สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 197 กล้าขัดพระทัยพระชายาของพวกเรา รนหาที่ตาย

        “เรื่องอันใด? ”

         พอได้ยินว่าเยี่ยเซินมาหา สีหน้าของซูจิ่นซีก็ขึงขังขึ้นมาทันที

         “บอกว่าเกิดเรื่องภายในค่ายทหาร พวกเขายังได้นำศพอีกสองศพมาวางอยู่ที่ห้องโถงใหญ่เจ้าค่ะ! ”

         ค่ายทหาร?

         เป็นเพราะค่ายทหาร จึงทำให้เยี่ยโยวเหยาถูกฮ่องเต้กักตัวไว้ในวังหลวง

         “ลวี่หลี เปลี่ยนเสื้อผ้า ข้าจะออกไปดู”

         ซูจิ่นซีลงจากเตียง หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วจึงเดินออกไป

         เยี่ยเซินและฮั่วซืออวี่รออยู่ที่โถงใหญ่ เมื่อเห็นซูจิ่นซีเดินมาแต่ไกล สีหน้าของทั้งสองคนก็แสดงอาการครุ่นคิดเล็กน้อย

         ซูจิ่นซีเดินมาอยู่ตรงหน้าแล้ว พวกเขายังคงครุ่นคิดใจลอยไม่ได้สติ

         “อืม อืม! ”

         แม่นมฮวาจงใจส่งเสียงขึ้นสองครั้ง พวกเขาจึงได้สติกลับมา

         “พระชายา! ”

         ฮั่วซืออวี่คำนับซูจิ่นซีอย่างนอบน้อม

         “จิ่นซี! ”

         ครั้งนี้เมื่อเยี่ยเซินอยู่ต่อหน้าซูจิ่นซี เขามีท่าทีแปลกไปอย่างชัดเจน

         “ไม่ต้องมากพิธี! ”

         ซูจิ่นซีพูดกับฮั่วซืออวี่ จากนั้นนางก็เดินไปนั่งบนที่นั่งชั้นบนด้วยท่าทีสง่างาม

         เยี่ยเซินเป็นองค์รัชทายาท สามารถนั่งในระดับเดียวกับซูจิ่นซีได้ ส่วนฮั่วซืออวี่เป็นขุนนาง ทำได้เพียงยืนอยู่ด้านข้าง

         “มีเรื่องอันใด? ” ซูจิ่นซีจงใจถามขึ้น

         เยี่ยเซินไม่ได้ตอบตรงๆ  ทว่าเขามองไปที่ฮั่วซืออวี่

         ฮั่วซืออวี่พูดด้วยความนอบน้อม “ทูลพระชายา หลายวันมานี้ในค่ายทหารเกิดปัญหา มีคนทยอยตายด้วยโรคประหลาด ทว่าบนร่างของผู้ตายไม่พบบาดแผล ก่อนเสียชีวิตก็ไม่มีอาการป่วยใดๆ เหล่าแพทย์ทหารตรวจสอบอย่างไรก็ไม่พบสาเหตุ ดังนั้นพวกเราจึงสงสัยว่าคงถูกพิษ ขอพระชายาโปรดช่วยตรวจสอบ”

         “มีสิทธิอันใด? ”

         มีสิทธิอันใดมาพูดให้นางช่วยเหลือและนางต้องช่วยในทันที  ซูจิ่นซีถามอย่างตรงไปตรงมา

         เยี่ยเซินขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ จิ่นซี ทหารตระกูลเว่ยของเสด็จลุงโยวอ๋องเป็นผู้พบเห็นสถานการณ์นี้เป็นคนแรก และทหารตระกูลเว่ยของเสด็จลุงโยวอ๋องเอง ก็มีจำนวนผู้เสียชีวิตมากที่สุด”

         “เพียงเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ค่ายทหารหลายแห่งที่อยู่บริเวณรอบๆ ค่ายทหารตระกูลเว่ยล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ และยังระบาดไปถึงค่ายทหารพยัคฆ์บินของพระราชวังอีกด้วย” ฮั่วซืออวี่พูดอธิบาย

         ค่ายทหารที่ได้รับผลกระทบร้ายแรงที่สุดก็คือค่ายทหารตระกูลเว่ยของเยี่ยโยวเหยา แน่นอนว่าซูจิ่นซีไม่สามารถเพิกเฉยได้ ทว่านางไม่สามารถแสดงออกอย่างชัดเจนเกินไป ยิ่งไม่สามารถแสดงพิรุธต่อหน้าเยี่ยเซิน

         “ในเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ฮ่องเต้ควบคุมตัวท่านอ๋องกับแม่ทัพเว่ย ฮ่องเต้ก็ควรรับผิดชอบให้ถึงที่สุดมิใช่หรือ? มีสิทธิอันใดให้ข้าไปตรวจสอบ? ”

         ซูจิ่นซีผลักความรับผิดชอบไปให้ฮ่องเต้โดยตรง

         ในโลกนี้ ผู้ที่กล้าปัดความรับผิดชอบให้ฮ่องเต้เช่นนี้มีเพียงซูจิ่นซีคนเดียว ทั้งนางยังพูดต่อหน้าไท่จื่ออีกด้วย

         สีหน้าของฮั่วซืออวี่แสดงความรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย

         เยี่ยเซินดูเหมือนเคยชินกับอารมณ์ที่แปรปรวนเช่นนี้ของซูจิ่นซี “จิ่นซี เสด็จพ่อได้มอบหมายเรื่องนี้ให้ข้ากับซืออวี่รับผิดชอบแล้ว สำนักหมอหลวงได้ส่งหมอหลวงมาช่วยอีกหลายท่าน ทว่าก็ไร้ประโยชน์ เมื่อครู่หมอหลวงอวิ๋นก็มาดูศพทั้งสองแล้ว แต่ไม่มีอันใดคืบหน้า ตอนนี้ทักษะการถอนพิษของเจ้าดีที่สุด ฉะนั้น… ”

         ดังนั้น ความหวังขึ้นอยู่กับซูจิ่นซี?

         ซูจิ่นซีเกิดความคิดดีๆ ขึ้นภายในใจ ทันใดนั้นนางก็คิดว่านี่อาจเป็นโอกาสที่ดีที่สามารถช่วยเยี่ยโยวเหยาได้

         ซูจิ่นซีมองเยี่ยเซินด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นนางก็เดินไปยืนข้างๆ ศพทั้งสอง

         แท้จริงแล้ว ตอนที่ซูจิ่นซีเพิ่งเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ นางก็เริ่มใช้ระบบถอนพิษตรวจสอบสภาพศพทั้งสองหนึ่งรอบ อีกทั้งในเวลานี้ระบบถอนพิษก็ได้วิเคราะห์ข้อมูลออกมาเรียบร้อยแล้ว

         สิ่งที่เยี่ยเซินตั้งข้อสงสัยนั้นถูกต้อง พวกเขาถูกพิษจริงๆ ทั้งยังเป็นพิษเผ่าเหมียว

         ซูจิ่นซีชันสูตรศพ นางเพียงทำแบบพอเป็นพิธีเท่านั้น

         ฮั่วซืออวี่รีบตรงไปช่วยซูจิ่นซี เขาเปิดผ้าคลุมศพสีขาวออก และคอยเป็นผู้ช่วยให้กับซูจิ่นซี

         ท่าทางของซูจิ่นซีนั้นจริงจังมาก นางตรวจสอบอย่างละเอียด

         ผ่านไปครู่ใหญ่ ซูจิ่นซีก็เดินกลับไปนั่งบนที่นั่งด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

          “จิ่นซี เป็นเช่นไรบ้าง? สามารถตรวจสอบได้หรือไม่ว่าเกิดอันใดขึ้น? ”

         ซูจิ่นซีดื่มน้ำชาด้วยท่าทีเรียบเฉย พลางพูดว่า “ถูกวางยาพิษจริงๆ ”

         “มีวิธีถอนพิษหรือไม่? ”

         อย่างไรก็ตาม พิษชนิดนี้จะไม่กำเริบและทำให้ถึงตายทันทีหลังจากถูกพิษ พิษนี้ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง หากมีวิธีถอนพิษก็จะสามารถช่วยคนได้มากขึ้น นอกจากนั้นที่มาของการถูกพิษยังต้องตรวจสอบ

         ซูจิ่นซีตั้งปริศนาไว้อีกชั้นหนึ่ง ในเมื่อบีบไปที่จุดตายของเยี่ยเซินกับฮ่องเต้แล้ว นางจึงบอกเงื่อนไขไปตามตรง “พิษนั้นถอนได้ และข้ายังสามารถหาสาเหตุของการถูกพิษได้ ทว่าจะให้ข้าถอนพิษ พวกเจ้าจำเป็นต้องรับปากเงื่อนไขของข้าข้อหนึ่งก่อน”

         เมื่อพูดถึงเงื่อนไข ใบหน้าที่มีความหวังของเยี่ยเซินพลันหายไปในทันที

         “จิ่นซี เจ้าก็รู้ดี การตัดสินพระทัยของเสด็จพ่อไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้ หากทำให้เสด็จพ่อกริ้ว… ”

         เยี่ยเซินยังไม่ทันพูดจบ ซูจิ่นซีก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป “ข้าเพียงต้องการให้ท่านอ๋องของพวกเรากลับมา อีกทั้งตัวยาที่ใช้ถอนพิษก็มีเพียงท่านอ๋องของพวกเราเท่านั้นที่มีความสามารถหามาได้”

         “ต้องใช้ตัวยาอันใด ข้ากับซืออวี่สามารถช่วยเจ้าหาได้” เยี่ยเซินรีบลุกขึ้นเช่นกัน

         “เจ้าหรือ? ” ซูจิ่นซีหันกลับไปมองเยี่ยเซิน ดวงตาเต็มไปด้วยความรังเกียจ

         เยี่ยเซินสามารถหาเจอหรือไม่นั้นก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง แม้เขาสามารถหาได้ ทว่าครั้งนี้ซูจิ่นซีก็ไม่ยอมพลาดโอกาสที่ดีในการช่วยชีวิตเยี่ยโยวเหยา

         “พวกเจ้าหาวิธีกันเองเถิด! เว่ยเจิน แม่ทัพใหญ่ค่ายทหารตระกูลเว่ยไม่ฟังคำสั่งฝ่าบาท เคลื่อนทัพโดยพลการเท่ากับเป็นกบฏ  ภายในกองทัพก็มีทหารหน่วยเก่าของเว่ยเจินอยู่ไม่น้อย ยังดีที่ได้ฉวยโอกาสนี้ตายไปหลายคน ลดภาระท่านอ๋องในการปรับกองทัพในอนาคต ส่วนกองทัพอื่น… ” ซูจิ่นซีพูด “ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับท่านอ๋องของพวกเราไม่ใช่หรือ? ”

         ซูจิ่นซีพูดจบ ไม่รอให้เยี่ยเซินกับฮั่วซืออวี่พูดตอบอันใดและไม่ให้โอกาสพวกเขาต่อรองอันใด นางก็เดินออกไปจากห้องโถงใหญ่ทันที

         เยี่ยเซินยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ด้วยความตกตะลึงชั่วครู่

         ใบหน้าของฮั่วซืออวี่นั้นตกตะลึงมากกว่าเยี่ยเซินเสียอีก

         พวกเขาคิดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะพูดคำพูดที่เด็ดขาดและอุกอาจเช่นนี้ออกมาจริงๆ หากคำพูดเหล่านี้รู้ไปถึงพระเนตรพระกรรณของฮ่องเต้ นางต้องถูกตัดศีรษะแน่นอน

         ทว่าพวกเขาทั้งสองไม่นำคำพูดนี้ไปทูลกับฮ่องเต้เป็นแน่ พวกเขาทำได้เพียงเก็บไว้ในใจของแต่ละคนเท่านั้น ทำเหมือนวันนี้ไม่ได้ยินอันใดทั้งสิ้น

         “ไท่จื่อ นี่ควรทำอย่างไรดี? ” ฮั่วซืออวี่กล่าว

         “กลับวัง! เดิมทีจิ่นซีมีอุปนิสัยดื้อรั้นอยู่แล้ว หากไม่ตอบรับเงื่อนไขของนาง เรื่องนี้ก็ไม่มีทางพูดคุยกับนางได้” พูดจบ เยี่ยเซินก็สั่งให้คนยกศพทั้งสองออกไป

         ฮั่วซืออวี่ยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ เขามองตามหลังเยี่ยเซินชั่วครู่ แล้วจึงค่อยเดินตามออกไป

         หรือว่าเขาจะมองผิด?

         เมื่อก่อนเยี่ยเซินชื่นชอบคุณหนูฮั่วอวี้เจียวน้องสาวของตน และเกลียดชังซูจิ่นซีมากมิใช่หรือ? เหตุใดวันนี้จึงเปลี่ยนเป็นคนละคนไปได้?

         อีกทั้งในระหว่างการสนทนา เยี่ยเซินทำราวกับเข้าใจซูจิ่นซีมาก สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่คนที่เกลียดชังกันจะทำได้

         ฮั่วซืออวี่เดินออกไปด้วยสีหน้าครุ่นคิดโดยมีพ่อบ้านเดินไปส่ง ขณะที่กำลังจะเดินออกจากประตูใหญ่ของจวนโยวอ๋องนั้น เขาก็หันหลังกลับและมองไปทางเรือนอวิ๋นไคด้วยความอาลัยอาวรณ์ ทว่าน่าเสียดาย หลังคาสูงอิฐเก่า ใต้ชายคาเรือนนั้น เขาไม่สามารถมองเห็นคนที่ตนต้องการพบอีกแล้ว

         ความจริงแล้ว ตั้งแต่ที่ซูจิ่นซีเดินออกจากห้องโถงใหญ่ นางไม่ได้จากไปในทันที ทว่ายืนอยู่ไม่ไกลจากห้องโถงใหญ่เท่าใดนักและเปิดอาคมกำไลปี่อั้น

         ซูจิ่นซีได้ยินคำพูดของเยี่ยเซินกับฮั่วซืออวี่ทั้งสองคนอย่างชัดเจนทุกประโยค

        เมื่อพวกเขาจากไปแล้ว ซูจิ่นซีจึงหันหลังกลับเรือนชิงโยว

         แม่นมฮวาและลวี่หลีอยู่ด้านหลังซูจิ่นซี

         เมื่อครู่ ขณะที่ฮั่วซืออวี่เดินจากไปและเหลียวมองไปที่เรือนชิงโยวนั้น แม่นมฮวามองเห็นอย่างชัดเจน เวลานี้สีหน้าของนางจึงดูไม่ดีเป็นอย่างมาก

         แม่นมฮวาจงใจเดินช้าๆ นางไม่ได้เดินกลับไปที่เรือนชิงโยวพร้อมกับซูจิ่นซีและลวี่หลี ทว่าเดินกลับไปยังประตูตำหนักโยวอ๋อง

         แม่นมฮวากำชับบ่าวรับใช้ในเรือนและองครักษ์หน้าประตูว่า “ต่อไปหากแม่ทัพฮั่วผู้นั้นมาอีก ไม่ต้องไปทูลต่อพระชายา และไม่ต้องไปบอกพ่อบ้าน บอกเขาไปตรงๆ ว่าพระชายาไม่ต้องการพบ”

         “ขอรับ! ”

         ทุกคนส่งเสียงตอบรับพร้อมกัน

         ฮึ!

         กล้าขัดพระทัยพระชายาของพวกเรา ช่างกล้านัก

         ไปกินดีหมีหัวใจเสือมาหรือไร?

         ทว่าแม่นมฮวา ท่านแน่ใจหรือที่ตัดสินใจแทนพระชายาโดยพลการ มันจะดีหรือ?

         ท่านลืมความเจ็บปวดจากแผลเก่าที่หายดีนั้นแล้วหรือ ท่านคงลืมไปแล้วว่าพระชายาได้คาดโทษท่านไว้อย่างไร

         ใช่หรือไม่?

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset