สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 178 ตั้งแต่โบราณ ผู้ที่ไร้ความสามารถมักตายเพราะปากมาก

        “ยังมีคำถามกระไรอีกหรือไม่? ” ซูจิ่นซีขมวดคิ้วถามขึ้น

        ซูจวิ้นและซูเซียนฮุ่ยต่างไม่พูดอันใด

        “เอาล่ะ ในเมื่อไม่มีคำถาม เช่นนั้นก็เริ่มการแข่งขันเถิด! ”

        “การแข่งขันในครานี้มีทั้งหมดสามรอบ รอบแรก รอบรองชนะเลิศ และรอบชิงชนะเลิศ แบ่งตามลำดับโดยหมอหลวงอาวุโสจากราชสำนักหมอหลวง หมอหลวงอวิ๋นและหมอหลวงหวัง ทั้งยังมีบุคคลสามท่านจากถงเหวินถังรับหน้าที่เป็นกรรมการ ฝูงชนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้เป็นผู้ตรวจสอบ แม้ข้าจะเป็นเจ้าภาพการแข่งขันในครานี้ ทว่าก็เช่นเดียวกับฮูหยินฮั่ว รวมทั้งคนอื่นๆ ของจวนสกุลซูที่ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการมอบหมายงานและการวางแผนการแข่งขันในครานี้ ทุกคนมีความเห็นต่างหรือไม่? ”

        ฝูงชนต่างพากันกระซิบกระซาบ ทว่าไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ ออกมา

        “ดี ในเมื่อไม่มีความเห็นต่าง เช่นนั้นก็ทำตามที่ข้าวางแผนไว้ การทดสอบครั้งที่หนึ่งของการแข่งขันในครานี้คือความสามารถในการวินิจฉัยยาขั้นพื้นฐานในฐานะที่เป็นหมอ เริ่มได้”

        นอกจากซูอวี้ ซูจวิ้น และซูเซียนฮุ่ยที่เข้าร่วมการแข่งขันแล้ว ยังมีหญิงสาวสามคนจากสกุลซูเข้าร่วมการแข่งขันด้วย รวมทั้งหมดเป็นหกคน ทหารหกนายถือถาดหกใบเดินไปไว้ด้านหน้าของพวกเขา

        ซูจิ่นซีกล่าวขึ้นว่า “ถาดที่อยู่ด้านหน้าของผู้เข้าแข่งขันทุกคนเป็นวัตถุดิบยาที่เตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว วัตถุดิบยาในแต่ละถาดมีหนึ่งร้อยแปดชนิดเช่นเดียวกัน พวกท่านมีเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป หลังจากหนึ่งก้านธูปแล้ว จะมีการจัดอันดับมากน้อยตามวัตถุดิบยาที่จำแนกได้ สี่อันดับแรกสามารถเข้าแข่งขันในรอบต่อไป คือรอบรองชนะเลิศ”

        หลังจากที่ซูจิ่นซีพูดจบ ทหารส่วนหนึ่งก็ยกฉากขึ้นมา กั้นผู้เข้าแข่งขันออกเป็นหกส่วน และทำการจุดธูปหอม

        การแข่งขันรอบที่หนึ่ง เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

        ผู้เข้าแข่งขันทั้งหกคนเข้าสู่การแข่งขันอย่างจริงจัง ฝูงชนที่ล้อมชมอยู่ด้านนอกแทบกลั้นหายใจ ตอนที่หายใจแรงก็ยังไม่กล้าส่งเสียงออกมา ซูจิ่นซีไม่ลืมอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญมาก

        นางเดินย้อนกลับไปหลังห้องโถง เรียกองครักษ์ที่ติดตามมาสองสามนายให้มารายงานตัว

         “สืบละเอียดแล้วหรือไม่ว่าผู้ใดเป็นคนแทงอวี้เอ๋อร์? ”

         “ทูลพระชายา แม้นักฆ่าจะยอมรับสารภาพ ทว่าเขาได้กินยาพิษไว้ก่อนแล้ว ข้าน้อยไม่ทันได้สืบสวน เขาก็ตายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

        “ว่าอย่างไรนะ ตายอีกแล้วหรือ? ”

         “ข้าน้อยไร้ความสามารถ พระชายาได้โปรดลงโทษ! ”

        ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว ใบหน้าอึมครึม “ช่างเถิด นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าสามารถควบคุมได้ ลงโทษพวกเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์”

        “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยสงสัยว่าผู้ที่ทำร้ายนายน้อยอวี้จะเป็นพวกเดียวกันกับที่ขับรถม้าชนพวกเรา เรื่องนี้ต้องมีคนจงใจอย่างแน่นอน” องครักษ์นายหนึ่งกล่าว

        สถานการณ์ชัดเจนถึงเพียงนี้ เหตุใดซูจิ่นซีจะมองไม่ออก?

        ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่อยู่เบื้องหลังยังลงมือท่ามกลางความเสี่ยงอย่างชัดเจน ไม่คิดอำพรางกระไรเลย พวกเขาเริ่มลงมือบนถนนด้วยจุดประสงค์ชัดเจนยิ่ง คือทำทุกวิถีทางเพื่อต้องการขัดขวางไม่ให้ซูอวี้เข้าร่วมการแข่งขัน

        “พระชายา ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็น… ? ”

        สายตาของหนึ่งในองครักษ์มองไปทางด้านหน้าห้องโถง ทว่าไม่ได้พูดอันใดต่อ

        ซูจิ่นซีเข้าใจว่าองครักษ์นายนั้นต้องการสื่อสิ่งใด “ใต้หล้านี้ไม่มีกำแพงที่ไม่มีรูระบายลม นับประสากระไรกับผู้ที่กระทำความผิดชัดเจนถึงเพียงนี้ ไปรายงานศาลต้าหลี่ ตาข่ายสวรรค์ ห่างแต่ไม่รั่ว [1] หนีความจริงไม่พ้นหรอก! ”

         “พ่ะย่ะค่ะ! ”

        ซูจิ่นซีพูดจบ ดวงตาคู่งามพลันหรี่ลง จากนั้นจึงเดินกลับไปยังด้านหน้าห้องโถง

        ขณะนี้ การแข่งขันรอบแรกที่ด้านหน้าห้องโถงได้จบสิ้นลงแล้ว นอกจากนี้กรรมการทั้งสามท่านก็ได้สรุปผลออกมาเป็นที่เรียบร้อย พวกเขาให้คนนำผลการแข่งขันมามอบให้ยังเบื้องหน้าซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซีนั่งลงบนที่นั่งอย่างเฉื่อยชา นางมองผลการแข่งขันในมือ

        “พระชายา เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ? ”

        “พระชายา ผู้ใดตกรอบเล่า? ”

        “พระชายา ผู้ใดเข้ารอบเพคะ? ”

        ฝูงชนต่างพากันตื่นตระหนกกับผลการแข่งขัน เมื่อเห็นซูจิ่นซีมีท่าทีเฉื่อยชาไม่ยอมพูดอันใด พวกเขาจึงถามขึ้นอย่างร้อนใจ

        คิ้วดกดำทั้งสองข้างบนใบหน้าเล็กงดงามมีเสน่ห์ของซูจิ่นซี ค่อยๆ ขมวดขึ้น

        ในความรู้สึกของซูจิ่นซี ซูจวิ้นเป็นคนที่ไม่เอาไหน คาดไม่ถึงว่าเขาจะทำคะแนนได้เสมอกับซูอวี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังทำคะแนนได้ไม่เลวอีกด้วย ทั้งสองจัดเป็นอันดับหนึ่งเสมอกัน

        ซูจิ่นซีอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังซูจวิ้น

        ซูจวิ้นก็มองซูจิ่นซีอย่างภาคภูมิใจเช่นกัน จากนั้นก็หันศีรษะกลับไปอย่างเย่อหยิ่ง

        ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากอย่างเย็นยา ตั้งแต่โบราณกาลมาสงครามยังไม่สงบอย่าพึ่งหัวเราะ ไม่รู้ว่าในตอนท้ายผู้ใดจะหัวเราะได้ดังที่สุด!

        ทะนงตัวกระไร?

        “จิ่นซีอ่า! รีบประกาศผลโดยเร็วเถิด! ทุกคนต่างรออยู่นะ! ” ฮั่วซื่อกล่าวเร่งรัด

        ซูจิ่นซีประกาศผลด้วยท่าทางเฉยเมย นอกจากซูอวี้กับซูจวิ้นแล้ว ยังมีซูเซียนฮุ่ยและซูหวั่นหวั่นบุตรสาวของอนุเยวี่ย ทั้งสี่คนติดอันดับเข้ารอบการแข่งขันรอบรองชนะเลิศ

        ซูจิ่นซีกล่าวอย่างทรงพลัง ผู้เข้าแข่งขันอีกสองคนที่เหลือจึงถอยออกจากสนาม

        “ต่อไปจะเป็นการแข่งขันรอบที่สอง รอบชิงชนะเลิศ”

        หลังจากที่ซูจิ่นซีประกาศ ทหารก็ยกชั้นวางขึ้นมาสองชั้นด้านบนมีวัตถุดิบยา

        ซูจิ่นซียกยิ้มพลางกล่าวว่า “การแข่งขันรอบที่สองเป็นการแข่งขันปรุงยา! ”

        “ปรุงยา? ง่ายถึงเพียงนี้ยังนำมาแข่งขันอีกหรือ? หึ ช่างเด็กน้อยเสียจริง! ซูจิ่นซี ท่านหาการแข่งขันที่มันยากกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ? ท่านคิดว่านี่เป็นการละเล่นของเด็กหรือ! ” ซูเซียนฮุ่ยหัวเราะเหยียดหยาม

        ซูจิ่นซียังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่ที่มุมปาก ราวกับไม่ได้ยินคำพูดของซู่เซียนฮุ่ยอย่างไรอย่างนั้น ซูจิ่นซีไม่ได้สนใจนางแม้แต่น้อย

        “ทุกท่าน บนชั้นวางด้านข้างของพวกท่านมีวัตถุดิบยาทั้งหมดสามร้อยหกสิบชนิดวางอยู่ ตรงที่นั่งของกรรมการมีกล่องปิดผนึกที่ด้านในบรรจุฉลาก ในฉลากจะเขียนตำรับยาสี่ชนิดไว้ ให้พวกท่านเรียงลำดับตามผลคะแนนในรอบแรกเพื่อสุ่มหยิบฉลากขึ้นมา จากนั้นให้ปรุงยาตามตำรับยาที่เขียนในกระดาษภายในเวลาหนึ่งก้านธูป เป็นอันจบการแข่งขัน”

        “รอบที่สองคัดออกกี่คน? ” ซูเซียนฮุ่ยถามขึ้น

        “สองคน! ”

        “หากพวกเราทั้งสี่ล้วนปรุงยาออกมาได้เล่า จะตัดสินอย่างไร? ”

        “จัดอันดับตามระยะเวลาที่ใช้มากน้อย คัดผู้ที่ใช้เวลานานที่สุดออกสองคน”

        “ช่างน่าเบื่อ! ”

        ซูเซียนฮุ่ยหมดอาลัยตายอยาก นางมองซูจิ่นซีด้วยความเบื่อหน่าย

        ซูจิ่นซีหัวเราะเย็นชา แม้เสียงของนางไม่ดังมาก ทว่าฟังดูเหยียดหยามเป็นอย่างยิ่ง เสียดแทงไปยังหัวใจอันหยิ่งผยองของซูเซียนฮุ่ย

        “ซูจิ่นซี ท่านหัวเราะกระไร? ” ซูเซียนฮุ่ยโกรธเกรี้ยวขึ้นมาในทันที

        ซูจิ่นซีเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเชื่องช้า นางยกถ้วยชาที่วางบนโต๊ะขึ้นมาถือไว้ด้วยความเกียจคร้าน ไม่มองซูเซียนฮุ่ยแม้แต่น้อย “ตั้งแต่โบราณกาล ผู้ที่ไร้ความสามารถมักตายเพราะปากมาก! ”

        ทันใดนั้นซูเซียนฮุ่ยก็ราวกับจุดประทัดที่หางสุนัขอย่างไรอย่างนั้น นางตวาดและเดินไปทางซูจิ่นซี “ซูจิ่นซี ท่านหมายความว่าอย่างไร? ท่านว่าผู้ใดไร้ความสามารถ? ท่านพูดอีกทีสิ! ”

        องครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างกายซูจิ่นซีรีบขวางซูเซียนฮุ่ยไว้

        ซูเซียนฮุ่ยยังคงตวาดใส่ซูจิ่นซีอย่างไม่ยอมแพ้ “ซูจิ่นซี ทักษะทางการแพทย์ของท่านก็ดีไม่เท่าผู้อื่น อย่ามาทำเป็นอวดดีหน่อยเลย หากแน่จริงท่านก็ลงมา พวกเราสู้กันตัวต่อตัว! ”

        ซูจิ่นซีเลิกคิ้วขึ้นอย่างแผ่วเบา นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย จ้องมองซูเซียนฮุ่ยอย่างเหยียดหยาม “ต้องการสู้กับข้าหรือ? รอให้เจ้าชนะการแข่งขันในวันนี้ก่อนแล้วค่อยพูด! ”

        “ซูจิ่นซี ท่านดูถูกข้าหรือ? โง่เง่า ข้าจะรอดูว่าท่านมีความสามารถเพียงใด! ท่านรอข้า! ”

        “ได้! ข้าจะรอ! ” รอยยิ้มลึกซึ้งที่มุมปากของซูจิ่นซีไม่อาจคาดเดาได้

        เห็นได้ชัดว่าการแสดงออกนั้นทำให้ผู้คนคาดเดาไม่ได้ ทว่าในสายตาของซูเซียนฮุ่ยกลับมองเป็นการดูถูกเหยียดหยาม

        ซูเซียนฮุ่ยต้องการพุ่งเข้าไปกระชากใบหน้ายิ้มแย้มของซูจิ่นซีให้แหลกละเอียด

        ทว่าตอนนี้นางถูกทหารขวางไว้ จึงไม่สามารถทำอันใดได้ ทำได้เพียงถอยออกมาอย่างโกรธเคือง

        “เอาล่ะ เหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ เมื่อครู่นี้เป็นเพียงการหยุดพัก ทุกคนอย่าได้ใส่ใจ พวกเรากลับมาแข่งขันรอบที่สองกันต่อ” ซูจิ่นซีพูดเสียงก้องกับฝูงชนที่พากันกระซิบกระซาบ

        “ซูจิ่นซี ตามที่ท่านหมายถึง ลำดับการจับฉลากสำหรับการแข่งขันรอบที่สองขึ้นอยู่กับการเรียงอันดับผลคะแนนจากการแข่งขันคราแรก ทว่าลำดับของข้ากับซูอวี้เท่ากัน พวกเราควรสุ่มเลือกผู้ใดก่อนดี? ” ใบหน้าของซูจวิ้นที่โยนปัญหาให้กับซูจิ่นซีเต็มไปด้วยความพออกพอใจ

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset