สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 199 เยี่ยโยวเหยา เจ้าคนป่าเถื่อน

        โชคยังดีที่เยี่ยโยวเหยาตอบสนองอย่างว่องไว เขารีบเข้าไปคว้าเอวซูจิ่นซีไว้ได้ทัน

        ดวงตาดำขลับลุ่มลึก สันจมูกโด่ง ราวกับเทพเจ้าเป็นผู้สร้างสรรค์ งดงามยิ่งนัก ใบหน้าที่เย้ายวนมีเสน่ห์ แม้ซูจิ่นซีจะสบตากับเขานับพันครั้งหรือนับหมื่นครั้ง นางก็ยังคงมองเขาด้วยสายตาเคลิบเคลิ้ม

        “ซูจิ่นซี เจ้าเดินไม่เคยดูทางเลยหรือ? ” บนใบหน้าเย็นชาหล่อเหลานั้น เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย

        ซูจิ่นซีลุกขึ้นจากอ้อมแขนของเยี่ยโยวเหยา นางซ่อนใบหน้าเขินอาย พลางคลุมเสื้อให้เยี่ยโยวเหยา

        “ท่านอ๋อง จิ่นซีมารับท่านกลับบ้าน”

        เยี่ยโยวเหยาชะงักชั่วครู่

        “ซูจิ่นซี เจ้าพูดอันใด? ”

        ซูจิ่นซีคิดว่าเยี่ยโยวเหยาฟังได้ไม่ชัดนัก จึงพูดอีกครั้ง “จิ่นซีมารับท่านกลับบ้าน”

        พูดจบ เยี่ยโยวเหยาก็รัดสายเสื้อคลุมเสร็จพอดี นางจูงมือเยี่ยโยวเหยาเดินไปทางรถม้า

        นี่เป็นครั้งแรกที่ซูจิ่นซีกล้าเป็นคนจูงมือเยี่ยโยวเหยาก่อน แววตาเยี่ยโยวเหยาแสดงถึงความประหลาดใจ เขามองดูมือทั้งสองที่จับจูงไปด้วยกัน

        “ไอ๊หยา! ” แม่นมฮวาอดไม่ได้ที่จะหันหน้าหนี “พระชายา สมควรให้ท่านอ๋องเป็นผู้จูงมือท่านก่อนนะเจ้าคะ! สตรีไม่ควรจูงมือบุรุษก่อนโดยไม่มีท่าทีเขินอาย ท่านตื่นเต้นจนเกินงามหรือไม่เจ้าคะ? ”

         ทว่าน่าเสียดาย คำพูดของแม่นมฮวา นางไม่สามารถพูดเสียงดังได้ ทำได้เพียงบ่นพึมพำกับตนเองเบาๆ

        ฉะนั้น ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาจึงไม่มีทางได้ยินอันใดเลย

        ทว่า…

        ขณะที่ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยากำลังจะขึ้นรถม้า เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง

        ซูจิ่นซีก้าวขึ้นเหยียบบนชานพักรถม้าแล้ว ทว่าคงเป็นเพราะบนพื้นใต้เท้าเต็มไปด้วยหิมะจึงลื่นไถล นางไถลหกล้มจากชานพักรถม้าและกำลังจะตกลงบนพื้น

        ความสูงของชานพักรถม้าสูงมากกว่าหนึ่งเมตร อีกทั้งช่วงนี้เป็นกลางฤดูหนาว พื้นทั้งเย็นและแข็ง หากซูจิ่นซีตกลงไปเช่นนี้ แม้กระดูกไม่แตก ทว่าคงเจ็บไม่น้อย

        ซูจิ่นซีตกใจมาก แม้แต่แม่นมฮวาและคนอื่นที่ยืนด้านข้างก็ตกใจจนยืนอึ้งกันทุกคน

        ทว่า… ท่านอ๋องผู้เย็นชาและหล่อเหลาของพวกเราไม่มีทางปล่อยให้พระชายาหกล้มลงไปอย่างแน่นอน!

        เยี่ยโยวเหยาคว้าตัวนางได้อีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้ยังเป็นอ้อมกอดตามมาตรฐานขององค์ชาย

        “ท่าน… ท่านอ๋อง! ”

        ซูจิ่นซีตกใจกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ นางจับเสื้อที่หน้าอกของเยี่ยโยวเหยาไว้แน่น

        เยี่ยโยวเหยามองหน้าคนที่อยู่ในอ้อมกอด พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ซูจิ่นซี เจ้าตั้งใจลื่นไถลหกล้มเพื่อให้ข้าประคองหรือ? เหตุใดถึงชอบลื่นหกล้ม? เจ้ากำลังคิดสิ่งใด? ”

        “อา… ”

        ซูจิ่นซีแสดงสีหน้างุนงง

        ปรักปรำกันชัดๆ!

        มีใครตั้งใจแกล้งหกล้มเพื่อทำเรื่องโง่ๆ เช่นนี้

        อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าซูจิ่นซีแสดงสีหน้างงงวย ไม่เข้าใจความหมายประโยคหลังของเยี่ยโยวเหยา

        “ในเมื่อพระชายาที่รักต้อนรับกันอย่างอบอุ่นเช่นนี้ ข้าจะใจจืดใจดำปฏิเสธน้ำใจอันเร่าร้อนของพระชายาที่รักได้อย่างไร”

        เยี่ยโยวเหยาพูดจบก็คลายมือที่โอบซูจิ่นซีไว้ ปล่อยให้นางยืนตัวตรง จากนั้น… เยี่ยโยวเหยาก็ใช้สองมือประคองศีรษะซูจิ่นซีและจุมพิตนางอย่างดูดดื่ม

        โอ้ อุจาดตา!!!

         แม่นมฮวา สารถี และพ่อบ้านต่างไม่กล้าชายตามอง พวกเขารีบหันหน้าไปทางอื่น

        มีเพียงลวี่หลีที่ตกใจยิ่งกว่าซูจิ่นซี ทั้งยังแสดงสีหน้าเซ่อซ่ามากกว่าซูจิ่นซีเสียอีก นางยืนอึ้งไม่ขยับเขยื้อน อารมณ์บนใบหน้าเคลิบเคลิ้มสุดจะพรรณนา

        “ไอ๊หยา ไม่รู้จักอาย! ”

        แม่นมฮวาตบไปที่ศีรษะของลวี่หลีหนึ่งเพียะ และรีบจับใบหน้าลวี่หลีให้หันไปทางอื่น

        ใบหน้าลวี่หลีแดงก่ำ เขินอายจนพูดไม่เป็นภาษา “แม่… แม่นมฮวา ท่าน… ท่านอ๋องกำลังทำอันใด? ”

        แม่นมฮวายอมแพ้ให้กับเด็กเซ่อคนนี้จริงๆ !

        ทว่าภายในใจยังคงอ่อนโยน ใบหน้าแอบดีใจเล็กน้อย “เจ้าไม่เคยกินเนื้อหมูและไม่เคยเห็นหมูวิ่ง [1] หรือ? เจ้าไม่รู้จริงหรือว่าท่านอ๋องกำลังทำอันใด? ”

        พูดจบ แม่นมฮวาก็เม้มปากแสดงท่าทีดีใจ

        “ทว่า… ทว่าที่นี่หน้าประตูพระราชวังนะเจ้าคะ! ผู้คนมากมาย! ”

        ใบหน้าลวี่หลีแดงก่ำร้อนฉ่าจนสามารถอุ่นปลาได้แล้ว

        แม่นมฮวาคอยแต่แสดงความดีใจอยู่อย่างนั้น และไม่ใส่ใจลวี่หลีอีกเลย

        ลวี่หลีพูดไม่ผิดเพี้ยน ในเวลานี้มีคนมากมายจริงๆ !

        มีทั้งองครักษ์หน้าพระราชวัง ผู้คนเดินผ่านไปมา เยี่ยเซินที่ยืนอยู่บนกำแพงพระราชวัง ฮั่วซืออวี่ที่มาเมื่อใดไม่รู้ เขายืนปะปนอยู่ในกลุ่มคน และยังมีคุณหนูฮั่วอวี้เจียวที่นั่งอยู่บนรถม้าห่างออกไป

        ผ่านไปครู่ใหญ่เยี่ยโยวเหยาถึงปล่อยซูจิ่นซี

        ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหนาวเย็นหรือว่าเขินอาย ใบหน้าซูจิ่นซีจึงแดงมาก แดงยิ่งนัก

        ซูจิ่นซีกวาดสายตามองดูผู้คนโดยรอบทั้งสี่ด้าน นางรีบก้มหน้าลง ทว่าทันใดนั้นก็รีบเชิดหน้าขึ้น นางมีเหตุผลเพียงพอที่สามารถพูดกับเยี่ยโยวเหยาได้อย่างเต็มที่

        “เยี่ยโยวเหยา ท่านมันป่าเถื่อน! ”

        “…”

        “เยี่ยโยวเหยา ท่านมันคนไร้ยางอาย! ”

        “…”

        “เยี่ยโยวเหยา ท่านบ้าไปแล้ว! คนอื่นกำลังมองอยู่นะเพคะ! ”

        เยี่ยโยวเหยารีบขึ้นไปบนรถม้าก่อน เขายืนบนชานพักรถม้าและยื่นมือให้กับซูจิ่นซี

        “มานี่ พวกเรากลับจวนกัน! ”

        กลับจวน?

        ในใจซูจิ่นซีครุ่นคิดอย่างว่องไว มุมปากเผยรอยยิ้มที่ดูฉลาดหลักแหลม และยื่นมือให้กับเยี่ยโยวเหยา

        เยี่ยโยวเหยาดึงซูจิ่นซีขึ้นบนรถม้า สารถีขับรถม้าออกไป แม่นมฮวา พ่อบ้าน และลวี่หลีทั้งสามคนจึงรีบตามไปขึ้นรถม้าอีกคัน

        ขณะที่รถม้าวิ่งออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ และกำลังจะหายไปท่ามกลางพายุหิมะ บริเวณด้านหลังเชิงกำแพงอีกด้านของพระราชวังก็ค่อยๆ ปรากฏร่างของอวิ๋นจิ่น

        อวิ๋นจิ่นยังคงสวมชุดสีขาวหิมะ เขาทำเพียงมองดูรถม้าที่ซูจิ่นซีนั่ง บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มที่หลอมละลายเข้ากับหิมะที่โปรยปราย

        ภายในรถม้า จู่ๆ ซูจิ่นซีก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย นางนิ่งเงียบไม่พูดจาสักคำ

        “ซูจิ่นซี ความสามารถของเจ้าไม่น้อยเลยจริงๆ ใช้เวลาไม่กี่วันก็สามารถยึดครองจวนสกุลซูมาได้ สมแล้วที่เป็นสตรีของเยี่ยโยวเหยา” จู่ๆ เยี่ยโยวเหยาก็พูดขึ้น

        คำพูดในประโยคนี้มีมากนัก ซูจิ่นซีไม่ทันจับใจความได้ละเอียดถี่ถ้วน ทำได้เพียงเลือกประเด็นสำคัญ

        “หลายวันมานี้ ภายในค่ายทหารเกิดเรื่องวุ่นวาย แม้ฝ่าบาทจะทรงยกเลิกการห้ามเข้าออกพระราชวัง ทว่าทหารยามที่รักษาการตำหนักเจิ้นหนานไม่หละหลวมเลย หนำซ้ำยังเข้มงวดยิ่งกว่าเดิมมาก ท่านอ๋องล่วงรู้ข่าวคราวพวกนี้ได้อย่างไรเพคะ? ”

        “เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ จะยากอันใดสำหรับข้า”

        ซูจิ่นซี ยิ่งไม่เข้าใจ

        ในเมื่อเยี่ยโยวเหยาพูดจาให้นางไม่เข้าใจ คงเป็นเพราะเขาไม่ต้องการให้นางรู้ไปมากกว่านี้ ดังนั้นนางจึงเม้มปาก ไม่ซักไซ้ให้มากความ

        เพียงครู่เดียว รถม้าก็วิ่งมาถึงหน้าประตูจวนโยวอ๋อง

        ฉินเทียน จิ้นหนานเฟิงและคนของวิการวิญญาณก็มาด้วยเช่นกัน พวกเขายืนรออยู่หน้าประตู

        “ข้าน้อยคำนับท่านอ๋อง! ”

        ทุกคนต่างคำนับเยี่ยโยวเหยา มีเพียงฉินเทียนคนเดียวที่มือถือพัดโบกไปมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “โยวเหยา ไม่คิดว่าจะได้กลับมารวดเร็วถึงเพียงนี้ แผนการของพี่น้องเรายังไม่ทันได้เริ่มเลย! ”

        “ครั้งนี้เป็นความดีความชอบของจิ่นซี”

        เมื่อเยี่ยโยวเหยากล่าวเช่นนี้ ฉินเทียนพลันแสดงสีหน้าไม่ยินดีอย่างเห็นได้ชัด

        ทว่าเยี่ยโยวเหยาไม่มีเวลาสนใจฉินเทียน เขาจูงมือซูจิ่นซีเดินเข้าไปด้านใน

        “ส่งข่าวบอกหลานเสวียนหมิง ยกเลิกแผน ไม่ต้องเข้าเมือง”

        “ขอรับ! ”

        เสียงของจิ้นหนานเฟิงดังตามมาด้านหลัง

        แม้เยี่ยโยวเหยาหรือฉินเทียนไม่ได้พูดอันใดออกมาให้ชัดเจน ทว่าซูจิ่นซีสามารถคาดเดาได้ในใจตามคำพูดของพวกเขา พวกเขาคิดเตรียมการช่วยเหลือเยี่ยโยวเหยาไว้แล้ว

        แม้นางไม่ได้ช่วยเหลือเยี่ยโยวเหยา เขาก็สามารถช่วยเหลือตนเองได้

        ในเวลานี้ ภายในใจของซูจิ่นซีรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก

        แม้จะสูญเสียบางอย่าง ทว่าความเลื่อมใสศรัทธาต่อเยี่ยโยวเหยานั้นกลับมีมากขึ้น

        บุรุษผู้นี้มากความสามารถ รูปร่างสูงใหญ่ บนโลกนี้ยังจะมีเรื่องที่ล้มเขาได้อีกหรือ?

        ความจริงแล้ว ซูจิ่นซีเพิ่งได้รู้ในภายหลัง เรื่องที่สามารถล้มบุรุษอย่างโยวอ๋องได้ก็คือ…

……

เชิงอรรถ

[1] ไม่เคยกินเนื้อหมู ไม่เคยเห็นหมูวิ่ง เป็นสุภาษิตจีน มักใช้เปรียบเทียบคนที่ไม่เคยประสบกับสิ่งต่างๆ เป็นการส่วนตัว แต่เคยได้ยินมาบ้าง เคยเห็นบ้าง แล้วมีความเข้าใจน้อย

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset