในเสื้อตัวนอกของอนุปี้ ในเวลานี้อนุปี้หมดสติไปแล้ว ทว่าอนุปี้กลับปกป้องซูอวี้ไว้ใต้ร่างของนางอย่างแน่นหนา

        เมื่อเห็นฉากนี้ หัวใจของซูจิ่นซีก็ปวดร้าวขึ้นมาในทันใด

        นางก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บของอนุปี้ ในขณะเดียวกันก็ต้องการดึงซูอวี้ออกมาจากอ้อมแขนของอนุปี้ กลับคาดไม่ถึงว่ามือของอนุปี้จะทาบทับหน้าอกของซูอวี้ไว้แน่น นางกอดซูอวี้ไว้ในอ้อมแขนของตนเอง ซูจิ่นซีไม่สามารถดึงมือนางออกได้เลย

        “องครักษ์! ”

        องครักษ์ทั้งสองก้าวไปข้างหน้า พวกเขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการดึงมือของอนุปี้ออกและนำซูอวี้ออกมาจากอ้อมแขนของอนุปี้

        ในอกของซูจิ่นซีเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ นางรู้สึกระทมทุกข์เป็นอย่างมาก

        ความรักของแม่ไร้ซึ่งขอบเขตและอาจยาวนานถึงสามพันปีแสง

        ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ความรักของแม่ยังคงยิ่งใหญ่เสมอ

        ซูจิ่นซีกล้าสรุปว่าในขณะที่รถม้าเอียงหลังจากถูกชน อนุปี้ต้องปกป้องซูอวี้ไว้เพื่อไม่ให้เขาได้รับบาดเจ็บจนถึงแก่ชีวิตอย่างแน่นอน

        เนื่องจากตำแหน่งเมื่อครู่นี้ หากอนุปี้ไม่ขวางไว้ คานที่หักลงมาคงแทงศีรษะของซูอวี้

        หมอเทวดาหวาหยุดเลือดให้อนุปี้ได้แล้ว

        ซูอวี้ยืนอยู่ด้านข้าง มองไปยังมารดาของตน ใบหน้าซีดเซียวเล็กน้อย เขาเม้มริมฝีปากแน่นจนมันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วง ใบหน้านั้นแทบจะร้องไห้ ทว่ากลับกลั้นเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ทำให้คนที่มองเห็นต่างรู้สึกเป็นห่วงร้อนใจ

        ซูจิ่นซียืนอยู่ด้านข้างซูอวี้อย่างเงียบงัน นางจับมือซูอวี้เอาไว้

        ในที่สุดน้ำตาของซูอวี้ก็ไหลลงมา เขาสะบัดมือซูจิ่นซีออกและรีบวิ่งไปยังด้านข้างของอนุปี้อย่างสิ้นหวัง “ท่านแม่! ”

        เสียงตะโกนร้องเรียก “แม่” นั้นทำร้ายหัวใจของทุกคน

        ซูจิ่นซี เหล่าองครักษ์ และฝูงชนโดยรอบต่างเฝ้ามองอย่างเงียบงันด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย

        ผู้คนล้วนมองออกว่าแผลของอนุปี้อยู่ในขั้นวิกฤต แม้นางจะหมดสติไปชั่วคราว ทว่ายังยากที่จะบอกได้ว่านางจะมีชีวิตรอดหรือไม่

        “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ อนุปี้บาดเจ็บสาหัสยิ่งนัก จำเป็นต้องรักษาทันที ต้องเอาคานอีกครึ่งออกจากบาดแผล มิเช่นนั้นอนุปี้อาจสิ้นลมทุกเมื่อพ่ะย่ะค่ะ”

        “ตกลง! กลับจวนทันที” ซูจิ่นซีพูดขึ้น

        “คุณหนูเพคะ ทว่า… ยังมีการแข่งขันที่หอกุ้ยเหรินทางนั้นนะเพคะ! การแข่งขันกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว หากท่านชายน้อยอวี้ไม่ปรากฏตัว ถือว่าเขาได้ละทิ้งการแข่งขันโดยสมัครใจ”

        การละทิ้งการแข่งขันของซูอวี้หมายความว่าตำแหน่งทายาทของประมุขสกุลซูนั้นต้องตกไปเป็นของผู้อื่น เมื่อถึงเวลานั้น ซูจิ่นซีต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้ได้ป้ายสัญลักษณ์ของประมุขสกุลซู นอกจากนั้นสมุดบัญชีหอโอสถทั้งเจ็ดแห่งของสกุลซูต้องถูกส่งมอบกลับไปอีกครั้ง

        แววตาลึกซึ้งของซูจิ่นซีแสดงออกอย่างยากที่จะทนไหว ทว่าเมื่อนางเห็นอนุปี้ที่หมดสติและซูอวี้ที่ร้องไห้อย่างบีบคั้นหัวใจ ซูจิ่นซีก็ยังคงสั่งการว่า“กลับจวน! รีบไปเชิญหมอหลวงอวิ๋นมา”

        “ทว่า… ”

        เดิมทีลวี่หลีต้องการจะบอกว่าตอนนี้หมอหลวงอวิ๋นอยู่ที่หอกุ้ยเหรินเพื่อรอเป็นผู้ตัดสิน! หากหมอหลวงอวิ๋นออกจากลานประลอง การแข่งขันในครานี้ก็จะเสียสมดุลและผู้คนส่วนใหญ่ที่เหลือก็จะเป็นคนของฮั่วซื่อ

        ทว่าเมื่อลวี่หลีเห็นดวงตาที่แน่วแน่ สง่างาม และไม่อาจโต้แย้งของซูจิ่นซี นางจึงนิ่งเงียบและไม่พูดอันใดอีกต่อไป

        การตัดสินใจของคุณหนู สาวใช้ผู้นี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

        เมื่อได้ยินคำสั่งให้กลับจวนของซูจิ่นซี องค์รักษ์จึงลากรถม้าขึ้นมาและย้ายร่างอนุปี้ที่บาดเจ็บสาหัสเข้าไปในรถม้า ผู้ชมโดยรอบเริ่มตั้งคำถามขึ้น

        “พระชายาโยวอ๋องและซูอวี้ต้องการละทิ้งการแข่งขันชิงทายาทประมุขสกุลซูหรือ? ”

        “ได้ยินมาว่าซูอวี้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำสกุลซูที่พระชายาโยวอ๋องพึงพอใจ หรือว่าจะยอมแพ้เช่นนี้? ”

        “ยิ่งไปกว่านั้น! การแข่งขันครั้งนี้ยังเป็นการคัดเลือกทายาทของประมุขสกุลซู เท่ากับเป็นการแข่งขันระหว่างพระชายาโยวอ๋องและฮูหยินฮั่วซื่อ พระชายาโยวอ๋องกำลังจะกลับจวนในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ หรือนางจะยอมแพ้การแข่งขันกับฮูหยินฮั่วซื่ออย่างสมัครใจ? ”

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset