สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 190 ไม่น่าเชื่อถือจริงๆ

        “ซูจ้ง ท่านบ้าไปแล้วหรือ?”

        ซูจิ่นซีผลักซูจ้งและพยุงตัวซูอวี้ขึ้นจากพื้น

         ซูจ้งไม่สนใจซูจิ่นซี ทว่าเขาหันหลังเดินไปยังด้านข้างของอนุปี้ เขาหยิบพัดกับสมุดเหล่านั้นออกมาจากอกเสื้อและโยนไปด้านหน้าของอนุปี้

        “นางแพศยา เจ้ามีอันใดจะพูดอีก? ”

        นี่เป็นครั้งแรกที่ซูจ้งเรียกอนุปี้เช่นนี้ อนุปี้หยิบสมุดจากพื้นขึ้นมาเปิดออกอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง

        มองเพียงครั้งเดียว หยาดน้ำตาในดวงตาทั้งคู่ของอนุปี้พลันหลั่งไหลออกมาราวกับแก้วที่แตกสลาย

        “ท่านพี่… ท่านสงสัย… สงสัย… ”

        อนุปี้กัดริมฝีปากจนเลือดไหล ทว่าใจไม่แข็งพอที่จะพูดคำพูดสุดท้ายออกมา

        “ไอ้หยา หรือว่าคุณชายน้อยอวี้ไม่ใช่บุตรแท้ๆ ของผู้นำสกุลซูจริงๆ ? ”

        “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? ”

        “ผู้นำสกุลซูช่างน่าสงสาร ช่วยเลี้ยงบุตรผู้อื่นมาตั้งหลายปี วันนี้เพิ่งได้รู้ความจริง”

        “ใครว่าไม่ใช่เล่า! ถูกสวมหมวกเขียว [1] ไว้นานเพียงนี้”

        “จะว่าไป คุณชายน้อยอวี้แท้จริงแล้วเป็นบุตรชายของผู้ใดกัน? ”

        “นั่นสิ! อนุปี้ คุณชายน้อยอวี้เป็นบุตรชายของผู้ใดกันแน่? ”

        มีบางคนในฝูงชนเริ่มเรียกอนุปี้ด้วยความหมายเย้ยหยัน

        ดวงตาทั้งคู่ของอนุปี้มีน้ำตาคลอเบ้า นางจ้องมองซูจ้งอย่างไม่คลาดสายตา

        ใบหน้าของซูจ้งเต็มไปด้วยความเดือดดาล เขาเกือบจะเข้าไปบีบคอของอนุปี้ให้หักคามือ

        ซูอวี้มีใบหน้าซีดเผือด

        ซูจิ่นซีรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตัวของซูอวี้สั่นเทาอยู่ตลอดเวลา ซูอวี้ที่เป็นเช่นนั้นทำให้ซูจิ่นซีเจ็บปวดใจอย่างมาก นางอดไม่ได้ที่จะปิดหูของซูอวี้เพื่อป้องกันเสียงรบกวนภายนอก

        จู่ๆ  ซูจิ่นซีก็ดึงปิ่นปักผมบนศีรษะของตนเอง นางลุกขึ้นเดินไปดึงมือของซูจวิ้นมาที่บ่อปลา ก่อนจะแทงปิ่นนั้นไปบนมือของซูจวิ้น

        เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลายคนเห็นไม่ชัดว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ แม้แต่ฮั่วซื่อที่อยู่ใกล้กับซูจวิ้นมากที่สุดก็ขวางไว้ไม่ทัน

        “ซูจิ่นซี นางแพศยา เจ้าคิดจะทำอันใด? ” ซูจวิ้นเจ็บปวดมาก เขาเบิกตาทั้งสองข้างแล้วสบถด่าซูจิ่นซีด้วยความโกรธ

        “ซูจิ่นซี เจ้าคิดจะทำอันใด? เจ้าจะฆ่าบุตรชายของข้าหรือ? ”

        หลังจากที่ฮั่วซื่อได้สติกลับมาแล้ว นางก็รีบพุ่งเข้าไปผลักตัวซูจิ่นซีและปกป้องซูจวิ้นไว้ด้านหลังของตน

        ซูจิ่นซีไม่สนใจฮั่วซื่อสองแม่ลูก ทว่านางมองไปทางบ่อปลาและยิ้มเยาะมุมปาก

        ทุกคนต่างไม่ทราบสาเหตุ พวกเขาจึงมองไปตามสายตาของซูจิ่นซีด้วยความประหลาดใจ

        นี่มัน… เกิดอันใดขึ้นกันแน่?

        ทันใดนั้น สายตาของทุกคนต่างจ้องมองซูจวิ้นด้วยความแปลกใจ

        ใบหน้าของฮั่วซื่อเปลี่ยนไปในทันที นางเดินเข้าไปใกล้บ่อปลาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย เมื่อมองลงไปด้านล่าง ดวงตาทั้งสองพลันเบิกกว้าง

        “ไม่… เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน! ซูจิ่นซี เจ้าทำอันใดกับบุตรของข้า? ” ฮั่วซื่อดึงรั้งเสื้อของซูจิ่นซี

        ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่ซูจิ่นซีเกลียดที่สุดก็คือผู้อื่นมาฉีกทึ้งเสื้อผ้าของนาง

        “ปล่อยมือ! ”

        แววตาเยือกเย็นดุร้ายของซูจิ่นซีทำให้ฮั่วซื่อตกตะลึง นางตัวสั่นเทา มือที่จับเสื้อซูจิ่นซีพลันคลายออก

        ซูจิ่นซีผลักฮั่วซื่อออกไปและดึงเสื้อผ้าของตนเองออกจากมือของฮั่วซื่อ

        จากนั้นซูจิ่นซีก็ไม่สนใจฮั่วซื่อกับซูจวิ้น ทว่านางเดินไปหาซูจ้งที่ยืนจ้องบ่อปลาด้วยใบหน้ายิ้มเยาะ

        “ท่านพ่อ เห็นชัดเจนหรือไม่? เลือดของซูจวิ้นกับเลือดของท่าน ไม่สามารถผสมรวมกันได้”

        ในเวลานี้ บริเวณรอบบ่อปลาเต็มไปด้วยผู้คน พวกเขาทั้งหลายต่างจ้องไปในบ่อปลา

        เมื่อครู่ ซูจิ่นซีคิดวิธีแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน นางใช้ปิ่นปักผมแทงไปที่มือซูจวิ้น ทำให้เลือดไหลลงไปในบ่อปลา ไม่คิดว่า เลือดของซูจวิ้นจะเป็นเหมือนกับเลือดของซูอวี้ที่ละลายในน้ำโดยไม่ผสมรวมกับเลือดของซูจ้ง

        “นี่มันเรื่องอันใดกันแน่? ”

        “หรือว่าคุณชายน้อยจวิ้นก็ไม่ใช่บุตรแท้ๆ ของผู้นำสกุลซู? ”

        “นี่… นี่มันพิสดารเกินไปแล้ว? ผู้นำสกุลซู ท่านมีบุตรชายเพียงสองคน นึกไม่ถึงว่าจะไม่มีบุตรที่แท้จริงแม้แต่คนเดียว ท่านลองตรวจเลือดบุตรสาวของท่านอีกครั้งดีหรือไม่? ”

        คำพูดนั้นเต็มไปด้วยการเสียดสี

        ดวงตาทั้งคู่ของซูจ้งแทบหลั่งเลือด ใบหน้าหมองคล้ำจนไม่อาจคล้ำไปมากกว่านี้ได้อีก เขามองฮั่วซื่อด้วยสายตาโกรธเคือง

        “ไม่… เป็นไปไม่ได้ ท่านพี่ จวิ้นเอ๋อร์เป็นบุตรชายแท้ๆ ของท่านอย่างแน่นอน ข้ากล้าเอาศีรษะเป็นประกัน”

        ฮั่วซื่อคุกเข่าร้องไห้ต่อหน้าซูจ้ง จากนั้นก็ชี้นิ้วไปทางซูจิ่นซี “นี่ต้องเป็นแผนชั่วร้ายอันใดของซูจิ่นซีแน่นอน ท่านพี่ ท่านอย่าได้ตกหลุมพรางของนางเป็นอันขาด! ”

        “จิ่นซี ตกลงแล้วมันเกิดอันใดขึ้นกันแน่? ”

        ซูจ้งเชื่อในคำพูดของฮั่วซื่อ เขาหันมาสอบถามซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซียังคงยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา นางยืนต่อหน้าทุกคน จากนั้นก็แทงปิ่นไปที่นิ้วมือของตนเองและปล่อยให้เลือดของตนหยดลงไปในบ่อปลา

        “พระชายาโยวอ๋องคิดจะทำอันใด? ”

        “พระชายาโยวอ๋องต้องการตรวจสอบเลือดด้วยใช่หรือไม่? ”

        “โอ้ ให้ข้าดูหน่อย ให้ข้าดูหน่อยสิ! ”

        “รวมกันหรือเปล่า? รวมกันหรือเปล่า? ”

        ……

        ทันใดนั้น กลุ่มคนที่ส่งเสียงดังพลันเงียบเสียงลงชั่วขณะ แววตาสับสนของผู้คนทั้งหลายต่างมองไปทางซูจิ่นซีและซูจ้ง

        “นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่? เลือดของพระชายาโยวอ๋องก็ไม่ผสมรวมกับผู้นำสกุลซูเช่นกัน หรือว่า… ”

        ตอนนี้สถานะของซูจิ่นซีนั้นสูงส่ง ดังนั้นคำพูดที่ทำให้เสื่อมเสียเช่น ‘พระชายาโยวอ๋องไม่ใช่บุตรีแท้ๆ ของผู้นำสกุลซู’ จึงพูดออกมาไม่ได้อย่างแน่นอน

        “ท่านพ่อ ท่านคงไม่คิดว่าพวกเราทั้งสามคนไม่ใช่บุตรแท้ๆ ของท่านใช่หรือไม่? ” ซูจิ่นซีพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็นชา

        ความเดือดดาลบนใบหน้าซูจ้งค่อยๆ เลือนหายไป เขามองซูจิ่นซีด้วยใบหน้างุนงง

        ซูจิ่นซีใช้วิธีที่เข้าใจง่ายในการตรวจสอบ และใช้วิธีตรงไปตรงมาในการอธิบายความจริง “วิธีตรวจสอบ ความสัมพันธ์ด้วยเลือดเช่นนี้เป็นศาสตร์ที่ไม่น่าเชื่อถือ”

        ทันใดนั้น ผู้คนต่างสับสนวุ่นวาย

        “กระไรนะ? การตรวจสอบหยดเลือดเป็นวิธีที่ไม่แม่นยำหรือ? ”

        “ไม่หรอกกระมัง? บรรพบุรุษหลายชั่วอายุคนใช้วิธีนี้กันมานานหลายปีแล้ว เป็นไปไม่ได้? ”

        “พระชายาโยวอ๋อง ท่านคงไม่ได้พูดจาล้อเล่นใช่หรือไม่? ”

        “เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน! ”

        ……

          แท้จริงแล้วในยุคโบราณ นี่คือการแพทย์ที่ล้าสมัยและยังเป็นเรื่องที่น่าสลดใจที่สุดในวงการแพทย์

          ความจริงแล้ว หากต้องการรู้ว่าเป็นพ่อลูกกันหรือไม่ เพียงใช้เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ดำเนินการตรวจสอบความสัมพันธ์กันของรหัสพันธุกรรมก็สามารถยืนยันได้แล้ว ทว่าในยุคที่น่าเศร้าที่มีเทคโนโลยีทางการแพทย์ล้าสมัย พวกเขาจึงไม่รู้ว่า ‘การหยดเลือดเพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์’ เป็นวิธีการที่ไร้สาระ ไม่รู้ว่าวิธีนี้ได้ทำร้ายคนบริสุทธิ์ไปแล้วกี่คน

           หากวันนี้ซูจิ่นซีไม่อยู่ แม้แต่อนุปี้และซูอวี้เองก็คงต้องกลายเป็นหนึ่งในนั้น

        “หากทุกคนไม่เชื่อ สามารถพิสูจน์ความจริงได้ที่นี่ ข้าไม่ได้กล่าวเท็จอย่างแน่นอน คำพูดที่ว่า เลือดจะผสมรวมกันในน้ำนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิของน้ำเท่านั้น หากอุณหภูมิของน้ำถึงระดับที่กำหนดและได้เติมสารส้มลงไป แม้จะไม่มีความสัมพันธ์พ่อลูกกัน เลือดก็จะผสมเข้าด้วยกันได้ ทว่าหากเติมน้ำมันลงไปในน้ำ แม้จะมีความสัมพันธ์เป็นพ่อลูกกัน เลือดก็ไม่มีทางผสมรวมเข้าด้วยกัน”

        “เจ้ากรมหวัง รองเจ้ากรมหลี่ รบกวนท่านเตรียมอ่างน้ำสองใบ ใบหนึ่งใส่สารส้ม อีกใบใส่น้ำมันลงไป ให้ทุกคนได้พิสูจน์กัน”

        “พ่ะย่ะค่ะ! ”

        กรมอาญาสามารถเตรียมของพวกนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น เจ้ากรมหวังและรองเจ้ากรมหลี่รีบออกคำสั่งให้คนไปจัดเตรียม ผ่านไปครู่เดียว อ่างน้ำใบใหญ่สองใบก็ถูกจัดวางอยู่ตรงหน้าทุกคน ขณะเดียวกันยังได้เตรียมเข็มเงินไว้หลายเล่ม

        ในเมื่อพวกเขาเข้ามาดูเรื่องครึกครื้นแล้ว เป็นคนย่อมอยากรู้อยากเห็น ผู้คนต่างพากันหยิบเข็มและเริ่มต้นทดสอบด้วยตนเอง

       ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้น…

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset