สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 215 ชั่วชีวิตนี้ไม่ผิดต่อกัน ดูแลกันตลอดไป

“พระชายา ท่านอ๋องไปแล้วเพคะ! ”

หลังจากที่เยี่ยโยวเหยาไปแล้ว หญิงรับใช้สองนางก็เปิดประตูตำหนักกลางเข้ามา

“ไปแล้วหรือ? ” ซูจิ่นซีไม่วางใจนักจึงเดินไปดูที่ประตู หลังจากแน่ใจว่าเยี่ยโยวเหยาไปแล้ว นางก็หันหลังเดินกลับไปที่ตำหนักกลาง และนำภาพวาดภาพหนึ่งที่เพิ่งวาดเสร็จมอบให้กับหญิงรับใช้ทั้งสอง แล้วพูดว่า “ตามคนมาสักสองสามคน ใช้เทียนวางบนภาพวาดแผ่นนี่ของข้า”

หญิงรับใช้รับภาพวาดมาไว้ในมือ พวกนางตกตะลึงในทันที

พระเจ้า!

ลวดลายของภาพวาดช่างซับซ้อน ทว่าพระชายากลับสามารถคำนวณจำนวนของเทียนที่ต้องใช้ทั้งหมดในทุกรายละเอียดของลวดลายบนภาพได้ ยอดเยี่ยมมาก!

อีกทั้งภาพวาดนี้ยังใช้เทียนวางเรียงกันทั้งหมด มันจะงดงามเพียงใดนะ!

พระชายา ท่านยอดเยี่ยมมาก!

หญิงรับใช้ทั้งสองนางอดมองซูจิ่นซีด้วยสายตาเคารพเลื่อมใสไม่ได้

“เสร็จแล้ว เริ่มทำกันเถิด! เวลามีไม่มาก จำเอาไว้ ต้องกำชับกับผู้ที่มาช่วยงานทุกคน ไม่ให้แพร่งพรายเรื่องทั้งหมดแม้สักครึ่งประโยค มิฉะนั้นข้าจะไม่ให้อภัย”

“โอ้!”

จู่ๆ หญิงรับใช้ก็มีท่าทีจริงจัง เวลาปกติพระชายาอ่อนโยนมาก ทว่าเมื่อมีทีท่าดุขึ้นมา ก็น่ากลัวมิใช่น้อย

ด้วยเหตุนี้ ประตูตำหนักกลางจึงปิดตลอดทั้งวัน ซูจิ่นซีไม่ได้ก้าวออกมาจากประตูตำหนักกลางแม้แต่ก้าวเดียว บางครั้งเยี่ยโยวเหยาก็สอบถามหญิงรับใช้เกี่ยวกับเรื่องที่ตำหนักเป็นครั้งคราว แต่พวกนางก็ไม่รู้ว่าข้างในนั้นเกิดอันใดขึ้น

ต่อมาเยี่ยโยวเหยาจึงไม่ถามอีก หลังจากจัดการกับจดหมายเสร็จแล้ว เขาก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน

เยี่ยโยวเหยานั่งหันหน้าไปทางเตาผิง เตาไฟกำลังคุกรุ่น เปลวไฟสาดส่องไปยังปกหนังสือทำให้เห็นได้อย่างชัดเจน ด้านบนเขียนด้วยตัวอักษรตัวใหญ่ว่า ‘ตำนานเผ่าเม้ย’

ตำนานเผ่าเม้ย?

เหตุใดเยี่ยโยวเหยาถึงอ่านหนังสือเช่นนี้?

จนกระทั่งฟ้ามืด ประตูตำหนักกลางก็ค่อยๆ เปิดออก

ซูจิ่นซีกับหญิงรับใช้สามสี่นางทำตัวลึกลับอยู่ในตำหนักกลางทั้งวัน แม้แต่เยี่ยโยวเหยาเองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป พวกหญิงรับใช้นางอื่นต่างพากันสงสัยว่าด้านในกำลังทำอันใดกัน พวกนางอดชะเง้อคอแอบดูด้านในไม่ได้

ทว่าพวกนางมองไม่เห็นอันใด และประตูตำหนักกลางก็ถูกปิดลงอีกครั้ง

“ท่านอ๋อง พระชายาเชิญท่านไปที่ตำหนักกลางเพคะ” หญิงรับใช้เดินไปที่ตำหนักด้านข้างและพูดรายงานเยี่ยโยวเหยา

เยี่ยโยวเหยาวางหนังสือด้วยใบหน้าเรียบเฉย เขาไม่ได้ถามอันใด ทำเพียงเดินตามหญิงรับใช้ไปยังตำหนักกลาง

“ท่านอ๋องโปรดรอสักครู่เพคะ! ” เมื่อมาถึงหน้าประตู หญิงรับใช้ก็ขวางเยี่ยโยวเหยาไว้ นางหันหน้าไปทางด้านในและตะโกนว่า “พระชายา ท่านอ๋องมาถึงแล้วเพคะ”

“ได้ เชิญท่านอ๋องเข้ามาเถิด! ”

“เพคะ! เชิญท่านอ๋องเพคะ! ” หญิงรับใช้คำนับและเชื้อเชิญให้เยี่ยโยวเหยาเดินเข้าประตูไป ทว่านางกลับไม่เปิดประตูให้เยี่ยโยวเหยา

เยี่ยโยวเหยาไม่เข้าใจ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย และผลักประตูเปิดเข้าไปด้วยตนเอง

ทันใดนั้นกลิ่นหอมอ่อนๆ ก็โชยมาแตะจมูก กลิ่นหอมเหมือนดอกเหมยที่อยู่ข้างนอก ทว่ากลิ่นหอมนี้กลับหอมฟุ้งน่าสูดดมกว่ากลิ่นดอกเหมยปกติ

หลังจากที่เยี่ยโยวเหยาเดินก้าวเข้าไป หญิงรับใช้ก็ปิดประตูด้านหลังทันที

เมื่อประตูปิดลง ภายในตำหนักพลันมีเสียงพิณบรรเลงดังขึ้น ด้านหน้ามีผ้าม่านลวดลายหลากสีพลิ้วไหวคลอเคล้าเสียงเพลง ทั้งยังสามารถมองเห็นแสงไฟพร่างพราวระยิบระยับจากในระยะไกล

เยี่ยโยวเหยาไม่ได้เรียกหาซูจิ่นซี ทว่ากลับเดินไปข้างหน้า เขาค่อยๆ เปิดผ้าม่านหลากสีออกทีละชั้น ทีละชั้น และเดินไปทางที่มีแสงไฟระยิบระยับ

ขณะที่เหลือผ้าม่านเพียงสามชั้น เยี่ยโยวเหยาก็หยุดเดินอย่างกะทันหัน เนื่องจากเขาสามารถมองเห็นภาพทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างชัดเจน

ด้านหลังผ้าม่านสามชั้นนั้น คือรูปภาพมังกรตัวหนึ่งที่สร้างขึ้นจากการใช้แท่งเทียนจัดวาง ดูลึกลับน่าเกรงขาม ศักดิ์สิทธิ์น่าเคารพสักการะ

ภาพมังกรเหินเหยียบเมฆา ท่วงท่ามีชีวิตชีวาราวกับของจริง

ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาเปล่งประกายด้วยความประทับใจ เขาค่อยๆ เปิดผ้าม่านทั้งสามชั้น ทีละชั้น ทีละชั้น และเดินเข้าไป

ทันใดนั้นแสงสว่างที่อยู่ตรงหน้า กอปรกับแสงเงาพลิ้วไหว ยิ่งเพิ่มความสมจริงให้แก่รูปภาพมากขึ้นไปอีก

“สุขสันต์วันเกิด! สุขสันต์วันเกิด! สุขสันต์วันเกิดเพคะ… ”

ทันใดนั้น เสียงเพลงจากซูจิ่นซีก็ดังขึ้นที่ข้างหู

เยี่ยโยวเหยาหันไปมอง เขาเห็นซูจิ่นซีถือเค้กก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง ด้านบนมีแสงเทียนไหวไปมา นางร้องเพลงพร้อมกับ เดินเข้ามาหาเยี่ยโยวเหยา

ลำเทียนอยู่ใกล้ใบหน้าของซูจิ่นซีมาก แสงเทียนสาดส่องกระทบใบหน้าขาวนวลของนาง สะท้อนดวงตาดำขลับที่เปล่งประกาย ทำให้ดูสุกสกาวดั่งดวงดารายิ่งขึ้นไปอีก ซูจิ่นซีสวมใส่ชุดสีแดงเพลิง ด้านหลังเป็นสีดำ นางก้าวเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า ราวกับเทพธิดาเดินออกมาจากความมืด

“เยี่ยโยวเหยาเพคะ สุขสันต์วันเกิด! ”

ซูจิ่นซีเดินมาด้านข้างเยี่ยโยวเหยา นางยืนนิ่งและแย้มยิ้มสดใส เผยให้เห็นฟันขาวงดงาม

แววตาประหลาดใจของเยี่ยโยวเหยาเลือนหายไป บัดนี้คงเหลือแต่แววตาสงบนิ่งดั่งน้ำลึก ไม่รู้ว่าเขากำลังครุ่นคิดอันใดอยู่ เขาทำเพียงจ้องหน้าซูจิ่นซีโดยไม่ละสายตา

ทันใดนั้น ซูจิ่นซีถือเค้กไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ปาดลงบนหน้าเค้กอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ปาดนิ้วไปบนใบหน้าของเยี่ยโยวเหยา

“มองอันใดหรือ? เยี่ยโยวเหยา ท่านคงไม่ตกใจจนโง่งมไปแล้วใช่หรือไม่? ”

ซูจิ่นซีมองเค้กที่แปะอยู่บนใบหน้าของเยี่ยโยวเหยา พลางหัวเราะร่าเริงด้วยความสาแก่ใจ

ทว่าแววตาของเยี่ยโยวเหยากลับเปล่งประกาย เขาคว้ามือของซูจิ่นซีไว้ และดึงนางเข้ามาในอ้อมอกของตน

“โอ้ย! เยี่ยโยวเหยา ขนมเค้กของหม่อมฉัน! ”

ทันใดนั้น ร่างของซูจิ่นซีก็โน้มตัวไปข้างหน้าตามแรงของเยี่ยโยวเหยา นางไม่ทันได้สนใจเค้กที่อยู่ในมือ แม้มันจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากจนนางไม่ทันได้เห็นอันใด ทว่านางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเค้กกระเด็นออกไป ไม่ได้อยู่บนมือของนางแล้ว

เยี่ยโยวเหยาพาซูจิ่นซีกระโดดเหาะขึ้นไป เขาหมุนตัวหนึ่งรอบ พลางใช้มือข้างหนึ่งถือเค้กไว้

มือข้างหนึ่งของเยี่ยโยวเหยาโอบกอดซูจิ่นซีไว้แนบอกอย่างแน่นหนา ส่วนมืออีกข้างถือเค้กไว้ เขามองไปที่เค้กอีกครั้ง ‘เยี่ยโยวเหยา สุขสันต์วันเกิด! ’ อักษรจีนตัวย่อขนาดใหญ่ไม่กี่คำถูกเขียนอย่างบิดเบี้ยวไปมา สายตาของเยี่ยโยวเหยามองอย่างคลุมเครือ

“เยี่ยโยวเหยา ท่านเป็นอันใด? ”

ซูจิ่นซีพยายามดิ้นรนขัดขืน

ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับใช้กำลังโอบรัดหัวไหล่ซูจิ่นซีมากขึ้น เพื่อไม่ให้ซูจิ่นซีขยับตัวได้อีก

ต้องบอกว่า การใช้กำลังบังคับเช่นนี้ ทำให้ในใจของซูจิ่นซีอดรู้สึกถึงความอบอุ่นที่พลุ่งพล่านเข้ามาไม่ได้ นางเม้มริมฝีปาก ไม่ได้พูดอันใด ใบหน้าแนบอยู่ในอ้อมอกของเยี่ยโยวเหยาอย่างเชื่อฟัง ซูจิ่นซีรู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นแรงกว่าปกติของเยี่ยโยวเหยา นางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย

“เยี่ยโยวเหยา! ” ซูจิ่นซีเรียกอย่างแผ่วเบา

“ซูจิ่นซี เจ้าแสดงความรักที่ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ข้าจะตอบแทนเช่นไรดี? เพียงชั่วชีวิตไม่ทำผิดต่อกัน และดูแลกันตลอดไป”

ชั่วชีวิตไม่ทำผิดต่อกัน และรักใคร่ดูแลกันตลอดไป?

ซูจิ่นซีท่องเงียบๆ อยู่ในใจหลายครั้ง แววตาอดเผยความเขินอายไม่ได้

เยี่ยโยวเหยา ข้า…ซูจิ่นซี แต่ไหนแต่ไรมาไม่กล้าปรารถนาอันใด ขอเพียงชีวิตนี้ได้อยู่ที่เรือนอวิ๋นไค ดูแลท่านไปชั่วชีวิต

เวลานี้ ในที่สุดนางก็ได้ชมแสงจันทร์หลังเรือนอวิ๋นไค (ในภาษาไทยแปลว่า เบิกเมฆา เป็นความหมายของชื่อเรือนอวิ๋นไค) แล้วมิใช่หรือ?

ทันใดนั้น จู่ๆ ประตูตำหนักด้านหลังก็เปิดออก

ข้างนอกมีเสียง ‘บูม’ ดังขึ้น หญิงรับใช้สองสามนางวิ่งเข้ามาด้วยความดีใจ “พวกบ่าวก็ขออวยพรให้ท่านอ๋องมีความสุขในวันเกิด อายุยืนหมื่นๆ ปี! ”

ขณะที่พูดอยู่ ผ้าม่านหลากสีที่ประตูก็ถูกเปิดออกทั้งสองด้าน ทิวทัศน์นอกตำหนักปรากฏแสงสว่างขึ้นในทันใด ทุกสิ่งทุกอย่างเผยอยู่ตรงหน้า

เยี่ยโยวเหยาอุ้มซูจิ่นซีให้หันไปมอง นางเห็นท้องฟ้าด้านนอกตำหนักสว่างไสวไปด้วยดอกไม้ไฟสีสันตระการตา ดอกไม้ไฟสีเงินเต็มท้องฟ้า บานสะพรั่งสว่างไสว

ซูจิ่นซีเม้มปากยิ้ม นางจับมือของเยี่ยโยวเหยาพาเดินออกไปนอกตำหนัก

ดอกไม้ไฟสว่างไสว สาดส่องทั่วทั้งท้องฟ้า ทั้งยังส่องสว่างไปถึงดอกเหมยท่ามกลางหิมะ ภาพทิวทัศน์ภายใต้แสงจันทร์และแสงตะวันที่งดงามอยู่แล้ว เมื่อเพิ่มแสงไฟหลากหลายสีสันเข้าไป ยิ่งทำให้ทิวทัศน์มีเสน่ห์สวยงามมากขึ้น

“เยี่ยโยวเหยา สิ่งเหล่านี้เป็นของขวัญวันเกิดที่หม่อมฉันมอบให้ท่าน ท่านชอบหรือไม่? ”

เยี่ยโยวเหยาหันไปมองด้านข้าง เขาเห็นแก้มของซูจิ่นซีต้องแสงดวงจันทร์คลอเคล้ากับแสงของดอกไม้ไฟที่สว่างไสว นางยิ้มให้เขา พลางยกยิ้มมุมปากอย่างภูมิใจกับความสำเร็จที่พิเศษเช่นนี้

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset