สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 179 เย้ยหยัน ข้าจะถอยออกไป

        แท้จริงนี่เป็นคำถามที่ตอบได้ยาก

        ซูจิ่นซีกำลังครุ่นคิดว่าควรแก้ปัญหาอย่างไร ซูอวี้ก็กล่าวขึ้นมาว่า “คำถามนี้ไม่ยาก ท่านพี่จิ่นซี ให้ซูจวิ้นจับก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ขณะที่พูดอยู่ ซูอวี้ยังเผยรอยยิ้มอ่อนให้ซูจิ่นซีอีกด้วย

        ซูจิ่นซีไม่คิดว่าซูอวี้ที่อายุยังน้อยจะเฉลียวฉลาดได้เพียงนี้ นางจึงพยักหน้าให้เขา

        “ซูจวิ้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้เจ้าจับก่อนเถิด! ” ซูจิ่นซีกล่าวขึ้น

         “หึ แล้วแต่ท่านเลย! ”

        ซูจวิ้นส่งเสียงไม่พอใจพลางมองไปทางซูอวี้ เขาเดินกลับไปยังที่นั่งของกรรมการ และหยิบฉลากแผ่นหนึ่งออกมา

        ซูจวิ้นเปิดฉลาก มองดูเนื้อหาด้านใน และยิ้มออกมาอย่างพอใจ

        ดูเหมือนซูจวิ้นจะจับได้หัวข้อไม่ยาก แม้จะยาก ทว่าก็เป็นเรื่องเล็กสำหรับเขา

        ซูจิ่นซีมองไปทางซูอวี้

         ซูอวี้ร่างกายอ่อนแอ เขาก้าวเท้าเดินอย่างเชื่องช้าทีละก้าวไปยังที่นั่งของกรรมการ และหยิบฉลากแผ่นหนึ่งออกมา

        ซูอวี้เปิดฉลากออกดู บนใบหน้าไม่ปรากฏร่องรอยให้เห็นมากนัก จากนั้นก็ม้วนกระดาษและกำมันไว้ในมือ

        ต่อมาซูเซียนฮุ่ยเป็นผู้จับ นางหยิบกระดาษออกมาดู ใบหน้าพลันเบิกบานขึ้นมาทันที นางมองมาทางซูจิ่นซีอย่างพออกพอใจ

        ทว่าซูจิ่นซีไม่ได้ใส่ใจมากนัก

        ตามมาด้วยซูหวั่นหวั่น หลังจากที่นางหยิบกระดาษขึ้นมาใบหน้าก็ดูไม่ค่อยดีนัก ทว่าก็อยู่ในการคาดการณ์ของซูจิ่นซี

        ทักษะทางการแพทย์ของทั้งสี่คนนี้เป็นเช่นไร ในใจซูจิ่นซีทราบดี

        “เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนจับหัวข้อขึ้นมาแล้ว คงรู้อยู่แก่ใจ การแข่งขันกำลังจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ จุดธูปได้”

        ทหารจัดการเปลี่ยนธูปทั้งหมดและเริ่มจับเวลา

        ซูเซียนฮุ่ยถือตาชั่งไปปรุงยาแล้ว

        โดยปกติแม้ซูจวิ้นจะอวดดี บ้าคลั่ง ทว่าซูจิ่นซีไม่คิดว่าในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ เขากลับใจเย็นอย่างน่าประหลาดเหมือนกับซูอวี้

        ซูจวิ้นเหลือบมองกระดาษของตนอีกครั้ง ยืนอยู่กับที่ครู่หนึ่งราวกับกำลังคิดอันใดบางอย่าง จากนั้นจึงเดินไปด้านข้างชั้นวางยา ค่อยๆ หายา ทดลองยา และเริ่มหยิบยาขึ้นมาปรุง

        ซูจิ่นซีมองซูจวิ้น นางอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ

        คิดไม่ถึงว่านางจะประเมินเด็กคนนี้ต่ำเกินไป

        จากนั้นซูจิ่นซีก็หันไปมองซูอวี้

        ซูอวี้ยังคงร่างกายอ่อนแรง ใบหน้าซีดเซียว ร่างเล็กๆ สั่นเทา ภายในใจของซูจิ่นซีสงสารเสียจนเจ็บปวดไปหมด

        อย่างไรก็ตาม ไม่รู้ว่าเหตุใด ซูอวี้ถึงยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดกระไรอยู่

        เวลาล่วงเลยไปจนถึงครึ่งก้านธูป ยาของซูจวิ้น ซูเซียนฮุ่ยและซูหวั่นหวั่นปรุงเสร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ทว่าซูอวี้ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ

         เขายืนอยู่กับที่และมองดูยาบนชั้นวางยาอยู่ตลอด

         ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะมองอย่างกังวลไปทางอวิ๋นจิ่นซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะกรรมการ นางส่งสายตาเพื่อให้อวิ๋นจิ่นถามซูอวี้ว่าบาดเจ็บตรงที่ใดหรือไม่? เป็นเพราะร่างกายอ่อนแอ หรือเจ็บบาดแผลมากจนยืนหยัดต่อไปไม่ไหวหรือไม่?

        ใบหน้าของอวิ๋นจิ่นยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน เขาส่งสายตาปลอบโยนซูจิ่นซี จากนั้นจึงพูดเตือนสติซูอวี้ว่า “นายน้อยอวี้ ท่านเหลือเวลาไม่มากแล้วนะ! ”

        ใบหน้าซีดเผือดของซูอวี้ยิ้มบางให้อวิ๋นจิ่น จากนั้นก็หันกลับมามองซูจิ่นซีอย่างปลอบโยนเพื่อให้นางวางใจ ก่อนจะเดินไปที่ชั้นวางยาทีละก้าวๆ

        ธูปเผาไหม้ไปแล้วเศษหนึ่งส่วนสี่ ซูจิ่นซีค้นพบโดยไม่คาดคิดว่า แม้ซูอวี้จะเริ่มช้ากว่าอีกสามคน ทว่าความเร็วกลับไม่ช้า เขาเหลือกระทั่งเวลาในการวิเคราะห์และทดลองยา ซูอวี้เริ่มหยิบยาในทันใด ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่หยิบยาแต่ละชนิดขึ้นมาก็ไม่มีการชั่งตวง กลับใช้มือหยิบโดยตรง

        ฝูงชนที่อยู่โดยรอบต่างพากันแปลกใจ

         “นายน้อยอวี้เป็นอันใดไปแล้ว? เหตุใดจึงไม่มีสติเช่นนั้น? ปรุงยาเช่นนี้ได้อย่างไร? ”

        “จริงด้วย! เป็นไปไม่ได้ที่จะวัดปริมาณของเครื่องปรุงยาได้อย่างแม่นยำโดยไม่ใช้เครื่องชั่ง เขาไม่อาจปรุงยาออกมาได้แม่นยำอย่างแน่นอน”

        “ใช่สิ! หรือเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเกินไป จึงไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้แล้ว? ”

        “บาดเจ็บถึงเพียงนั้น ส่งผลกระทบต่อการแข่งขันอย่างแน่นอน! ดูเหมือนว่านายน้อยอวี้คงต้องพ่ายแพ้เป็นแน่! ”

        “เขาเป็นเช่นนี้ ไม่แปลกที่จะแพ้! ”

        “เขาแพ้แล้ว ไม่รู้ว่าพระชายาโยวอ๋องจะเป็นเช่นไร”

        “จะเป็นอย่างไรอีก? ครานี้พระชายาโยวอ๋องตาไม่ถึง เดิมพันผิดคนแล้ว! ”

        “เหตุใดถึงพูดเช่นนั้นเล่า? หากไม่ใช่เพราะนายน้อยอวี้ได้รับบาดเจ็บ ก็ยังไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร! ”

        “เอ๋… นี่มันเป็นชะตาฟ้าลิขิต! ยากที่จะฝ่าฝืนนะ! ”

        เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของฝูงชนดังยิ่งนัก ได้ยินไปถึงหูของผู้คนที่อยู่ในห้องโถง

        เมื่อฮั่วซื่อได้ยินเช่นนั้น ก็มองไปทางซูจิ่นซีอย่างสงบ แววตาของนางไม่สามารถซ่อนความอิ่มเอมใจที่ผู้อื่นเคราะห์ร้ายได้

        หลังจากซูเซียนฮุ่ยและซูจวิ้นได้ยินก็หันหน้ามา พวกเขาเหลือบมองซูอวี้ด้วยความดูถูกเหยียดหยาม

        อย่างไรก็ตาม มีเพียงการแสดงออกของซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นสองคนเท่านั้นที่ไม่แตกต่างมากนัก

        อวิ๋นจิ่นมีท่าทางนิ่งเงียบมาโดยตลอด

        ซูจิ่นซีมีท่าทีเย็นชา ดวงตาจับจ้องซูอวี้ไม่ละไปทางใด

        “หมดเวลาแล้ว! ” ผู้จับเวลาที่อยู่ด้านข้างตะโกนขึ้นมา

        ทันใดนั้นทั้งสี่คนพลันหยุดสิ่งที่ทำอยู่ในมือ

        พวกเขาทั้งสี่ทำเวลาได้ไม่ต่างกันมากนัก ดังนั้นรอบนี้จึงอาศัยความแม่นยำในการปรุงยา

        “ซูหวั่นหวั่น ท่านเริ่มก่อนเถิด! ” ซูจิ่นซีกล่าว

        “เพคะ! ”

        ซูหวั่นหวั่นตอบรับ นางวางยาที่ปรุงเรียบร้อยของตนไว้ที่ด้านหน้ากรรมการทั้งสามท่าน

        หลังจากกรรมการทั้งสามท่านมองดูก็ไม่ได้แสดงท่าทางใดๆ ออกมามากนัก

         “ซูเซียนฮุ่ย! ” ซูจิ่นซีขานชื่อซูเซียนฮุ่ย

        ซูเซียนฮุ่ยหันมองซูจิ่นซีอย่างทะนงตน นางนำยาที่ตนปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ววางไว้บนโต๊ะนั่งของกรรมการ

        หลังจากที่กรรมการทั้งสามท่านตรวจดูก็ยังไม่แสดงท่าทางใดออกมามากนักเช่นกัน

        ซูเซียนฮุ่ยเหมือนต้องการพูดสิ่งใดบางอย่าง ทว่ากลับอดกลั้นไว้ไม่พูดออกมา

        ซูจิ่นซีขานชื่อคนต่อไป “ซูจวิ้น! ”

        “เหตุใดข้าต้องมาก่อน ไม่เป็นซูอวี้เล่า? ” ซูจวิ้นกล่าวขึ้นอย่างไม่ยอม

        ซูจิ่นซียังคงไม่พูดอันใด ซูอวี้จึงถือยาของตนเดินมาทางที่นั่งของกรรมการ “ไม่เป็นไร ข้ามาก่อนก็ได้! ”

        กลับคิดไม่ถึงว่า ซูจวิ้นจะรีบถือยาที่ปรุงเสร็จแล้วของตนเดินมาทางที่นั่งของกรรมการด้วยความรวดเร็ว เมื่อเดินไปถึงซูอวี้ ก็จงใจเบียดไหล่ชนซูอวี้อย่างแรง

        ซูอวี้อายุน้อยกว่าซูจวิ้น ดังนั้นตัวจึงเตี้ยกว่ามาก กอปรกับที่ได้รับบาดเจ็บ เมื่อถูกซูจวิ้นชนไปเช่นนี้ ร่างกายจึงโงนเงนหลายครั้งกว่าจะประคองตัวให้ยืนมั่นคงอยู่ด้านข้างชั้นวางยา

        ผู้ใดก็ดูออกว่าซูจวิ้นตั้งใจ

        มันจะมากเกินไปแล้ว!

        ซูจิ่นซีมองไปยังหยาดเหงื่อที่ไหลรินลงมาจากหน้าผากและร่างกายที่สั่นเทาของซูอวี้ ก็ให้เจ็บปวดใจยิ่งนัก

        นางกำมือทั้งสองข้างแน่น จากนั้นก็ลุกขึ้น หากไม่ใช่เพราะสายตาปลอบประโลมของอวิ๋นจิ่นที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะกรรมการ ซูจิ่นซีก็คงเดินเข้าไปหาซูจวิ้นอย่างไม่เกรงใจ

        จากนั้นไม่นานซูอวี้ก็เริ่มทรงตัวมั่นคง เขาหันกลับมาส่งสายตาให้ซูจิ่นซีอย่างยากลำบาก ‘ข้าไม่เป็นกระไร’

        หัวใจของซูจิ่นซีเต้นรัว ไม่คิดเลยว่าจนถึงเวลานี้แล้ว ซูอวี้เด็กน้อยผู้นี้ยังคงนึกถึงความรู้สึกของนาง ทันใดนั้นความรู้สึกตื้นตันและเศร้าโศกในใจพลันล้นทะลักออกมา

        หลังจากที่คณะกรรมการมองดูวัตถุดิบยาของซูจวิ้นก็แสดงท่าทางพึงพอใจออกมา

        “นายน้อยจวิ้นช่างล้ำเลิศเสียจริง! ตำรับยาซับซ้อนเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าในระยะเวลาอันสั้นกลับสามารถปรุงยาได้อย่างแม่นยำ เหลือเชื่อจริงๆ ! ” หมอหลวงสวี่อดกล่าวชมเชยไม่ได้

        “อวี้เอ๋อร์ ถึงตาของเจ้าแล้ว”

        ซูจิ่นซีใช้น้ำเสียงนุ่มนวลพูดกับซูอวี้ นางเกรงว่าหากตนเองเสียงดังเพียงนิด ร่างกายที่อ่อนแอของซูอวี้อาจล้มลงไปได้

        ซูอวี้ส่งยิ้มให้ซูจิ่นซีเล็กน้อย เขาถือเครื่องปรุงยาของตนเดินไปทางที่นั่งของกรรมการ

        “หึ ยังต้องตรวจอีกหรือ? ท่าทางของเขาที่ปรุงยาเมื่อครู่นี้ใช่ว่าทุกคนจะมองไม่เห็น หากสามารถปรุงตำรับยาออกมาได้มาตรฐาน ข้า…ซูเซียนฮุ่ยก็จะถอยออกไป! ”

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset