“เปลี่ยน…เปลี่ยนเป็นกระไร? ” น้ำเสียงของซูเซียนฮุ่ยสั่นเทาเล็กน้อย
“ท่านแน่ใจหรือว่าต้องการเปลี่ยน? ”
หากไม่เปลี่ยน นางต้องถอดเสื้อผ้าของตนให้ชายพวกนั้นมองอย่างลวนลามจริงๆ หรือ?
ยังมีสิ่งใดที่รับไม่ได้มากกว่านี้อีกหรือ?
“ข้าแน่ใจ! ” ซูเซียนฮุ่ยกล่าวอย่างหนักแน่น
“ดี! ” ดวงตาของซูจิ่นซีเย็นชา “ทหาร ลากซูเซียนฮุ่ยไปโบยให้ข้า 50 ไม้! ”
กระไรนะ?
ทันใดนั้นจิตใจของซูเซียนฮุ่ยและฮั่วซื่อก็ถูกกระแทกจนดังสนั่น
“จิ่นซี นี่เจ้าต้องการฆ่าเซียนฮุ่ยหรือ? ” ฮั่วซื่อไม่สามารถเสแสร้งแกล้งทำได้อีกต่อไป นางหันไปเผชิญหน้ากับซูจิ่นซีด้วยใบหน้าเย็นชา
“ข้าเพียงบอกให้โบยห้าสิบไม้ ไม่ได้บอกว่าตีนางให้ตาย ท่านแม่ต้องการใส่ร้ายข้าหรือ? ”
พูดกับไม่พูดแล้วแตกต่างกันอย่างไร?
ซูเซียนฮุ่ยได้รับโทษโบยไปแล้วยี่สิบไม้ หากต้องตีจนถึงห้าสิบไม้ ไม่ตายก็พิการแล้ว เช่นนั้นจะมีสิ่งใดแตกต่างจากการตายกัน?
“ซูจิ่นซี เจ้าฆ่าข้าเสียเถิด! ” ซูเซียนฮุ่ยตะโกนใส่ซูจิ่นซีหลังจากตกตะลึงอย่างหนัก
“ฆ่าเจ้า? เจ้าจะไม่สบายเกินไปหน่อยหรือ? ลากลงไป โบยให้ข้า! ”
องครักษ์ของซูจิ่นซีไม่สามารถพูดสิ่งใดได้ พวกเขาก้าวไปข้างหน้าอย่างกึกก้องแล้วลากซูเซียนฮุ่ยลงไป
ฮั่วซื่อยังคงพยายามกล่าวแทนซูเซียนฮุ่ยด้วยใบหน้ามืดมนเคร่งเครียด ซูจวิ้นก็ทำเช่นเดียวกัน ทั้งสองกล่าวกันใหญ่โต ทว่าซูจิ่นซีกลับทำเหมือนไม่ได้ยินอันใดเลย
ในห้องโถงด้านหลัง เมื่อเริ่มโบย ซูเซียนฮุ่ยกรีดร้องเสียงดังราวกับหมูโดนเฉือดก็มิปาน ทว่าในตอนท้ายเสียงกลับเบาลงเรื่อยๆ ท้ายที่สุดนางก็ไม่กรีดร้องแล้ว
“พระชายาผู้ทรงอำนาจ! ”
“พระชายาทรงพระเจริญพันปี พันพันปี! ”
“ซูเซียนฮุ่ยสมควรได้รับมัน! ”
“ซูเซียนฮุ่ยหาเรื่องใส่ตนเอง! ”
……
เสียงของฝูงชนดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อทำโทษเสร็จ ทหารก็ลากซูเซียนฮุ่ยที่ร่างเปื้อนไปด้วยเลือดออกมาและทิ้งลงตรงหน้าซูจิ่นซี
“เซียนเอ๋อร์… ”
“ท่านพี่… ”
ฮั่วซื่อกับซูจวิ้นตะโกนร้องไห้เสียงดัง พวกเขารีบตรงไปที่ด้านข้างของซูเซียนฮุ่ย
เนื้อก้นของซูเซียนฮุ่ยปริแตกออก เลือดไหลจนเปียกโชก นางไม่ใช่คุณหนูใหญ่ของสกุลซูผู้หยิ่งผยอง มีรูปลักษณ์ดั่งนางฟ้า เฉลียวฉลาด และงดงามเหมือนในตอนแรกอีกต่อไป
นางในเวลานี้นอนอยู่บนพื้น ลมหายใจอ่อนแรง เจ็บไปทั้งตัวเหมือนถ้วยร่อนแป้งที่สั่นตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น แม้บนร่างกายจะไม่มีคราบเลือด ทว่านางกลับเปียกโชกไปด้วยเหงื่อที่ท่วมท้น
เห็นเช่นนั้น แม้จะไม่ตาย ทว่าสองขาก็ใช้ไม่ได้แล้ว นางจะไม่สามารถยืนขึ้นได้อีกต่อไป
กล่าวง่ายๆ ก็คือ นางต้องยากลำบากมากเลยทีเดียว
“ซูจิ่นซี ข้าจะล้างแค้นให้พี่สาวของข้า! ”
ทันใดนั้นซูจวิ้นก็ตะโกนขึ้น เขาดึงดาบออกจากทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านข้างแล้ววิ่งไปทางซูจิ่นซี
ข้างกายของซูจิ่นซีมีทหารองครักษ์จำนวนมากคอยปกป้อง ไม่ต้องใช้แรงมากนัก พวกเขาก็จับซูจวิ้นไว้ได้
ซูจิ่นซีหรี่ตาลงอย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย “ซูจวิ้น เจ้าต้องการต่อสู้เพื่อชะตากรรมเดียวกันกับซูเซียนฮุ่ยหรือ? ”
“ซูจิ่นซี เจ้ามันเลว! เจ้าทำร้ายพี่สาวข้า ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน! ไม่เด็ดขาด! ”
“ได้! ข้าจะรอ! อย่างไรก็ตาม เจ้าต้องมีคุณสมบัตินั้นถึงจะทำได้! ” ซูจิ่นซีกล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
“จวิ้นเอ๋อ! ” ฮั่วซื่อร้องไห้และพูดหยุดการกระทำของซูจวิ้น “อย่าทำตามอำเภอใจ”
“ท่านแม่ ท่านพี่กลายเป็นเช่นนี้แล้ว ท่านต้องทนไปจนถึงเมื่อใดกัน? ”
“เจ้าและพี่สาวของเจ้าต่างก็เป็นบุตรแท้ๆ ของแม่ ผู้ใดตีร่างกายพวกเจ้า แม่ไม่ปวดใจอย่างนั้นหรือ? ก็เหมือนตีมาที่ร่างกายแม่เช่นกัน เรื่องนี้แม่จะต้องเอาคืนให้กับพวกเจ้าพี่น้องแน่นอน ทว่าอย่าลืมงานใหญ่ของวันนี้! ” ฮั่วซื่อกล่าวด้วยแววตาเยือกเย็นที่ฉายรังสีสังหาร
เรื่องใหญ่ของวันนี้?
ใช่ ยังมีการแข่งขันของทายาทสกุลซูที่ยังไม่จบนี่!
ตราบใดที่ซูจวิ้นชนะการแข่งขัน กลายเป็นประมุขของสกุลซูคนต่อไป เขาจะไม่ปล่อยให้ผู้ที่ทำให้แม่และพี่สาวของเขาต้องรู้สึกไม่สบายใจหนีพ้นไปได้แม้แต่คนเดียว!
ซูจวิ้นจ้องมองซูจิ่นซีอย่างขมขื่น เขากำหมัดทั้งสองข้างแน่น
ซูจิ่นซี เจ้ารอข้าก่อน!
ซูจิ่นซีหันกลับมามองซูจวิ้นและฮั่วซื่อด้วยสายตาที่ไม่แสดงถึงความอ่อนแอเช่นกัน
อย่าคิดว่าเมื่อฆาตกรตายแล้ว เหล่าองครักษ์จะไม่สามารถตรวจพบสิ่งใดได้ ซูจิ่นซีก็จะไม่รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ผู้ใดคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังคอยขัดขวางพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
อนุปี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ซูอวี้ก้าวเข้าไปในโลกยมบาลและเกือบต้องสูญเสียชีวิต ซูจิ่นซีจะไม่มีวันลืมความแค้นนี้ นางต้องเอาคืนให้อนุปี้และซูอวี้อย่างแน่นอน
ตีขาของซูเซียนฮุ่ยให้หักเป็นเพียงการเริ่มต้น ต่อไปยังมีของขวัญชิ้นใหญ่รออยู่อีกมาก!
ฮั่วซื่อ ซูจวิ้น พวกเจ้าคอยดู!
ซูเซียนฮุ่ยถูกหามกลับไปจวนสกุลซู คาดไม่ถึงว่าฮั่วซื่อจะไม่กลับไปกับซูเซียนฮุ่ย นางเพียงสั่งให้คนรับใช้ที่มีความสามารถช่วยตามหาหมอที่ดีที่สุดมารักษาอาการบาดเจ็บของซูเซียนฮุ่ยแทน
ซูจิ่นซีประกาศเริ่มการแข่งขันคัดเลือกผู้สืบทอดสกุลซูคนต่อไปรอบที่สามอย่างเป็นทางการ
เหลือเพียงซูอวี้และซูจวิ้นเท่านั้นในรอบชิงชนะเลิศครั้งที่สาม
“รอบที่สาม การแข่งขันคือการวินิจฉัย” ซูจิ่นซีกล่าวขึ้น “ผู้ป่วยได้ถูกจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว หลังจากนั้น พวกเจ้าทั้งสองคนต้องใช้วิธีจับฉลากเพื่อเลือกผู้ป่วยที่ตนเองจะทำการรักษา ให้เวลาสองชั่วยาม ภายในเวลาสองชั่วยามนี้ต้องรักษาผู้ป่วยให้หาย หากรักษาไม่สำเร็จหรือการรักษาไม่ได้ผลจะถือว่าแพ้”
“หากพ้นเวลาสองชั่วยามแล้วพวกเขาทั้งคู่ไม่สามารถรักษาผู้ป่วยให้หายได้ หรือพวกเขาต่างสามารถรักษาผู้ป่วยได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดเล่า จะตัดสินอย่างไร? ” ไม่คิดว่าฮั่วซื่อจะเอ่ยปากถามขึ้น
“ยังคงเหมือนก่อนหน้านี้ หากคนไข้หายภายในเวลาที่กำหนด พวกเขาจะถูกจัดลำดับตามระยะเวลาที่รักษาได้ หากรักษาไม่หายภายในเวลาที่กำหนด ข้าจะจัดให้มีการแข่งขันอีกครั้ง”
เมื่อรายละเอียดและกติกาการแข่งขันชัดเจนแล้ว ซูอวี้และซูจวิ้นก็เริ่มจับฉลาก
ซูอวี้จับได้หมายเลขสอง เด็กสาวอายุเจ็ดปีที่ตาบอดและใบหน้ามีลักษณะแก่ก่อนวัย
ซูจวิ้นจับได้หมายเลขหนึ่ง ชายหนุ่มที่มีพิษงูอยู่ในร่างกาย ทำให้ร่างกายเน่าเปื่อย ซึ่งจำเป็นต้องล้างพิษอย่างเร่งด่วน
ปัญหาของทั้งสองคนไม่ง่ายเลย
ทันทีที่ซูจวิ้นได้รับผู้ป่วย ท่าทีของเขาก็จริงจังมากขึ้น ซูจวิ้นเริ่มตรวจบาดแผล ตรวจเลือด ตรวจพิษของผู้ป่วย และถามผู้ป่วยว่าเจองูพิษที่ใด สถานการณ์โดยรอบและอื่นๆ
เมื่อคนไข้ของซูอวี้ถูกนำตัวเข้ามา ทุกคนล้วนไม่รู้สึกแม้แต่เสียงถอนหายใจ หากไม่ใช่เพราะตอนที่ซูอวี้จับฉลากกรรมการตัดสินทั้งสามท่านได้กล่าวว่าผู้ป่วยท่านนี้อายุเจ็ดปีและมีใบหน้าแก่ก่อนวัยอันควร ทุกคนคงคิดว่านางเป็นหญิงชราอายุหกสิบถึงเจ็ดสิบปี
เด็กหญิงมีรูปร่างเล็กไม่สูงเท่าซูอวี้ ทว่ากลับมีรอยย่นและริ้วรอยทั่วร่างกายและใบหน้า หากไม่สังเกตเห็นนิ้วเท้าขนาดสามชุ่นคงไม่รู้ว่านางเป็นเด็กสาว ทั้งยังมีผมยาวสีขาว ดวงตาทั้งสองไร้แวว เห็นได้ชัดว่าดวงตาทั้งสองนั้นไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้เลย เหตุผลที่สามารถเดินได้โดยไม่เป็นอันตรายเพราะการช่วยเหลือของคนรอบข้าง
ซูอวี้ทนความเจ็บปวดจากบาดแผล เขาเดินไปข้างหน้าด้วยร่างกายที่อ่อนแอเพื่อทักทายผู้ป่วยเป็นการส่วนตัว
“สวัสดี ข้ามีนามว่าซูอวี้ เป็นหมอที่จะรักษาเจ้า ขอสอบถามว่าเจ้ามีนามว่ากระไรหรือ? ”
แม่นางน้อยดูเหมือนจะไม่ได้ยินเสียงของซูอวี้ นางไม่ได้กล่าวอันใด บนใบหน้ายังคงแสดงท่าทีแข็งทื่อ
“สวัสดี ข้ามีนามว่าซูอวี้ เป็นหมอที่จะรักษาเจ้า ขอสอบถามว่าเจ้ามีนามว่ากระไรหรือ? ” ซูอวี้ถามซ้ำอีกครั้ง
ทุกคนที่อยู่ที่นั่น รวมถึงซูจิ่นซี ทั้งยังฝูงชนที่มองดูอยู่ด้านนอกต่างรอคอยอย่างเงียบงัน รอให้แม่นางน้อยเอ่ยปาก ทว่าหลังจากนั้นสักพักสาวน้อยกลับไม่พูดอันใด
ซูจิ่นซีมองไปที่แม่นางน้อยผู้นั้นพลางขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
เพื่อความเป็นธรรม ผู้ป่วยสองรายที่ใช้ในการแข่งขันครั้งนี้ได้รับการจัดเตรียมโดยกรรมการตัดสินทั้งสามท่าน เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย ซูจิ่นซีจึงไม่ได้มีส่วนร่วมและไม่ได้สอบถามใดๆ เช่นกัน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ก่อนที่ผู้ป่วยทั้งสองจะถูกส่งไปยังสนามการแข่งขัน ซูจิ่นซีล้วนไม่ทราบว่าพวกเขามีสถานการณ์อย่างไร
หรือแม่นางน้อยผู้นี้ไม่เพียงตาบอด ทว่ายังหูหนวกและเป็นใบ้ด้วย?
ไม่ใช่หรอกกระมัง?
มองไม่เห็น ไม่ได้ยิน ทั้งยังพูดไม่ได้ แล้วจะให้ซูอวี้สอบถามได้อย่างไร? เขาจะสื่อสารกับผู้ป่วยเกี่ยวกับอาการได้อย่างไร?
ผู้ป่วยรายนี้ไม่สามารถรักษาให้สำเร็จภายในสองชั่วยามอย่างแน่นอน!