สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 213 ชายาสุดที่รัก ปรนนิบัติเป็นการส่วนตัว

“โอ้… ”

ซูจิ่นซีร้องตะโกนเสียงดังพลางใช้สองมือปิดหน้าอกและรีบวิ่งหนีไปทันที

เสียงร้องดังสะท้อนไปทั่วคฤหาสน์ องครักษ์ที่รักษาการณ์อยู่นอกประตูต่างตกใจ เร่งรุดเข้ามาในทันที

“ท่านอ๋อง เกิดอันใดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ? ”

“ไม่มีอันใด! ” เยี่ยโยวเหยาพูดเสียงเบา

องครักษ์จึงถอยออกไป

เยี่ยโยวเหยาเรียกองครักษ์เงาเข้ามาอีกครั้ง “ไปตรวจสอบที่หุบเขาร้อยบุปผา พระชายาทำป้ายหยกสลักตัวอักษร ‘จง’ หล่นหาย ไปสืบให้ละเอียด”

“พ่ะย่ะค่ะ! ”

“หากรู้ว่าป้ายหยกอยู่ที่ใดก็รีบนำกลับมามอบให้ข้า อย่าให้พระชายาล่วงรู้”

“พ่ะย่ะค่ะ! ”

องครักษ์เงาหายตัวไปในทันที เยี่ยโยวเหยาหันมองไปทางเรือนอาบน้ำของซูจิ่นซี แล้วเดินกลับมานั่งบนตั่งผ้าไหมเพื่ออ่านจดหมายต่อ

ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เยี่ยโยวเหยาที่เคยเป็นคนเงียบขรึมมาตลอด ตอนนี้กลับมีท่าทีหงุดหงิดไม่สบายใจ เขานั่งมองจดหมายอยู่ครู่ใหญ่ ทว่าแม้แต่จดหมายฉบับเดียวก็อ่านไม่จบ อีกทั้งร่างกายยังรู้สึกกระสับกระส่าย

เยี่ยโยวเหยาวางจดหมายในมือ และเดินเปิดประตูออกไปรับลมเย็น

ซูจิ่นซีวิ่งออกมาจากห้องโถงด้านหน้า เนื่องจากเสียงร้องของนางดังมาก ดังนั้นตามทางที่นางวิ่งไปจึงเรียกหญิงรับใช้ให้ตามมาจำนวนไม่น้อย เมื่อซูจิ่นซีมาถึงประตูทางเข้าบ่ออาบน้ำ หญิงรับใช้ทุกคนก็เดินตามมาด้วย

“พระชายา ท่านเป็นอันใดไปเพคะ? ” หญิงรับใช้สอบถามด้วยความเป็นห่วง

“อยู่ตรงนี้ หยุดอยู่ตรงนี้! พวกเจ้าหยุดอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องเข้าไป! ” ซูจิ่นซีหยุดนิ่ง รีบยืนขวางทาง

หญิงรับใช้ทุกคนยิ่งเกิดความสงสัย ทว่าซูจิ่นซีกลับเปิดประตูเข้าไปและปิดประตูดัง ‘ปัง’ ทันที

หญิงรับใช้แต่ละนางต่างยืนตะลึงและมองหน้ากันอย่างไม่ทราบสาเหตุ

“โอ้ สวรรค์! ”

หลังจากที่ซูจิ่นซีปิดประตูแล้ว นางก็หยิกไปที่แก้มของตนอย่างแรง

ช่างน่าขายหน้า อับอายขายหน้าไปจนถึงบรรพบุรุษ

ซูจิ่นซีก้มลงมองหน้าอกของตนอีกครั้ง นางไม่ได้สวมใส่อาภรณ์ปิดบังจริงๆ เมื่อย้อนนึกถึงสายตาที่เยี่ยโยวเหยามองนางครั้งสุดท้าย นางก็อยากฉีกหน้าของตนเองและขย้ำให้เหมือนผ้าเช็ดหน้า

ไม่มีหน้าจะพบผู้ใดอีกแล้ว!

น่าอับอายขายหน้า!

เห็นไปถึงสัดส่วนภายใน อับอายขายหน้าไม่มีอันใดเหลือแล้ว!

ซูจิ่นซีเดินไปข้างบ่ออาบน้ำ นางไม่คิดจะถอดเสื้อคลุม ทว่ากลับกระโดดลงบ่ออาบน้ำทันที นางดำลงไปในบ่ออาบน้ำ

แย่ที่สุด กลั้นหายใจให้ตายไปเลย!

หญิงรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านนอกรู้สึกว่าภายในไม่มีการเคลื่อนไหว จึงคิดว่าซูจิ่นซีอาจลื่นล้มหรือเกิดเหตุอันใดขึ้น

“พระชายา ท่านเกิดเหตุอันใดเพคะ พระชายา? ”

เมื่อทุกคนไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากซูจิ่นซีจึงร้อนใจเป็นอย่างมาก หัวหน้าหญิงรับใช้แสดงความกังวลใจพลางพูดว่า “รีบไปทูลท่านอ๋อง พระชายาเกิดเรื่องที่บ่ออาบน้ำ! ”

“เจ้าค่ะ”

กราบทูลท่านอ๋องหรือ?

นางกำลังอาบน้ำ! หากเยี่ยโยวเหยาเข้ามา จะไม่แย่ไปกันใหญ่หรอกหรือ? ซูจิ่นซีรีบขึ้นจากน้ำและตะโกนออกไปทางด้านนอก “ข้าไม่ได้เป็นอันใด! พวกเจ้าแยกย้ายกันไปเถิด! ข้าอาบน้ำเองได้”

เหล่าหญิงรับใช้คลายกังวล ต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก

“เพคะ พระชายา”

เดิมทีซูจิ่นซีอาบน้ำชำระร่างกายเพียงหนึ่งชั่วยามก็เสร็จแล้ว ทว่าซูจิ่นซีเอาแต่เหม่อลอยอยู่ในบ่อน้ำจนใช้เวลาอาบน้ำไปสามชั่วยามเต็ม

ไม่ใช่เพราะเหตุอื่นใด เป็นเพราะยิ่งนางนึกถึงเรื่องเมื่อคืน ยิ่งรู้สึกอับอายขายหน้า

ตอนที่ซูจิ่นซีเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จและเดินออกจากประตู ก็ใกล้ยามจื่อพอดี

“พระชายาเพคะ ท่านอ๋องกำลังรอท่านอยู่ โปรดตามบ่าวมาทางนี้เพคะ! ” ซูจิ่นซีเพิ่งจะเดินออกจากประตูห้องอาบน้ำ หญิงรับใช้ด้านหน้าประตูก็เอ่ยขึ้น

เยี่ยโยวเหยา?

จนถึงเวลานี้ เขายังไม่นอนอีกหรือ?

สวนกว้างขวางมาก อีกทั้งสิ่งปลูกสร้างแต่ละหลังยังมีลักษณะคล้ายกัน ซูจิ่นซีจึงจดจำเส้นทางได้ไม่แม่นยำนัก หลังจากเดินวนไปวนมาอยู่นาน หญิงรับใช้ก็พาซูจิ่นซีมาหน้าตำหนักหลังหนึ่ง

“พระชายา ท่านอ๋องอยู่ด้านในเพคะ” หญิงรับใช้พูดกับซูจิ่นซีด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็ส่งเสียงไปด้านในตำหนัก “ท่านอ๋อง พระชายามาถึงแล้วเพคะ”

“เข้ามาได้! ” เยี่ยโยวเหยาส่งเสียงเย็นชามาจากในตำหนัก

หญิงรับใช้ผลักประตูเพื่อให้ซูจิ่นซีเดินเข้าไป

ซูจิ่นซียกชายกระโปรงก้าวเข้าไปในตำหนัก หญิงรับใช้จึงปิดประตูด้านหลังนางทันที

ภายในตำหนักมืดมากเนื่องจากไม่ได้จุดตะเกียงไฟ ซูจิ่นซีจึงมองเห็นทางเดินไม่ชัดเจนนัก

บุรุษผู้นี้ คิดจะทำอันใดอีก?

“เยี่ยโยวเหยา? ” ซูจิ่นซีตะโกนเรียก

“…”

“เยี่ยโยวเหยา? ”

“…”

“เยี่ยโยวเหยา? ”

“…”

ให้ตายเถิด ซูจิ่นซีรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย ดึกดื่นทั้งยังมืดมิดเช่นนี้ มันน่าหวาดกลัวมากรู้หรือไม่?

ขณะที่ซูจิ่นซีคิดจะเดินออกจากประตูด้วยท่าทีขุ่นเคือง จู่ๆ ตะเกียงบนโต๊ะทางซ้ายก็ถูกจุดขึ้น เยี่ยโยวเหยาสวมเสื้อคลุมลายเมฆสีดำ เอนกายอยู่บนตั่งผ้าไหมด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

“ท่านคิดจะทำอันใด? หม่อมฉันร้องเรียกตั้งนาน เหตุใดถึงไม่ตอบกลับ หม่อมฉันคิดว่าท่านจะทำพิเรนทร์อันใดอีก! ” ซูจิ่นซีพูดแกมตำหนิ

“มาทางนี้! ” เยี่ยโยวเหยายื่นมือไปหาซูจิ่นซี นอกจากใบหน้าเคร่งขรึมแล้วก็มองไม่เห็นอารมณ์อื่นใด

ซูจิ่นซียังยืนอยู่ตรงจุดเดิม

“ซูจิ่นซี ยังไม่เข้ามาอีกหรือ! ” เยี่ยโยวเหยาเริ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย

ซูจิ่นซีจึงเดินเข้าไปหา

เมื่อเดินมาถึงตั่งผ้าไหม เยี่ยโยวเหยาก็คว้ามือของนางไว้ และฉุดกระชาก ซูจิ่นซีร้องอุทานเสียงแหลม นางถูกเยี่ยโยวเหยาโอบรัดจนแน่น

“เยี่ยโยวเหยา ท่านคิดจะทำอันใด? ”

เยี่ยโยวเหยาหรี่ตาทั้งสองข้างลง เขายกนิ้วประคองปลายคางของซูจิ่นซีและพูดว่า “ชายาที่รัก เจ้าสมรสกับข้ามาก็นานแล้ว ดูเหมือนจะยังไม่เคยปรนนิบัติข้าเป็นการส่วนตัวเลยใช่หรือไม่? ”

ปรน… ปรนนิบัติเป็นการส่วนตัวหรือ?

ซูจิ่นซีคิดออกอย่างฉับไว นางรีบพูดขึ้นว่า “เยี่ยโยวเหยา หม่อมฉันเคยพูดแล้วว่า เรื่องราวระหว่างบุรุษกับอิสตรีต้องเกิดจากความรักของคนทั้งสอง ระหว่างเราสองคน… ”

ซูจิ่นซียังไม่ทันพูดจบประโยค เยี่ยโยวเหยาก็ผละจากการโอบกอดซูจิ่นซี และอุ้มนางเดินไปทางเตียงนอน

ดวงตาทั้งสองของซูจิ่นซีพลันเบิกโพลง นางดิ้นรนสุดชีวิต “เยี่ยโยวเหยา ท่านฟังไม่เข้าใจหรือ? ความรู้สึกระหว่างเราทั้งสองแตกต่างกัน ท่านฟังข้าอธิบาย… ”

“เงียบ! ” เยี่ยโยวเหยาพูดเสียงเย็นชา

ซูจิ่นซีเจ้าคนไม่ได้ความ นางเงียบไปจริงๆ

ดวงตากลมโตงดงามเบิกกว้างดั่งผลองุ่น นางมองใบหน้าหล่อเหลาคมคายของเยี่ยโยวเหยา

ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีก็เม้มริมฝีปากพลางพูดด้วยท่าทีเขินอาย “เยี่ยโยวเหยา… ความจริง… ความจริง เห็นแก่รูปโฉมที่หล่อเหลาของท่าน เช่นนี้ดีหรือไม่! อย่างไรเราทั้งสองก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว ส่วนเรื่องความรู้สึกที่มีต่อกัน ตอนนี้ยังไม่มีก็ไม่เป็นไร ค่อยๆ บ่มเพาะไปด้วยกัน ดีหรือไม่? ”

ระหว่างที่ซูจิ่นซีกำลังพูด เยี่ยโยวเหยาก็อุ้มนางมาที่เตียงนอนเรียบร้อยแล้ว

ซูจิ่นซีกำลังรอคอย คอยฟังคำตอบของเยี่ยโยวเหยา ทว่านางไม่ได้ยินคำตอบของเยี่ยโยวเหยาแต่อย่างใด

ซูจิ่นซีอดหันหลังไปมองเยี่ยโยวเหยาไม่ได้ นางเห็นเพียงเยี่ยโยวเหยากำลังเปลื้องผ้าด้วยท่าทีสง่างาม เสื้อคลุมถูกถอดออกแล้วเหลือเพียงเสื้อชั้นใน หัวใจของซูจิ่นซีเต้นระทึกจนแทบทะลักออกมา นางหันหน้าไปทางอื่นและหลับตาด้วยความเขินอาย

ผ่านไปครู่ใหญ่ ซูจิ่นซีรู้สึกว่าเยี่ยโยวเหยาขึ้นมาบนเตียงแล้ว อีกทั้งเส้นผมของเขายังปลิวไสวผ่านแก้มของนาง หัวใจของนางเต้นไม่เป็นจังหวะ แก้มร้อนผ่าวเหมือนถูกอังกับไฟ นางหายใจถี่จนแทบจะหายใจไม่ออก

ขณะที่เยี่ยโยวเหยาโอบเอวของนางไว้แน่น ร่างกายของนางพลันแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้

“เยี่ย… เยี่ยโยวเหยา” ซูจิ่นซีอดพูดเสียงสั่นเครือไม่ได้

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset