สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 201 ร้อยปีของความขัดแย้ง

         “ข้าจะเขียนใบสั่งยาอีกใบ! ตัวยาคงหาได้ไม่ยาก เจ้าต้มมาให้ผู้ที่ยังไม่ได้รับพิษดื่ม สามารถป้องกันไว้ก่อนล่วงหน้าแม้มีคนวางยาพิษ ผู้ที่ถูกพิษก็สามารถบรรเทาอาการกำเริบได้ชั่วคราวอย่างน้อยเจ็ดวัน”

         ซูจิ่นซีพูดจบก็เขียนใบสั่งยาใบหนึ่งมอบให้อวิ๋นจิ่น

         เยี่ยโยวเหยาสั่งองครักษ์เงาไปเตรียมรถม้าและสิ่งของเครื่องใช้ระหว่างเดินทาง

         “ทูลพระชายา ให้ข้าน้อยติดตามท่านและท่านอ๋องไปด้วยเถิด! จะได้มีคนดูแลระหว่างการเดินทาง” ฮั่วซืออวี่กล่าว

         เยี่ยโยวเหยาไม่ชอบหน้าฮั่วซืออวี่ หากพาฮั่วซืออวี่ไปด้วย ยังต้องถามความคิดเห็นเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีไม่อยากยุ่งยาก จึงปฏิเสธไปตรงๆ

        “การเดินทางไปแคว้นหนานหลี ข้ากับท่านอ๋องไปเพียงสองคนก็พอแล้ว มากคนอาจไม่ใช่เรื่องดี ท่านอยู่ที่นี่ช่วยไท่จื่อหาตัวคนวางยาพิษจะดีกว่า! แม้การถอนพิษจะสำคัญ แต่การสืบหาคนวางยาพิษนั้นสำคัญที่สุด”

         ฮั่วซืออวี่แสดงท่าทีเสียใจอย่างเห็นได้ชัด ซูจิ่นซีไม่ได้สนใจ ทำเพียงหันหลังเดินออกไปจากค่ายทหาร

         เยี่ยโยวเหยามารอที่รถม้าแล้ว ด้านข้างรถม้ายังมีฉินเทียนและจิ้นหนานเฟิงยืนคอยอยู่

         เมื่อฉินเทียนพบซูจิ่นซีก็แสดงสีหน้าไม่สู้ดี ทว่าซูจิ่นซีไม่ได้สนใจมากนัก นางวางมือลงบนฝ่ามือที่ยื่นออกมารับของเยี่ยโยวเหยาและขึ้นรถม้าไป

         แคว้นหนานหลีอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของแคว้นจงหนิง รถม้าจึงมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้

         ในระหว่างการเดินทาง องครักษ์เงานำจดหมายมาให้จำนวนหนึ่ง เยี่ยโยวเหยาหยิบจดหมายส่วนหนึ่งส่งให้ซูจิ่นซี

         “นี่คืออันใด? ”

         “เป็นข้อมูลบางส่วนของแคว้นหนานหลีและฮูหยินเตี๋ยเมิ่ง”

         ซูจิ่นซีเปิดจดหมายดูอย่างละเอียด เยี่ยโยวเหยาไม่ได้พูดอันใด เขาทำเพียงอ่านจดหมายที่เหลืออยู่ด้านข้าง

         จดหมายเหล่านั้นล้วนเป็นเอกสารซึ่งส่งมาจากสถานที่ต่างๆ แม้ส่วนใหญ่เยี่ยโยวเหยาจะไม่ได้อยู่ที่วิหารวิญญาณและจวนโยวอ๋อง แต่ไม่ว่าเยี่ยโยวเหยาจะอยู่ที่ใด องครักษ์เงาจะส่งรายงานให้ทุกวันโดยใช้วิธีการส่งจดหมายให้ถึงมือเยี่ยโยวเหยา

         หลังจากที่ซูจิ่นซีอ่านข้อมูลเหล่านี้แล้ว นางก็ยังไม่เข้าใจอยู่หลายประเด็น เดิมทีนางต้องการขอคำแนะนำจากเยี่ยโยวเหยา ทว่าเยี่ยโยวเหยากำลังยุ่ง นางจึงไม่ต้องการรบกวน

         หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เยี่ยโยวเหยาจึงเก็บของบนโต๊ะทรงงานและหันมามองซูจิ่นซี “จะถามเรื่องอันใดหรือ? ”

         ซูจิ่นซีประหลาดใจเล็กน้อย บุรุษผู้นี้ไม่มีสิ่งใดปิดบังเขาได้เลย

         “ข้าดูแล้ว ข้อมูลเหล่านี้บอกว่าเดิมทีฮูหยินเตี๋ยเมิ่งเป็นภรรยาหลวงของถังอ้าวเทียนเจ้าสำนักถังเหมิน เจ้าสำนักถังเหมินมีภรรยาเพียงคนเดียวทั้งชีวิต และไม่มีภรรยารอง เช่นนั้นเหตุใดฮูหยินถังจึงไปอยู่ที่หุบเขาร้อยบุปผา ไม่ไปอยู่ที่สำนักถังเหมินเล่า? ระหว่างสองคนนี้มีความบาดหมางอันใดหรือ? ”

         ลือกันว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ใกล้ชิดสตรี นอกจากเรื่องของซูจิ่นซีแล้ว เขาไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของสตรีนางอื่น

         สำหรับคำถามนี้ของซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาไม่ได้อธิบายอันใดมากนัก เขาพูดเพียงสั้นๆ ว่า “ว่ากันว่า บุตรสาวของฮูหยินเตี๋ยเมิ่งเป็นสายเลือดสกุลจงแห่งแคว้นหนานหลี”

         สกุลจงแห่งแคว้นหนานหลี?

         ในข้อมูลมีบอกไว้ อีกทั้งเพราะอักษรคำว่า “จง” กับ อักษร “จง” ที่อยู่บนแผ่นหยกซึ่งพบที่หอโอสถสกุลซูนั้นเป็นอักษรตัวเดียวกัน ดังนั้นซูจิ่นซีจึงมีความสนใจเป็นพิเศษ

         ราชวงศ์หนานหลีชำนาญด้านการรบ ทว่าสิ่งที่พัฒนามากที่สุดกลับไม่ใช่ด้านกองทัพ แต่เป็นการค้าขายด้านธัญพืช เกลือ ใบชา เครื่องลายคราม และเครื่องประดับ เป็นต้น พวกเขาติดต่อทำการค้ากับทั้งอาณาจักรเทียนเหอ ทั้งยังมีแคว้นจงหนิง แคว้นเป่ยอี้ แคว้นซีอวิ๋น แคว้นไหวเจียง และแคว้นตงเฉิน ทั้งห้าแคว้นก็ทำการค้าไปมาหาสู่กัน มีอำนาจทางการค้าไปทั่วทั้งใต้หล้า

         ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าแคว้นหนานหลีจะมีจำนวนประชากรและพื้นที่น้อยที่สุดในอาณาจักรเทียนเหอ ทว่ากลับไม่มีผู้ใดกล้ารุกราน

         ประชาชนแคว้นหนานหลีจึงอยู่อย่างสงบสุข ในยุคสงครามและความขัดแย้งเช่นนี้ มีเพียงแคว้นนี้เท่านั้นที่ทำให้ประชาชนของตนอยู่อย่างสงบสุขได้

         ความขัดแย้งภายในอย่างเดียวก็คือความขัดแย้งระหว่างสำนักถังเหมินผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษ และตระกูลจงผู้เชี่ยวชาญทางวิชาแพทย์

         ความขัดแย้งที่รุนแรงของสำนักถังเหมินกับตระกูลจงคือฝ่ายหนึ่งชำนาญการใช้พิษ อีกฝ่ายหนึ่งเชี่ยวชาญทางวิชาแพทย์ในการถอนพิษ นี่เป็นสาเหตุของความขัดแย้งที่สำคัญที่สุดและยังเป็นความขัดแย้งที่แก้ไขได้ยากที่สุด มันกินเวลายืดเยื้อมากว่าร้อยปีแล้ว

         ทว่านึกไม่ถึงว่าบุตรของฮูหยินแห่งสำนักถังหมิน จะเป็นบุตรของสกุลจง

         ซูจิ่นซีเลิกคิ้วโดยไม่รู้ตัว

         อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้สิ่งที่นางกังวลไม่ใช่เรื่องพวกนี้ แต่เป็นเรื่องอื่นที่สำคัญมากกว่า

         “เยี่ยโยวเหยา ครั้งก่อนที่เรือนชิงโยว หยกกิเลนที่พบก่อนที่ข้าจะหมดสติไปยังอยู่กับท่านหรือไม่? ”

         หยกกิเลน?

         ในแววตาของเยี่ยโยวเหยาเผยความนิ่งขรึม

         ซูจิ่นซีเห็นเยี่ยโยวเหยานิ่งเงียบไม่ตอบอันใด นางจึงหยิบหยกกิเลนหยางออกมาจากอกเสื้อของตน

         “สิ่งนี้ ข้าพบที่หอโอสถสกุลซู บนก้อนหยกเขียนอักษรหยาง ก้อนหยกชิ้นนั้นคงเป็นคู่หยินหยาง ก่อนที่ซูจ้งจะเสียชีวิต เขาได้บอกว่าข้ามิใช่บุตรสาวแท้ๆ ของเขา ข้าสงสัยว่าชาติกำเนิดของข้าจะเกี่ยวข้องกับก้อนหยกสองก้อนนี้”

         เยี่ยโยวเหยารับก้อนหยกจากมือของซูจิ่นซีมาพลิกดูด้านหลัง ด้านหลังของก้อนหยกสลักตัวอักษร ‘หยาง’ หนึ่งตัวที่สะดุดตา

         ทว่าก้อนหยกนั้นได้กลายร่างเป็นภาพกิเลน สลักอยู่บนหลังของซูจิ่นซีแล้ว!

         นอกจากนั้นเยี่ยโยวเหยาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องปิดบังเรื่องนี้ตลอดไป ไม่บอกให้ผู้ใดทราบ รวมถึงตัวซูจิ่นซีเอง

         เขาควรบอกนางอย่างไรดี?

         หากบอกว่าก้อนหยกนั้นสูญหายไปแล้ว หรือเขาโยนทิ้งไปแล้ว เชื่อว่าคนฉลาดอย่างซูจิ่นซีต้องสงสัยแน่นอน

         หากบอกความจริงกับนาง นางจะต้องสืบเรื่องนี้ต่อไป เช่นนั้นชาติกำเนิดของนาง…

         “เยี่ยโยวเหยา… ”

         ซูจิ่นซีเห็นเยี่ยโยวเหยานิ่งเงียบไปพักใหญ่ไม่พูดอันใด จึงยื่นมือไปแกว่งที่ด้านหน้าของเขา

         เยี่ยโยวเหยาพลันได้สติ เขาคืนก้อนหยกนั้นไว้ในมือของซูจิ่นซีด้วยสีหน้าเรียบเฉย

         “ก้อนหยกนั้นข้าเก็บไว้ที่ตำหนักฝูอวิ๋นแล้ว หลังจากกลับไปจะเอาให้เจ้า! ”

         “เพคะ! ”

         ซูจิ่นซีดีใจยิ่งนัก หากมีก้อนหยกหยินหยางอยู่ในมือ นางต้องสืบร่องรอยได้มากยิ่งขึ้นเป็นแน่

         “เยี่ยโยวเหยา ข้ายังพบพิณคันหนึ่งที่สกุลซู ซูอวี้บอกว่าพิณนั้นมีชื่อเรียกว่าพิณหงส์ ข้าสงสัยว่าพิณนั้นจะมีความเกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดของข้า ท่านรู้เรื่องเกี่ยวกับพิณหงส์หรือไม่? ”

         เมื่อซูจิ่นซีพูดถึงพิณหงส์ เยี่ยโยวเหยาก็นิ่งเงียบไปอย่างเห็นได้ชัด มือที่วางอยู่บนตักค่อยๆ กำแน่นขึ้น

         ทว่าใบหน้าของเขากลับนิ่งเฉย ไม่แสดงอาการอันใดออกมา “ไม่รู้”

         ซูจิ่นซีพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าการสืบหาชาติกำเนิดของข้ายังต้องลงแรงอีกหน่อยจึงจะได้ผลลัพธ์ พิณหงส์มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่? และมีความสัมพันธ์อย่างไรกับหยกกิเลนทั้งสองก้อนนั้น? ”

         ซูจิ่นซีพูดพลาง พร้อมกับเปิดผ้าม่านบนรถม้าเพื่อมองออกไปด้านนอก

         เยี่ยโยวเหยามองไปยังซูจิ่นซีด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

         ในช่วงพลบค่ำ พวกเขาก็เดินทางมาถึงคฤหาสน์แห่งหนึ่ง จากคำพูดของจิ้นหนานเฟิง คฤหาสน์แห่งนี้เป็นของเยี่ยโยวเหยา

         หรูหรามาก!

         ซูจิ่นซีร้องอุทานให้กับการตกแต่งและความยิ่งใหญ่ของคฤหาสน์ พ่อบ้านประจำคฤหาสน์ได้จัดเตรียมสถานที่พักไว้นานแล้ว

         พวกเขาเร่งเดินทางมาทั้งวันทั้งคืน ซูจิ่นซีเหน็ดเหนื่อยมาก อีกทั้งเนื้อตัวยังเหนียวเหนอะ จึงต้องการอาบน้ำสักหน่อย ลวี่หลีไม่ได้ตามมารับใช้ ภายในคฤหาสน์จึงได้จัดเตรียมบ่าวรับใช้คอยปรนนิบัติซูจิ่นซีชำระร่างกาย ทว่าเวลาที่ซูจิ่นซีอาบน้ำ นางไม่ชอบให้มีคนอยู่ข้างๆ ดังนั้นจึงสั่งให้บ่าวรับใช้ออกไปให้หมด

         เยี่ยโยวเหยาจัดการจดหมายที่ส่งมาตอนบ่ายจนเรียบร้อย จากนั้นก็เดินออกจากห้อง มานั่งดื่มชาอยู่ที่ศาลาข้างสวนหิน

         ในห้องพัก มีเสียงของซูจิ่นซีขับร้องเพลงดังออกมา

         ทันใดนั้นก็มีเงาของคนผู้หนึ่งลอยลงมาจากด้านบนศาลา…

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset