สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 192 ทำให้คนตายพูดได้

         ฮั่วซื่อซึ่งในเวลานี้พอจะสงบนิ่งขึ้นบ้าง ทว่าเมื่อเห็นท่าทางของซูจิ่นซีแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวสั่นเสียวสันหลัง

        ซูจิ่นซีเรียกหาแม่นมฮวาและพ่อบ้าน นางพูดอะไรบางอย่างข้างหูพวกเขา ทันใดนั้นใบหน้าของทั้งสองก็เผยรอยยิ้มประหลาดออกมา จากนั้นทั้งคู่ก็ออกจากห้องโถงไป

        ซูจิ่นซีดึงมือซูอวี้ให้นั่งลงบนที่นั่งด้านบน

         “ท่านพ่อก็นั่งลงเถิด! ข้าจะให้ท่านพ่อชมละครสนุกๆ ฉากหนึ่ง”

        ชมละครอันใด?

        จนถึงป่านนี้แล้ว ยังมีใจดูละครอีกหรือ?

        “ซูจิ่นซี เจ้าต้องการจะทำอันใด? ” ซูจวิ้นอดไม่ได้ที่จะถามออกมาอย่างกังวลใจ

        ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย นางไม่พูดอันใด ทำเพียงดื่มน้ำชาที่วางอยู่ด้านข้าง

        ซูอวี้นั่งตัวแข็งทื่ออยู่ด้านข้างซูจิ่นซี แม้ตนจะถูกซูจิ่นซีรั้งตัวให้อยู่ที่ศาลพิจารณาคดี ทว่าใจนั้นไปอยู่ที่อนุปี้เสียนานแล้ว

        ผ่านไปครู่หนึ่ง ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคน แม่นมฮวาและพ่อบ้านสั่งให้คนแบกคนสองคนเข้ามา หากจะกล่าวให้ถูกต้องก็คือศพทั้งสองศพนั่นเอง

        ทันใดนั้น ใบหน้าของฮั่วซื่อก็แปรเปลี่ยนไป

         “ซูจิ่นซี เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ”

         “เหตุใดท่านแม่จึงรีบร้อนเพียงนี้? หรือท่านรู้จักพวกเขา? ” ซูจิ่นซีพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

        ฮั่วซื่อพูดพลางหลบตาเล็กน้อย “ข้า… ข้าจะรู้จักพวกเขาได้อย่างไร? ”

         “รู้จักหรือไม่รู้จัก อีกเดี๋ยวพวกเขาฟื้นขึ้นมาก็จะได้รู้เอง” ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปาก

        ฮั่วซื่อสีหน้าซีดเผือดทันที “เจ้า…เจ้าพูดอันใด? ”

         “ข้าพูดว่า จะให้คนตายพูดเปิดเผยความจริงให้ปรากฎชัดเจนต่อหน้าผู้คนทั้งหลาย ให้พวกที่กระทำการไร้ยางอายและทำเรื่องชั่วร้ายนั้น ไม่มีโอกาสได้บิดเบือนอันใดอีก”

        จู่ๆ ร่างของฮั่วซื่อก็ซวนเซไปชั่วขณะ จนเกือบจะหกล้ม

        ในฝูงชนยังมีคนที่รู้จักสองคนนี้  “ทูลพระชายา สองคนนี้ คนหนึ่งเป็นคนขับรถม้าที่ขับมาชนรถม้าของตำหนักโยวอ๋องบนถนนในวันนี้ และเป็นคนที่ทำให้อนุปี้บาดเจ็บสาหัส อีกคนหนึ่งเป็นคนลอบสังหารคุณชายน้อยอวี้ที่หน้าประตูหอกุ้ยเหรินอย่างอุกอาจ ในเหตุการณ์นั้นพวกเขาดื่มยาพิษหนีความผิดไปแล้วไม่ใช่หรือ? ตามหลักการ ครั้งนี้พวกเขาคงตายไปนานแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะฟื้นขึ้นมาพูดได้อีก? ”

         “ดื่มยาพิษหนีความผิดหรือ? เกรงว่าจะมีคนบงการอยู่เบื้องหลังหรือไม่? ในเมื่อกลัวความผิด แล้วเหตุใดถึงทำเช่นนั้น?” คนในฝูงชนรีบพูดเสริม

         “ถูกต้อง ทั้งสองคนเป็นฆาตกรในวันนี้แน่นอน และยังดื่มยาพิษเข้าไปจริงๆ ทว่าโชคดีที่พวกเขาดื่มยาพิษฆ่าตัวตาย เพราะข้าเชี่ยวชาญในการถอนพิษ เป็นมือปราบพิษทั้งปวง”

         “พระชายา ท่านบอกว่า พิษของพวกเขาท่านสามารถกำจัดได้หรือ?”

         “ไม่ใช่ พระชายา คนตายไปนานแล้ว แม้จะถอนพิษได้ทว่าก็ไร้ประโยชน์! คนตายจะพูดอีกครั้งได้อย่างไร! ”

        เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฮั่วซื่อที่แสดงท่าทีตื่นตระหนก ทั้งยังอ่อนแรงลงเล็กน้อย ก็มีท่าทางสงบเงียบลง

        ทว่าในไม่ช้า การกระทำต่อไปของซูจิ่นซีก็ทำให้ความสงบนิ่งของฮั่วซื่อมาถึงจุดที่ระเบิดออกมาอย่างควบคุมตนเองไม่ได้

        ต่อหน้าสายตาของผู้คนจำนวนมาก ซูจิ่นซีเดินไปด้านข้างศพทั้งสอง นางนำเอายาสองเม็ดออกมาจากแขนเสื้อ และแบ่งใส่เข้าไปในปากของศพทั้งสอง จากนั้นก็ใช้เข็มเงินหลายเล่มฝังไปยังจุดฝังเข็มสำคัญแต่ละจุดบนร่างกายของพวกเขา

        จากนั้น ซูจิ่นซีก็ลุกขึ้น ยืนคอยอยู่ด้านข้าง

        ทุกคนต่างเบิกตาทั้งสองข้างมอง… มอง… และมอง…

        ต่างรอคอยปาฏิหาริย์ที่กำลังจะเกิดขึ้น

        ทว่าเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ศพทั้งสองยังไร้การเปลี่ยนแปลง

         “ฮ่า ฮ่า ซูจิ่นซี เจ้าล้อเล่นมากเกินไปแล้ว? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นหมอเทวดาจุติมายังโลกมนุษย์จริงๆ หรือ? เช่นนี้… ”

        ซูจวิ้นยังไม่ทันพูดจนจบประโยค ทันใดนั้นเขาก็จ้องตาเขม็ง อ้าปากค้าง พูดอันใดไม่ออกในทันที

        ไม่เพียงแต่ซูจวิ้นที่มีท่าทีเช่นนี้ ผู้คนจำนวนมากที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็มีปฏิกิริยาเหมือนกัน

        ศพทั้งสองที่อยู่บนพื้นซึ่งเสียชีวิตจากการดื่มยาพิษ เกิดการเคลื่อนไหวขึ้นจริงๆ อีกทั้งพวกเขายังค่อยๆ ลืมตาทั้งคู่ขึ้น

         “เทวดา! ”

         “เป็นเทวดาจริงๆ !! ”

         “พระชายาโยวอ๋อง เป็นหมอเทวดาจริงๆ !!! ”

        ใบหน้าฮั่วซื่อซีดเผือดจนไม่อาจซีดขาวได้มากกว่านี้อีกแล้ว นางเดินซวนเซไปสองสามก้าวและทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างแรง

        ซูจิ่นซีหันหลังกลับไปนั่งตรงที่นั่งด้านบนด้วยท่าทางดุดันทรงอำนาจ

        ผู้ตายทั้งสองที่ฟื้นขึ้นมายังไม่ทันได้มองดูรอบๆ ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น ก็ถูกเหล่าองครักษ์จับให้คุกเข่าแทบเท้าซูจิ่นซี

        “พูดออกมา พวกเจ้าเป็นใครกันแน่? ใครที่บงการให้พวกเจ้ามาทำร้ายอนุปี้กับซูอวี้? ” ซูจิ่นซีใช้กำปั้นทุบไปที่โต๊ะอย่างรุนแรง พลางถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว

        ทั้งสองคนเพิ่งฟื้น เดิมยังไม่ทันได้สติ เมื่อถูกซูจิ่นซีซักถามด้วยเสียงแข็งกร้าวก็ตกใจจนได้สติขึ้นมาในทันที ทั้งยังสามารถแยกแยะเรื่องราวและบุคคลที่อยู่ตรงหน้า แววตาของพวกเขาพลันตกตะลึง

         “พระ… พระชายาโยวอ๋อง… ”

         “ยังไม่ยอมปริปากอีก! อยากตายอีกครั้งหรือ? ”

        ซูจิ่นซีหยิบถ้วยบนโต๊ะเขวี้ยงใส่ทั้งสองคนจนแตกละเอียด

        พวกเขาทั้งสองตกใจอยู่ไม่น้อย ทว่ายังคงกัดฟันแน่น ไม่ยอมปริปากอันใด

         “ปี้ซื่อสองแม่ลูกไปทำอันใดกับสุสานบรรพชนตระกูลพวกเจ้า หรือทำร้ายพ่อแม่ของพวกเจ้า? นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะร่วมมือกับคนชั่วร้ายพวกนั้นทำร้ายคนที่น่าสงสาร โชคดีที่พระชายาช่วยพวกเจ้าไว้ได้ทัน พวกเจ้าใจดำไร้หัวใจ สมควรตายไปให้พ้นๆ ตายตกในนรกขุมที่สิบแปด”

        แม่นมฮวาที่กำลังโกรธอยู่ไม่น้อย เตะขาพวกเขาคนละที

        แม้ทั้งสองคนจะหวาดกลัว ทว่ายังคงไม่ยอมปริปากพูด

         “เจ้ากรมหวัง นำเครื่องทรมานหนึ่งร้อยแปดชิ้นของกรมอาญาออกมาให้ข้า ทรมานพวกเขาทีละชิ้นๆ หากยังทรมานไม่ครบ ไม่อนุญาตให้พวกเขาทั้งสองตาย ข้าอยากจะดูนัก คนที่ไม่กลัวตาย จะปากแข็งได้เพียงใด”

         “ขอรับ! ”

        ใช้เครื่องทรมานทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดชิ้นหรือ?

        เครื่องทรมานของกรมอาญาอาจเทียบไม่ได้กับของศาลาที่ว่าการเมือง และแต่ละชิ้นยังโหดเหี้ยมมาก!

        เครื่องทรมานแต่ละชิ้นไม่อาจทำให้คนตายได้ ทว่าจะอยู่ก็สุดแสนทรมาน

        จนถึงวันนี้ยังไม่มีผู้ใดที่ทนต่อเครื่องทรมานครบหนึ่งร้อยแปดชิ้นได้ มากสุดเพียงสามสิบเจ็ดชิ้น นักโทษก็ยอมรับสารภาพแล้ว

        ผ่านไปไม่นาน เจ้ากรมหวังก็ยกเครื่องทรมานที่เปื้อนเลือดจำนวนมากเข้ามาในศาลพิจารณาคดี

         “ทูลพระชายา ข้าน้อยให้คนนำเครื่องทรมานมาจำนวนสิบแปดชิ้นก่อน ส่วนที่เหลือพวกเราค่อยนำออกมาทีละชิ้น ยังมีบางส่วนที่อยู่ในห้องสอบปากคำซึ่งไม่สามารถโยกย้ายมาได้ รอจนกว่าใช้เครื่องทรมานทั้งหมดแล้ว พวกเราค่อยย้ายนักโทษไปที่ห้องสอบปากคำ” เจ้ากรมหวังอธิบาย

        โอ้พระเจ้า!

        ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องทรมานเพียงสิบแปดชิ้นหรือ?

        แค่เห็นเครื่องทรมานของกรมอาญาพวกนี้ ก็ทำให้ทุกคนหวาดกลัวจนอกสั่นขวัญแขวน ยังมีอีกเก้าสิบเก้าชิ้น!

        หากใช้เครื่องทรมานทั้งหมดนี้แล้ว ทั้งสองคนนี้จะอยู่ในสภาพเช่นไร?

        ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างนิ่งเงียบ

         “ได้ ลงทัณฑ์” ซูจิ่นซีออกคำสั่ง

        ผู้คุมการลงทัณฑ์ค่อยๆ นำเครื่องทรมานออกมาด้วยท่าทางมั่นคง ผู้คุมเดินเข้าไปหาทั้งสองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าซูจิ่นซี

        ทว่า…

        เครื่องทรมานยังไม่ทันได้เข้าใกล้พวกเขาทั้งสอง หนึ่งในสองคนนั้นก็เป็นลมหมดสติไปทันที

         “ไอ้พวกไม่ได้ความ! ” แม่นมฮวาถีบไปที่คนผู้นั้นอย่างโกรธแค้น “ยังมีอีกคนหนึ่ง ลงทัณฑ์ได้”

        เครื่องทรมานเพิ่งจะยกไปยังมือสังหารอีกคนหนึ่ง คนผู้นั้นตกใจกลัวจนลนลานพูดว่า “ข้ายอมพูดแล้ว พระชายา ท่านไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิด! ข้าน้อยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่อยากตายอีกแล้ว! ข้าน้อยยอมพูดทุกอย่าง ยอมพูดทุกอย่าง! พระชายาโปรดไว้ชีวิตด้วยเถิด! ”

        ซูจิ่นซีแสดงสีหน้าให้ผู้คุมการลงทัณฑ์นำเครื่องทรมานออกไป

        จู่ๆ นักฆ่าผู้นั้นก็หันหลังกลับ เขาชี้ไปทางฮั่วซื่อที่ยังคงมีสีหน้าสับสน “เป็นฮูหยินฮั่ว เป็นฮูหยินฮั่วที่บงการให้ข้าน้อยทำ”

        ทุกคนต่างประหลาดใจ

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset