โชคยังดีที่เยี่ยโยวเหยาตอบสนองอย่างว่องไว เขารีบเข้าไปคว้าเอวซูจิ่นซีไว้ได้ทัน
ดวงตาดำขลับลุ่มลึก สันจมูกโด่ง ราวกับเทพเจ้าเป็นผู้สร้างสรรค์ งดงามยิ่งนัก ใบหน้าที่เย้ายวนมีเสน่ห์ แม้ซูจิ่นซีจะสบตากับเขานับพันครั้งหรือนับหมื่นครั้ง นางก็ยังคงมองเขาด้วยสายตาเคลิบเคลิ้ม
“ซูจิ่นซี เจ้าเดินไม่เคยดูทางเลยหรือ? ” บนใบหน้าเย็นชาหล่อเหลานั้น เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย
ซูจิ่นซีลุกขึ้นจากอ้อมแขนของเยี่ยโยวเหยา นางซ่อนใบหน้าเขินอาย พลางคลุมเสื้อให้เยี่ยโยวเหยา
“ท่านอ๋อง จิ่นซีมารับท่านกลับบ้าน”
เยี่ยโยวเหยาชะงักชั่วครู่
“ซูจิ่นซี เจ้าพูดอันใด? ”
ซูจิ่นซีคิดว่าเยี่ยโยวเหยาฟังได้ไม่ชัดนัก จึงพูดอีกครั้ง “จิ่นซีมารับท่านกลับบ้าน”
พูดจบ เยี่ยโยวเหยาก็รัดสายเสื้อคลุมเสร็จพอดี นางจูงมือเยี่ยโยวเหยาเดินไปทางรถม้า
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูจิ่นซีกล้าเป็นคนจูงมือเยี่ยโยวเหยาก่อน แววตาเยี่ยโยวเหยาแสดงถึงความประหลาดใจ เขามองดูมือทั้งสองที่จับจูงไปด้วยกัน
“ไอ๊หยา! ” แม่นมฮวาอดไม่ได้ที่จะหันหน้าหนี “พระชายา สมควรให้ท่านอ๋องเป็นผู้จูงมือท่านก่อนนะเจ้าคะ! สตรีไม่ควรจูงมือบุรุษก่อนโดยไม่มีท่าทีเขินอาย ท่านตื่นเต้นจนเกินงามหรือไม่เจ้าคะ? ”
ทว่าน่าเสียดาย คำพูดของแม่นมฮวา นางไม่สามารถพูดเสียงดังได้ ทำได้เพียงบ่นพึมพำกับตนเองเบาๆ
ฉะนั้น ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาจึงไม่มีทางได้ยินอันใดเลย
ทว่า…
ขณะที่ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยากำลังจะขึ้นรถม้า เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
ซูจิ่นซีก้าวขึ้นเหยียบบนชานพักรถม้าแล้ว ทว่าคงเป็นเพราะบนพื้นใต้เท้าเต็มไปด้วยหิมะจึงลื่นไถล นางไถลหกล้มจากชานพักรถม้าและกำลังจะตกลงบนพื้น
ความสูงของชานพักรถม้าสูงมากกว่าหนึ่งเมตร อีกทั้งช่วงนี้เป็นกลางฤดูหนาว พื้นทั้งเย็นและแข็ง หากซูจิ่นซีตกลงไปเช่นนี้ แม้กระดูกไม่แตก ทว่าคงเจ็บไม่น้อย
ซูจิ่นซีตกใจมาก แม้แต่แม่นมฮวาและคนอื่นที่ยืนด้านข้างก็ตกใจจนยืนอึ้งกันทุกคน
ทว่า… ท่านอ๋องผู้เย็นชาและหล่อเหลาของพวกเราไม่มีทางปล่อยให้พระชายาหกล้มลงไปอย่างแน่นอน!
เยี่ยโยวเหยาคว้าตัวนางได้อีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้ยังเป็นอ้อมกอดตามมาตรฐานขององค์ชาย
“ท่าน… ท่านอ๋อง! ”
ซูจิ่นซีตกใจกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ นางจับเสื้อที่หน้าอกของเยี่ยโยวเหยาไว้แน่น
เยี่ยโยวเหยามองหน้าคนที่อยู่ในอ้อมกอด พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ซูจิ่นซี เจ้าตั้งใจลื่นไถลหกล้มเพื่อให้ข้าประคองหรือ? เหตุใดถึงชอบลื่นหกล้ม? เจ้ากำลังคิดสิ่งใด? ”
“อา… ”
ซูจิ่นซีแสดงสีหน้างุนงง
ปรักปรำกันชัดๆ!
มีใครตั้งใจแกล้งหกล้มเพื่อทำเรื่องโง่ๆ เช่นนี้
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าซูจิ่นซีแสดงสีหน้างงงวย ไม่เข้าใจความหมายประโยคหลังของเยี่ยโยวเหยา
“ในเมื่อพระชายาที่รักต้อนรับกันอย่างอบอุ่นเช่นนี้ ข้าจะใจจืดใจดำปฏิเสธน้ำใจอันเร่าร้อนของพระชายาที่รักได้อย่างไร”
เยี่ยโยวเหยาพูดจบก็คลายมือที่โอบซูจิ่นซีไว้ ปล่อยให้นางยืนตัวตรง จากนั้น… เยี่ยโยวเหยาก็ใช้สองมือประคองศีรษะซูจิ่นซีและจุมพิตนางอย่างดูดดื่ม
โอ้ อุจาดตา!!!
แม่นมฮวา สารถี และพ่อบ้านต่างไม่กล้าชายตามอง พวกเขารีบหันหน้าไปทางอื่น
มีเพียงลวี่หลีที่ตกใจยิ่งกว่าซูจิ่นซี ทั้งยังแสดงสีหน้าเซ่อซ่ามากกว่าซูจิ่นซีเสียอีก นางยืนอึ้งไม่ขยับเขยื้อน อารมณ์บนใบหน้าเคลิบเคลิ้มสุดจะพรรณนา
“ไอ๊หยา ไม่รู้จักอาย! ”
แม่นมฮวาตบไปที่ศีรษะของลวี่หลีหนึ่งเพียะ และรีบจับใบหน้าลวี่หลีให้หันไปทางอื่น
ใบหน้าลวี่หลีแดงก่ำ เขินอายจนพูดไม่เป็นภาษา “แม่… แม่นมฮวา ท่าน… ท่านอ๋องกำลังทำอันใด? ”
แม่นมฮวายอมแพ้ให้กับเด็กเซ่อคนนี้จริงๆ !
ทว่าภายในใจยังคงอ่อนโยน ใบหน้าแอบดีใจเล็กน้อย “เจ้าไม่เคยกินเนื้อหมูและไม่เคยเห็นหมูวิ่ง [1] หรือ? เจ้าไม่รู้จริงหรือว่าท่านอ๋องกำลังทำอันใด? ”
พูดจบ แม่นมฮวาก็เม้มปากแสดงท่าทีดีใจ
“ทว่า… ทว่าที่นี่หน้าประตูพระราชวังนะเจ้าคะ! ผู้คนมากมาย! ”
ใบหน้าลวี่หลีแดงก่ำร้อนฉ่าจนสามารถอุ่นปลาได้แล้ว
แม่นมฮวาคอยแต่แสดงความดีใจอยู่อย่างนั้น และไม่ใส่ใจลวี่หลีอีกเลย
ลวี่หลีพูดไม่ผิดเพี้ยน ในเวลานี้มีคนมากมายจริงๆ !
มีทั้งองครักษ์หน้าพระราชวัง ผู้คนเดินผ่านไปมา เยี่ยเซินที่ยืนอยู่บนกำแพงพระราชวัง ฮั่วซืออวี่ที่มาเมื่อใดไม่รู้ เขายืนปะปนอยู่ในกลุ่มคน และยังมีคุณหนูฮั่วอวี้เจียวที่นั่งอยู่บนรถม้าห่างออกไป
ผ่านไปครู่ใหญ่เยี่ยโยวเหยาถึงปล่อยซูจิ่นซี
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหนาวเย็นหรือว่าเขินอาย ใบหน้าซูจิ่นซีจึงแดงมาก แดงยิ่งนัก
ซูจิ่นซีกวาดสายตามองดูผู้คนโดยรอบทั้งสี่ด้าน นางรีบก้มหน้าลง ทว่าทันใดนั้นก็รีบเชิดหน้าขึ้น นางมีเหตุผลเพียงพอที่สามารถพูดกับเยี่ยโยวเหยาได้อย่างเต็มที่
“เยี่ยโยวเหยา ท่านมันป่าเถื่อน! ”
“…”
“เยี่ยโยวเหยา ท่านมันคนไร้ยางอาย! ”
“…”
“เยี่ยโยวเหยา ท่านบ้าไปแล้ว! คนอื่นกำลังมองอยู่นะเพคะ! ”
เยี่ยโยวเหยารีบขึ้นไปบนรถม้าก่อน เขายืนบนชานพักรถม้าและยื่นมือให้กับซูจิ่นซี
“มานี่ พวกเรากลับจวนกัน! ”
กลับจวน?
ในใจซูจิ่นซีครุ่นคิดอย่างว่องไว มุมปากเผยรอยยิ้มที่ดูฉลาดหลักแหลม และยื่นมือให้กับเยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยาดึงซูจิ่นซีขึ้นบนรถม้า สารถีขับรถม้าออกไป แม่นมฮวา พ่อบ้าน และลวี่หลีทั้งสามคนจึงรีบตามไปขึ้นรถม้าอีกคัน
ขณะที่รถม้าวิ่งออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ และกำลังจะหายไปท่ามกลางพายุหิมะ บริเวณด้านหลังเชิงกำแพงอีกด้านของพระราชวังก็ค่อยๆ ปรากฏร่างของอวิ๋นจิ่น
อวิ๋นจิ่นยังคงสวมชุดสีขาวหิมะ เขาทำเพียงมองดูรถม้าที่ซูจิ่นซีนั่ง บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มที่หลอมละลายเข้ากับหิมะที่โปรยปราย
ภายในรถม้า จู่ๆ ซูจิ่นซีก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย นางนิ่งเงียบไม่พูดจาสักคำ
“ซูจิ่นซี ความสามารถของเจ้าไม่น้อยเลยจริงๆ ใช้เวลาไม่กี่วันก็สามารถยึดครองจวนสกุลซูมาได้ สมแล้วที่เป็นสตรีของเยี่ยโยวเหยา” จู่ๆ เยี่ยโยวเหยาก็พูดขึ้น
คำพูดในประโยคนี้มีมากนัก ซูจิ่นซีไม่ทันจับใจความได้ละเอียดถี่ถ้วน ทำได้เพียงเลือกประเด็นสำคัญ
“หลายวันมานี้ ภายในค่ายทหารเกิดเรื่องวุ่นวาย แม้ฝ่าบาทจะทรงยกเลิกการห้ามเข้าออกพระราชวัง ทว่าทหารยามที่รักษาการตำหนักเจิ้นหนานไม่หละหลวมเลย หนำซ้ำยังเข้มงวดยิ่งกว่าเดิมมาก ท่านอ๋องล่วงรู้ข่าวคราวพวกนี้ได้อย่างไรเพคะ? ”
“เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ จะยากอันใดสำหรับข้า”
ซูจิ่นซี ยิ่งไม่เข้าใจ
ในเมื่อเยี่ยโยวเหยาพูดจาให้นางไม่เข้าใจ คงเป็นเพราะเขาไม่ต้องการให้นางรู้ไปมากกว่านี้ ดังนั้นนางจึงเม้มปาก ไม่ซักไซ้ให้มากความ
เพียงครู่เดียว รถม้าก็วิ่งมาถึงหน้าประตูจวนโยวอ๋อง
ฉินเทียน จิ้นหนานเฟิงและคนของวิการวิญญาณก็มาด้วยเช่นกัน พวกเขายืนรออยู่หน้าประตู
“ข้าน้อยคำนับท่านอ๋อง! ”
ทุกคนต่างคำนับเยี่ยโยวเหยา มีเพียงฉินเทียนคนเดียวที่มือถือพัดโบกไปมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “โยวเหยา ไม่คิดว่าจะได้กลับมารวดเร็วถึงเพียงนี้ แผนการของพี่น้องเรายังไม่ทันได้เริ่มเลย! ”
“ครั้งนี้เป็นความดีความชอบของจิ่นซี”
เมื่อเยี่ยโยวเหยากล่าวเช่นนี้ ฉินเทียนพลันแสดงสีหน้าไม่ยินดีอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าเยี่ยโยวเหยาไม่มีเวลาสนใจฉินเทียน เขาจูงมือซูจิ่นซีเดินเข้าไปด้านใน
“ส่งข่าวบอกหลานเสวียนหมิง ยกเลิกแผน ไม่ต้องเข้าเมือง”
“ขอรับ! ”
เสียงของจิ้นหนานเฟิงดังตามมาด้านหลัง
แม้เยี่ยโยวเหยาหรือฉินเทียนไม่ได้พูดอันใดออกมาให้ชัดเจน ทว่าซูจิ่นซีสามารถคาดเดาได้ในใจตามคำพูดของพวกเขา พวกเขาคิดเตรียมการช่วยเหลือเยี่ยโยวเหยาไว้แล้ว
แม้นางไม่ได้ช่วยเหลือเยี่ยโยวเหยา เขาก็สามารถช่วยเหลือตนเองได้
ในเวลานี้ ภายในใจของซูจิ่นซีรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก
แม้จะสูญเสียบางอย่าง ทว่าความเลื่อมใสศรัทธาต่อเยี่ยโยวเหยานั้นกลับมีมากขึ้น
บุรุษผู้นี้มากความสามารถ รูปร่างสูงใหญ่ บนโลกนี้ยังจะมีเรื่องที่ล้มเขาได้อีกหรือ?
ความจริงแล้ว ซูจิ่นซีเพิ่งได้รู้ในภายหลัง เรื่องที่สามารถล้มบุรุษอย่างโยวอ๋องได้ก็คือ…
……
เชิงอรรถ
[1] ไม่เคยกินเนื้อหมู ไม่เคยเห็นหมูวิ่ง เป็นสุภาษิตจีน มักใช้เปรียบเทียบคนที่ไม่เคยประสบกับสิ่งต่างๆ เป็นการส่วนตัว แต่เคยได้ยินมาบ้าง เคยเห็นบ้าง แล้วมีความเข้าใจน้อย