สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 200 ยาเผ่าเหมียว ฮูหยินเตี๋ยเมิ่ง

        หลังจากกลับมายังจวนโยวอ๋อง ซูจิ่นซีก็เล่าเรื่องเมื่อครั้งที่เยี่ยเซินและฮั่วซืออวี่นำศพทหารในค่ายมาที่จวนให้เยี่ยโยวเหยาฟังรอบหนึ่ง

        เยี่ยโยวเหยารู้เรื่องความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในค่ายทหารนานแล้ว จึงนิ่งเงียบไม่พูดอันใด

        “แม้จะชันสูตรศพที่เยี่ยเซินและฮั่วซืออวี่นำมาเรียบร้อยแล้ว ทว่าข้ายังไม่วางใจ คงต้องไปที่ค่ายทหารเองดูสักครั้ง ถึงจะยืนยันได้ว่าใช้ยาพิษอันใดกันแน่”

        ที่จริงก่อนหน้านี้ซูจิ่นซีเคยพูดว่ายาที่จำเป็นต้องใช้มีเพียงเยี่ยโยวเหยาเท่านั้นที่หามาได้ ซึ่งเป็นเพียงฉากหน้าที่สร้างขึ้นให้เยี่ยเซินได้เห็น เป้าหมายที่แท้จริงนางทำไปเพื่อช่วยเหลือเยี่ยโยวเหยาออกมาจากพระราชวังเท่านั้น

        “ท่านอ๋อง พระชายา เตรียมสำรับอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้วเพคะ” แม่นมฮวาร้องเรียก

        เยี่ยโยวเหยาลุกขึ้นพาซูจิ่นซีออกไปด้านนอก “ทานอาหารกันก่อน”

        ชุดจานชามยังคงเป็นชุดสำรับอาหารเครื่องใช้สำหรับคู่รักเหมือนครั้งก่อน เนื่องจากหลายวันก่อน ซูจิ่นซีเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก ดังนั้นสำรับอาหารที่แม่นมฮวากับลวี่หลีนำมาให้ทานจึงเรียบง่าย อีกทั้งยังมีโภชนาการที่ดี

        เยี่ยโยวเหยาทานอาหารอย่างมีมารยาทสง่างาม นอกจากตักอาหารให้กับซูจิ่นซีแล้ว ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวผิดแปลกอื่นใด ยิ่งไปกว่านั้นเขาจะไม่พูดขณะรับประทานอาหาร

        ซูจิ่นซีอดขมวดคิ้วไม่ได้

        ภายนอกเกิดเรื่องวุ่นวายถึงเพียงนี้ ทั้งยังมีคนตายเพิ่มขึ้นทุกเวลาทุกนาที เยี่ยโยวเหยายังสามารถรับประทานอาหารได้อย่างสงบนิ่ง ช่างน่านับถือจริงๆ

        ซูจิ่นซีไม่อยากครุ่นคิดให้เกินงาม หลังจากที่ทั้งสองรับประทานอาหารด้วยความเงียบงันเรียบร้อยแล้ว เยี่ยโยวเหยาจึงพาซูจิ่นซีไปที่ค่ายทหาร

        “พาอวิ๋นจิ่นไปด้วยดีหรือไม่! ” ซูจิ่นซีพูดเสนอ “หากเกิดเรื่องคับขันอันใด เขาสามารถช่วยได้อีกแรง”

        “ตามใจเจ้า”

        เมื่อได้ยินชื่ออวิ๋นจิ่น แม้สีหน้าของเยี่ยโยวเหยาจะดูขุ่นเคืองไปบ้าง ทว่าเขาไม่ได้คัดค้านอันใด ซูจิ่นซีจึงรีบสั่งให้พ่อบ้านส่งคนไปตามอวิ๋นจิ่นที่พระราชวัง เพื่อให้ตามไปที่ค่ายทหาร

        เยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีเพิ่งมาถึงค่ายทหาร อวิ๋นจิ่นเองก็ตามมายังค่ายทหารในเวลาไล่เลี่ยกัน

        “กระหม่อมคำนับท่านอ๋อง คำนับพระชายา” จรรยาวิถีของอวิ๋นจิ่นช่างสมบูรณ์แบบ

        “เข้าไปดูด้านในกันเถิด! ”

        ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว แววตามองไปทางค่ายทหารที่อยู่ตรงหน้า

        แม้บรรดาเหล่าทหารจะมีระเบียบวินัยมาก ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้กลับไม่มีความฮึกเหิมเลยสักนิด เหมือนเพิ่งโดนข้าศึกลอบโจมตี เจ็บไข้ได้ป่วย อ่อนแอไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าของทุกคนแสดงให้เห็นถึงความตื่นกลัวและสิ้นหวัง

        แม้แต่เสียงที่แสดงความเคารพให้กับเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีก็ไร้ซึ่งพลัง

        ตั้งแต่เกิดเรื่องกับเว่ยเจิน ฮ่องเต้มีพระบัญชาให้ทหารตระกูลฮั่วย้ายมาประจำการที่ค่ายทหารตระกูลเว่ย และในเวลานี้ภายในค่ายทหารก็มีฮั่วซืออวี่เป็นผู้สั่งการทั้งหมด

        ฮั่วซืออวี่ล่วงรู้ข่าวการมาถึงของเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีนานแล้ว จึงรีบเดินออกมาต้อนรับ

        “กระหม่อมคำนับท่านอ๋อง พระชายาโยวอ๋อง! ”

        เดิมเป็นกองกำลังทหารของตน ทว่าในตอนนี้ฮั่วซืออวี่เข้ามาครอบครอง ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาจึงถมึงทึงน่ากลัว

        ทว่าซูจิ่นซีไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องเหล่านี้ นางพูดว่า “ทหารที่ถูกพิษและศพทหารที่ตายเพราะพิษอยู่ที่ใด? พาข้าไปดู”

        “ท่านอ๋อง พระชายา โปรดตามกระหม่อมมาทางนี้”

        ก่อนหน้าที่ยังไม่ได้ยืนยันว่าเป็นการถูกพิษ ผู้คนในค่ายทหารต่างสงสัยว่าเกิดโรคระบาด ดังนั้นจึงนำทหารที่ป่วยแยกไปพักรักษาตัวที่กระโจมชั่วคราว

        ฮั่วซืออวี่นำทางพวกเขาไปยังสถานที่แห่งนั้น

        เมื่อถึงปากทางเข้ากระโจม ซูจิ่นซีกำลังจะเดินเข้าไป ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับแสดงสีหน้าขึงขังยืนขวางซูจิ่นซีไว้

        แม้ไม่ได้เอ่ยปาก ทว่าซูจิ่นซีล่วงรู้ถึงความหมายโดยนัยของเยี่ยโยวเหยา

        “วางใจได้เพคะ เป็นเพียงยาพิษเผ่าเหมียว ไม่ใช่โรคระบาด ไม่สามารถติดต่อกันได้เพคะ”

        ขณะที่พูด ซูจิ่นซีก็หยิบยาเม็ดออกมามอบให้กับเยี่ยโยวเหยา ฮั่วซืออวี่ และอวิ๋นจิ่น

        “ทานยานี้เข้าไป มันป้องกันการลอบวางยาพิษได้”

        เมื่อเยี่ยโยวเหยาเห็นซูจิ่นซีกินเช่นกัน จึงหยิบยาเม็ดใส่เข้าปากทันที

        อวิ๋นจิ่นและฮั่วซืออวี่ก็หยิบทานเช่นกัน จากนั้นจึงแสดงความขอบคุณด้วยท่าทีนอบน้อม “ขอบพระทัยพระชายา”

        แม้ระบบถอนพิษได้ตรวจสอบและวิเคราะห์ออกมาแล้ว ทว่าซูจิ่นซียังต้องการเข้าไปตรวจสอบให้แน่ชัดอีกครั้ง

        สถานการณ์เป็นเหมือนศพทั้งสองที่พบก่อนหน้านี้ ศพทั้งหมดไม่มีบาดแผล ร่างของศพนอกจากเกิดการเปลี่ยนแปลงเหมือนคนตายทั่วไป อย่างอื่นก็ไม่มีอันใดที่ผิดปกติ

        ผู้ป่วยที่นอนป่วยอยู่ นอกจากร่างกายอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงแล้ว ก็ไม่แสดงอาการอื่นใด หากไม่ใช่เพราะระบบถอนพิษของซูจิ่นซีสามารถตรวจพบพิษที่อยู่ภายในร่างกายของพวกเขาได้ หมอธรรมดาทั่วไปล้วนไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติอย่างแน่นอน

        หลังจากที่ซูจิ่นซีตรวจสอบและชันสูตรเสร็จแล้ว นางก็เดินออกมาจากกระโจม

         “พระชายา เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ? ” ฮั่วซืออวี่สอบถาม

        “ข้าจะเขียนใบสั่งยา”

        “รีบไปหยิบพู่กันมา! ” ฮั่วซืออวี่รีบสั่งการ ทหารรีบวิ่งไปหยิบกระดาษและพู่กันมา

        ครู่เดียวซูจิ่นซีก็เขียนใบสั่งยาเสร็จ

        เยี่ยโยวเหยาไม่รู้เรื่องพิษ ไม่รู้เรื่องวิชาแพทย์ จึงไม่สนใจเรื่องจำพวกนี้แม้แต่น้อย และไม่คิดจะชายตามองดู

        ฮั่วซืออวี่อ่านไม่เข้าใจเช่นกัน เขาทำเพียงรับใบสั่งยามาและส่งต่อให้กับอวิ๋นจิ่นทันที

        อวิ๋นจิ่นดูใบสั่งยา พลางขมวดคิ้วจนเป็นเกลียว

        “พระชายา ตัวยาที่เขียนในใบสั่งยา ที่ห้องเก็บยาเมืองจิงตูและสำนักหมอหลวงมีเกือบทั้งหมด มีเพียงตัวยาบางตัวที่หายากมาก ”

        “ตัวยาอันใดบ้าง? ”

        “ใบชีเย่ (หญ้าเจ็ดใบหรือเกาลัดม้า [1] ) อี้จือฮวา [2] หนานเซี่ย รากอูเถิง [3] หญ้าเถาเซียน และซงหมา”

        “ตัวยา อี้จือฮวา หนานเซี่ย และรากอูเถิง ภายในหอโอสถสกุลซูพอมีเก็บอยู่บ้าง” ก่อนหน้านี้ขณะที่ซูจิ่นซีเข้าไปในหอโอสถสกุลซู ระบบถอนพิษได้ตรวจสอบให้อัตโนมัติแล้ว “ส่วนที่เหลือคือ ใบชีเย่ หญ้าเถาเซียน และซงหมา เจ้ารู้หรือไม่ว่าต้องไปหาจากที่ใด? ”

        ซูจิ่นซีรู้ดีว่าตัวยาที่ตนเขียนไว้ในใบสั่งยานั้น มีบางอย่างที่ค่อนข้างหายาก ยาของเผ่าเหมียวเทียบได้กับในยุคปัจจุบัน ส่วนมากคนเผ่าเหมียวในแถบกุ้ยโจวเท่านั้นถึงจะมีเก็บไว้ ในตลาดแทบจะไม่มีขาย

        นับประสาอะไรกับในยุคโบราณ

        “ตัวยาทั้งสามชนิดนี้เป็นทั้งยาเป็นทั้งพิษ สถานที่ที่เหมาะสมในการเจริญเติบโตของตัวยาประเภทนี้อยู่ในแถบแคว้นไหวเจียง”

        “ความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นไหวเจียงกับเมืองจงหนิง ตอนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก อีกทั้งสถานการณ์ที่แคว้นไหวเจียงค่อนข้างวุ่นวาย หากคิดจะเข้าไปหาตัวยาที่แคว้นไหวเจียง คงเป็นไปได้ยาก! พระชายา สามารถเปลี่ยนเป็นตัวยาอื่นแทนได้หรือไม่? ” ฮั่วซืออวี่กังวลใจเล็กน้อย

        ซูจิ่นซีส่ายศีรษะ

        พิษเผ่าเหมียวชนิดนี้ ขณะที่อยู่ในยุคปัจจุบันนางยังไม่เคยเห็น หากไม่ใช่เพราะระบบถอนผิดตรวจสอบเจอ อาศัยความสามารถทางการแพทย์ของนางเองหรือหมอทุกท่าน คงยากที่จะตรวจพบพิษชนิดนี้ อีกทั้งประสิทธิภาพของระบบถอนพิษ ในเวลานี้ยังอยู่ระดับหนึ่ง จึงทำได้เพียงเสนอแนวทางเช่นนี้เท่านั้น

        “แม้แคว้นไหวเจียงจะปลูกตัวยาชนิดนี้ ทว่าพวกเราไม่เข้าใจภูมิประเทศของแคว้นไหวเจียง ถึงจะเข้าไปในแคว้นไหวเจียงได้ ก็คงต้องเสียเวลาในการค้นหาอีกไม่ใช่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างการเดินทางไป เกรงว่าจะทำให้เสียเวลาไปมาก ทว่ายังมีสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่พวกเราสามารถลองไปดูได้” อวิ๋นจิ่นพูดขึ้น

        “เป็นสถานที่ใด? ” ซูจิ่นซีกับฮั่วซืออวี่เอ่ยปากถามพร้อมกัน

        “หุบเขาร้อยบุปผาที่เมืองหนานหลี”

        หุบเขาร้อยบุปผา?

        ซูจิ่นซีไม่รู้จัก

        ฮั่วซืออวี่ได้ยินคำนี้ จึงพูดว่า “ได้ยินมาว่าฮูหยินเตี๋ยเมิ่งแห่งหุบเขาร้อยบุปผาเคยเป็นฮูหยินของเจ้าสำนักถังเหมิน…ถังอ้าวเทียน นางเชี่ยวชาญวิชาพิษ บางทีนางอาจมีตัวยาเหล่านี้บ้าง”

        “ทว่าอุปนิสัยของฮูหยินเตี๋ยเมิ่งค่อนข้างประหลาด ที่หุบเขาร้อยบุปผามีกลไกจัดวางไว้มากมาย คนในยุทธภพที่สามารถเข้าไปในหุบเขาร้อยบุปผาได้นั้นมีน้อยมาก เกรงว่าสิ่งของที่พวกเราต้องการได้จากนางนั้น คงเสียเวลาไปมิใช่น้อย” ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนของอวิ๋นจิ่นแสดงถึงความกังวล

         ซูจิ่นซีอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเยี่ยโยวเหยาที่ยืนอยู่ด้านข้าง

        บุคคลที่รับมือได้ยากเช่นนี้ หากนางไปด้วยตนเองหรือพาผู้อื่นไป เกรงว่าคงสำเร็จได้ยาก ทว่าหากให้เยี่ยโยวเหยาไปด้วยตนเอง ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งชำนาญด้านพิษ ส่วนเขาไม่รู้เรื่องวิชาพิษ เกรงว่าเขาจะเสียเปรียบ

        ฉะนั้น การไปครั้งนี้จะต้องให้นางกับเยี่ยโยวเหยาทั้งสองคนเดินทางไปพร้อมกัน

        ทว่า แม้จะได้ตัวยาที่พวกเขาต้องการจากหุบเขาร้อยบุปผา แต่ยังมีอีกหนึ่งปัญหา

        “ในช่วงเวลาอันสั้นไม่กี่วันมานี้ จำนวนคนตายและคนที่ถูกพิษในค่ายรอบๆ เมืองตี้จิง มีมากกว่าหมื่นคน อีกทั้งภายในเมืองตี้จิงและภายในพระราชวังก็พบอาการป่วยเช่นนี้แล้ว เส้นทางไปเมืองหนานหลียาวไกล เกรงว่าหากเปรียบเทียบกับจำนวนคนตายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน เมื่อรอจนได้ตัวยากลับมา ภายในเมืองตี้จิงและในค่ายทหารคงมีคนตายไปมากกว่าครึ่ง” สีหน้าของฮั่วซืออวี่แสดงถึงความโศกเศร้า

        รอดไม่ถึงครึ่งหรือ?

        คนตายมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

……

เชิงอรรถ

[1] เกาลัดม้า เป็นไม้ล้มลุกสูง 30 ถึง 100 ซม. เกิดบนเนินเขา ใต้ผืนป่า ลำธาร และพุ่มไม้เตี้ยในที่ชื้น เหง้าใต้ดินมีลักษณะเป็นแนวราบ อวบอ้วน สีน้ำตาลเหลือง มีการเชื่อมโยงเฉียงและรากเป็นเส้นๆ ลำต้นเป็นใบเลี้ยงเดี่ยวและเกลี้ยงเกลา ใบมี 4-9 ใบ ปกติมี 7 ใบ

[2] อี้จือฮวา มีลักษณะเป็นเหง้า กระจายตามแถบเสฉวน กุ้ยโจว ยูนนาน และทิเบตทางตะวันออกเฉียงใต้ มีพิษเล็กน้อย มีฤทธิ์ในการขจัดความร้อน ล้างพิษ ลดอาการบวม และบรรเทาอาการปวด มักใช้สำหรับโรคไข้สมองอักเสบญี่ปุ่น ปวดท้อง ไส้ติ่งอักเสบ วัณโรคของต่อมน้ำเหลือง ต่อมทอนซิลอักเสบ คางทูม โรคเต้านมอักเสบ งูพิษกัด แมลงมีพิษ บาดแผล และพิษบวม

[3] รากอูเถิง สมุนไพรยืนต้นที่มีรากขนาดใหญ่ ลำต้นมีลักษณะเป็นเกลียวและแตกแขนง ส่วนล่างมีลักษณะเป็นลอนเล็กน้อย และส่วนบนจะบางกว่า บางครั้งก็เป็นสีแดงอ่อน มีแถบตามยาว กลวง และเกลี้ยงเกลา ใบเป็นรูปไข่และรูปหัวใจ ยาว 4-9 ซม. และกว้าง 3-6 ซม. มียอดแหลม มีสรรพคุณ บำรุงเลือดและทำให้ประสาทสงบ ขับลม และขุดค้ำประกัน เป็นยาบำรุงและระงับประสาทภายใต้การจำแนกประเภทยาระงับประสาท

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset