องครักษ์คลำบริเวณใบหูอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็สามารถดึงหน้ากากหนังมนุษย์ออกจากใบหน้าของพวกเขาได้
“โอ้… เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้? ” คนผู้หนึ่งร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจ
ฮั่วซื่อเบิกตาโพลงด้วยท่าทีตื่นตกใจจนไม่สามารถตกใจไปมากกว่านี้ได้แล้ว
“ถูกต้อง! ” ซูจิ่นซีพูดขึ้น “พวกเขาไม่ใช่มือสังหารตัวจริง ทว่าเป็นคนที่ข้าแปลงโฉมจัดฉากมา ฮั่วซื่อ เจ้ามันกินปูนร้อนท้อง หากเจ้านิ่งมากกว่านี้ ละเอียดรอบคอบมากกว่านี้ ยังมีโอกาสพบพิรุธจากพวกเขาได้”
“ซูจิ่นซี เจ้า… เจ้าต่ำช้ายิ่งนัก”
“ชมกันเกินไปแล้ว เทียบกับเจ้า ข้ายังห่างชั้นกับเจ้ามากนักกระมัง? หากไม่ทำเช่นนี้ ข้าจะง้างความจริงออกจากปากเจ้าได้อย่างไร? ”
ถูกต้อง มือสังหารตัวจริงตายไปแล้ว บนโลกนี้จะมีวิธีชุบชีวิตได้อย่างไร?
ทว่าซูจิ่นซีได้ตั้งข้อสมมติฐานของตนเอง นางจึงจัดฉากแปลงโฉมมือสังหารสองคน คิดไม่ถึงว่าฮั่วซื่อจะเป็นวัวสันหลังหวะ [1] เมื่อทำให้นางตกใจ นางจึงยอมคายความจริงออกมาทั้งหมด
ฮั่วซื่อคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าครั้งนี้ตนได้หลงกลซูจิ่นซี
เพราะนางประมาทเกินไปจึงหลงกลแผนการที่ซูจิ่นซีวางไว้ เปิดเผยความลับของตนไม่พอ ยังทำร้ายบุตรชายของตนอีก
ฮั่วซื่อโมโหเป็นอย่างมาก นางเดือดดาลจนกระอักเลือดกองโต ไม่นานนักดวงตาทั้งสองก็เบิกค้างและล้มตึงลงไปกองกับพื้น
หลังจากที่รองเจ้ากรมหลี่เข้ามาตรวจสอบลมหายใจของฮั่วซื่อ เขาก็พูดว่า “ทูลพระชายา นางเสียชีวิตแล้ว”
“ในเมื่อเสียชีวิตแล้วก็ไม่จำเป็นต้องนำไปขังอีก นำศพของนางมอบให้คนของสกุลซูเถิด! ถึงเวลานั้นก็ทำพิธีส่งศพไปพร้อมกับท่านพ่อ” สีหน้าซูจิ่นซีเรียบเฉยเป็นอย่างมาก
พ่อบ้านรีบช่วยคนสกุลซูนำศพของซูจ้งกับฮั่วซื่อกลับไปที่จวน
ซูจวิ้นถูกคนในกรมอาญาคุมตัวไปไว้ในห้องขังที่มีการเฝ้าอย่างแน่นหนา แม้ก่อนที่จะถูกคุมตัวไปซูจวิ้นได้สบถด่าซูจิ่นซีไปหลายประโยค ทว่าซูจิ่นซีกลับแสดงท่าทางราวกับไม่ได้ยินอันใด
คนที่กำลังใกล้ตาย ไม่มีความจำเป็นต้องไปเถียงให้มากความ
เมื่อมีเห็ดหลินจือแดง อาการบาดเจ็บของอนุปี้ก็สามารถรักษาให้หายได้อย่างราบรื่น
หลังจากที่ทุกคนต่างแยกย้ายออกจากกรมอาญา ตอนที่ซูจิ่นซีพาอนุปี้ที่บาดเจ็บสาหัสกับซูอวี้กลับไปที่จวน ฟ้าก็สว่างแล้ว
ซูจ้งและฮั่วซื่อทั้งสองคนเสียชีวิตแล้ว ภายในจวนคงสับสนวุ่นวายกันยกใหญ่ ยังมีงานศพของซูจ้งกับฮั่วซื่อซึ่งเรื่องพวกนี้จำเป็นต้องให้อนุปี้เป็นคนจัดการ ทว่าอนุปี้กับซูอวี้ทั้งสองต่างบาดเจ็บสาหัส ไม่มีทางจัดการดูแลได้ ซูจิ่นซีจึงสั่งให้แม่นมฮวากับพ่อบ้านดูแลเรื่องต่างๆ ในจวนซูไปพลางๆ ก่อน
หลายวันมานี้เพื่อจัดการเรื่องของสกุลซู ซูจิ่นซีจึงมีสภาพจิตใจตึงเครียด ตอนนี้เรื่องราวนับว่าผ่านไปได้ด้วยดี นางเพิ่งจะรู้สึกว่าตนเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก เหนื่อยมาก เหนื่อยมากๆ
แม้แต่จวนโยวอ๋องยังไม่ได้กลับไป นางพักอยู่ที่เรือนฮั่นเซียงเป็นการชั่วคราวมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
ครั้งนี้ซูจิ่นซีนอนพักเหนื่อยเกือบทั้งวัน นางนอนหลับจนถึงช่วงหัวค่ำ
ลวี่หลีพบว่าซูจิ่นซียังไม่ตื่นนอน จึงไม่กล้าเข้าไปรบกวน ทำได้เพียงนั่งคอยอยู่นอกห้อง
ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ลวี่หลีนั่งไปนั่งมาก็งีบหลับ
ร่างขาวนวลดั่่งหิมะราวกับเทพเซียนจากสรวงสวรรค์ ร่อนลงมาจากฟากฟ้าและหายเข้าไปในเรือนฮั่นเซียง
ร่างนั้นหล่อเหลางดงาม ร่างเงาบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่วงท่าสง่างามเหมือนมิใช่มนุษย์ในโลกนี้ ที่แท้ก็คือจิ่วหรง ผู้ที่พ่อบ้านตามหาทั่วทั้งเมืองตี้จิงเพื่อให้มาช่วยชีวิตอนุปี้ ทว่ากลับตามหาไม่พบ
จิ่วหรงผลักประตูห้องของซูจิ่นซี เขาไม่สนใจลวี่หลีที่นอนสัปหงกอยู่บนโต๊ะ ทำเพียงเดินอ้อมเข้าไปภายในห้องนอนของซูจิ่นซี
ท่านอนของซูจิ่นซีเป็นสิ่งที่ไม่กล้าเอ่ยปากชมเชยจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สภาพที่เหน็ดเหนื่อยอย่างแสนสาหัส
โชคดีที่ตอนนี้เป็นช่วงฤดูเซินชิว [2] เวลาที่ซูจิ่นซีนอนจึงไม่ทำเหมือนกับในช่วงฤดูร้อนที่ถอดเสื้อผ้าออกจนเกือบหมด หากเป็นเช่นนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างจิ่วหรง คงต้องอล่างฉ่างเป็นแน่แท้
จิ่วหรงยืนอยู่หน้าประตู เขามองดูซูจิ่นซีครู่ใหญ่ จากนั้นก็เดินเข้าไปข้างเตียงของซูจิ่นซี ห่มผ้าให้กับนาง มุมปากเผยรอยยิ้มรักและเอ็นดู
“เด็กโง่”
“ท่านอ๋อง… ท่านอ๋อง… ท่านอ๋องรอข้าด้วยเจ้าค่ะ… ท่านอ๋อง… ”
ภายในภาพฝันของซูจิ่นซี ไม่ทราบว่านางกำลังฝันเห็นสิ่งใดจึงร้องเรียกเยี่ยโยวเหยาไม่ขาดเสียง
รอยยิ้มที่มุมปากของจิ่วหรงพลันหายไป เขานั่งอยู่ข้างเตียงของซูจิ่นซีด้วยสีหน้าครุ่นคิดลึกซึ้ง
หลังจากนั้นชั่วครู่ ซูจิ่นซีก็ขมวดคิ้วราวกับใกล้จะตื่นนอน
ใบหน้าของจิ่วหรงสงบนิ่ง เขายกมือขึ้น สิ่งที่ไร้สสารวัตถุสีขาวนวลพลันกระจายในอากาศ ซูจิ่นซีกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง นางเม้มริมฝีปากและนอนหลับอย่างสงบ
“เด็กโง่! ”
จิ่วหรงเรียกซูจิ่นซีอย่างแผ่วเบาอีกครั้งหนึ่ง เขาใช้มือแตะไปที่แก้มของซูจิ่นซีอย่างอ่อนโยน
ใบหน้าของเขาปรากฏอารมณ์ลึกซึ้งอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ค่ำคืนนี้ ลวี่หลีที่คอยเฝ้าอยู่ด้านนอกนอนหลับสนิท ไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวใดๆ ภายในเรือนฮั่นเซียง และไม่มีใครเข้ามารบกวน
จิ่วหรงนั่งอยู่ภายในห้องของซูจิ่นซี เขาอยู่เป็นเพื่อนซูจิ่นซีทั้งคืน และนั่งมองใบหน้าซูจิ่นซีทั้งคืนเช่นกัน จนฟ้าสางจึงค่อยจากไป
เขามาอย่างไร้ร่องรอย จากไปอย่างไร้ร่องรอย
ราวกับเทพเซียนจริงๆ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
ลวี่หลีตื่นขึ้นหลังจิ่วหรงจากไปได้ไม่นานนัก ทว่าซูจิ่นซีกลับนอนหลับไปสามวันสามคืนเพราะสิ่งไร้สสารวัตถุสีขาวนวลที่จิ่วหรงโปรยกระจายอยู่ในอากาศ
เช้าตรู่ของวันที่สาม ซูจิ่นซีค่อยๆ ลืมตาขึ้น พลันได้ยินเสียงร่ำไห้ของลวี่หลี
“ฟื้นแล้ว พระชายาฟื้นแล้ว” แม่นมฮวาส่งเสียงออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ลวี่หลี เจ้าร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงดัง เอะอะจนข้าตื่น” ซูจิ่นซีพูดออกไปด้วยความไม่สบอารมณ์
“คุณหนู ท่านไม่รู้ ท่านนอนหลับไปสามวันสามคืนเต็มๆ บ่าวตกใจจนเสียขวัญ บ่าวคิดว่าคุณหนูป่วยเป็นโรคอันใด”
“ปากไม่เป็นมงคล”
แม่นมฮวาจิ้มศีรษะลวี่หลีอย่างแรง
“ข้าพูดผิดที่ใด อาการนอนหลับไม่ขยับเขยื้อนของคุณหนูแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ร่างกายคุณหนูต้องมีปัญหาแน่นอน”
“ข้านอนหลับไปสามวันสามคืนเลยหรือ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว รู้สึกแปลกใจ
นางไม่รู้สึกว่าระบบถอนพิษเพิ่มระดับ และนางก็ไม่ได้เข้าไปแดนสวรรค์ในสร้อยข้อมือ!
เหตุใดถึงนอนหลับนานเพียงนี้?
“ใช่เจ้าคะ! คุณหนู ท่านเป็นอันใดไป? แม้แต่หมอหลวงอวิ๋นยังตรวจไม่พบว่าเกิดอันใดขึ้น”
ซูจิ่นซีเพิ่งเห็นว่าภายในห้องยังมีอวิ๋นจิ่นอีกคน
อวิ๋นจิ่นเห็นซูจิ่นซีมองมาทางเขา ใบหน้าพลันปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยน
“พระชายา กระหม่อมได้ตรวจสอบเพื่อยืนยันหลายต่อหลายครั้ง ร่างกายของท่านไม่เป็นอันใด อาจเกิดจากสาเหตุที่หลายวันมานี้ท่านเหน็ดเหนื่อยมากเกินไป ฉะนั้นจึงนอนหลับนานกว่าปกติ”
“เป็นไปไม่ได้? หากเกิดจากสาเหตุเหนื่อยมากเกินไปจึงนอนหลับนานกว่าปกติจริง แล้วเหตุใดข้าน้อยเรียกตั้งนาน คุณหนูก็ไม่ตื่นขึ้นมา? เห็นได้ชัดว่าคุณหนูหมดสติไป! ”
ลวี่หลียังคงยืนกรานกระต่ายขาเดียว
“เรื่องนี้… ”
อวิ๋นจิ่นมีท่าทีเหมือนไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นจริงๆ ใบหน้าเผยให้เห็นถึงความสับสน
“อุบ! ” ซูจิ่นซียิ้ม นางใช้นิ้วจิ้มไปที่หน้าผากของลวี่หลีและพูดว่า “ดูท่าแล้ว ต่อไปนี้หากข้าเจ็บป่วยอันใดคงไม่ต้องไปตามหมอหลวงอวิ๋นแล้วล่ะ ตามหาเจ้าก็พอ”
“คุณหนู ในที่สุดท่านก็ยิ้มได้” ลวี่หลีทำท่าทีเหมือนกับเห็นเรื่องที่ประหลาดใจที่สุด
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“คุณหนู ท่านไม่รู้ ช่วงเวลาที่ท่านอ๋องไม่อยู่ ลวี่หลีรู้สึกว่าคุณหนูจัดการเรื่องราวตั้งมากมายเพียงลำพัง ไม่เหมือนเป็นตัวคุณหนูเองเลยเจ้าค่ะ” ลวี่หลีพูดแกมบ่น ดูเหมือนจะเลียบเคียงตำหนิเยี่ยโยวเหยา
“ไม่เหมือนเป็นตัวข้าเอง แล้วเหมือนอันใด? ”
ลวี่หลีลังเลอยู่เล็กน้อย ทว่ายังคงพูดออกมาจากใจของนางว่า “คุณหนู หลายวันที่ผ่านมาท่านดุดันมากจนบางครั้งลวี่หลีเองยังรู้สึกหวาดกลัว”
ซูจิ่นซี ‘อมยิ้ม’ จนหัวเราะออกมา
“ข้าไม่ใช่แม่เสือที่คิดจะกินเจ้า เจ้ากลัวอันใด”
ขณะที่กำลังพูด ด้านนอกก็มีเสียงพ่อบ้านสอบถามคนรับใช้ว่าซูจิ่นซีฟื้นแล้วหรือยัง
เหมือนกับว่าแม่นมฮวาจะคิดบางอย่างขึ้นมาได้ นางเคาะไปที่ศีรษะตนเองและพูดว่า “ไอ๊หยา บ่าวลืมไปเสียสนิท ทูลพระชายา ไท่จื่อกับแม่ทัพฮั่วมาขอพบท่านเพคะ พวกเขามารอพบท่านตั้งแต่เมื่อวานแล้วเพคะ!”
เยี่ยเซินกับฮั่วซืออวี่หรือ?
พวกเขามาทำอันใด?
……
เชิงอรรถ
[1] วัวสันหลังหวะ ‘จั้วเจ๋ยซินสวี’ หมายถึง คนที่ทำผิดแล้วคอยระแวงกลัวผู้อื่นจะรู้
[2] ฤดูเซินชิว กลางเดือนตุลาคมถึงปลายเดือนพฤศจิกายนจะเรียกว่าปลายฤดูใบไม้ร่วง มีใบไม้ร่วงและอุณหภูมิเฉลี่ยลดลงเหลือประมาณ 10 องศา