เยี่ยโยวเหยาจับไปที่ผมหน้าม้าของซูจิ่นซีด้วยความรักใคร่
“เหตุใดจึงเป็นมังกร? ”
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปากแย้มยิ้ม ทว่าไม่พูดอันใด
หากคำนวณตามสิบสองนักษัตรในยุคสมัยสามพันปีต่อมา เยี่ยโยวเหยาน่าจะเกิดปีมังกร ดังนั้นซูจิ่นซีจึงใช้เทียนวางเป็นรูปมังกร
ทว่าวิธีพูดเช่นนี้ ซูจิ่นซีไม่สามารถอธิบายให้เยี่ยโยวเหยาเข้าใจได้ ทั้งนางยังไม่ต้องการพูดถึงเรื่องเกินจินตนาการอื่นๆ จึงเลี่ยงที่จะไม่พูด
“เยี่ยโยวเหยา วันนี้เป็นวันปีใหม่! ที่แท้วันเกิดของท่านก็เป็นวันปีใหม่! ”
เยี่ยโยวเหยากำลังรอคำอธิบายจากซูจิ่นซี กลับไม่คิดว่านางจะพูดถึงหัวข้อนี้ขึ้นมา จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย
ปีใหม่ การเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ อีกทั้งยังเป็นวันเกิดของเยี่ยโยวเหยา ช่างเป็นวันที่ดีวันหนึ่งจริงๆ
“พวกเราไปทานเค้กกันเถิด! ” ซูจิ่นซียิ้มพลางพูด
“เค้ก? ”
“เมื่อครู่ที่หม่อมฉันถือมาให้ท่านตอนร้องเพลง อันที่มีเทียนหลายเล่มอยู่ด้านบนนั่นอย่างไรเล่าเพคะ! ”
ขณะที่พูด ซูจิ่นซีก็จูงมือเยี่ยโยวเหยาเข้าไปในตำหนักกลาง
เนื่องจากข้อจำกัดของวัตถุดิบในสมัยโบราณ ซูจิ่นซีจึงค่อนข้างลำบากกับการทำเค้กอยู่บ้าง มันไม่ได้ประณีตสวยงามเหมือนในสมัยปัจจุบัน ทว่านางได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว นางทำเค้กจากวัตถุดิบที่ใช้ทำขนมอบโบราณ ทั้งยังใส่ผลไม้หลายชนิดด้านบน นางยุ่งอยู่กับการทำเค้กตลอดช่วงบ่าย ในที่สุดก็ทำออกมาได้สำเร็จ!
“มานี่ มานี่ เจ้าของวันเกิดเป่าเทียนก่อนนะเพคะ! ” ซูจิ่นซีพูด
เยี่ยโยวเหยามองซูจิ่นซีด้วยใบหน้าไม่เข้าใจ
ซูจิ่นซียิ้มมุมปาก “เป่าเทียนเพคะ! เป่าเทียนเสร็จแล้วก็อธิษฐานขอพร ศักดิ์สิทธิ์มากนะเพคะ! ”
เยี่ยโยวเหยาเป่าเทียนบนเค้กตามที่ซูจิ่นซีบอก จากนั้นจึงหลับตาอธิษฐานขอพร
“ต่อไปพวกเราจะตัดเค้กกันเพคะ ให้เจ้าของวันเกิดตัดเค้กเป็นคนแรกเพคะ! ”
ซูจิ่นซียื่นมีดใส่มือเยี่ยโยวเหยา เยี่ยโยวเหยาถือมีดตัดตรงกลางเค้ก
แน่นอนว่านางไม่อาจให้เยี่ยโยวเหยา ท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ทำหน้าที่เป็นผู้แบ่งขนมเค้ก ดังนั้นซูจิ่นซีจึงทำแทน นางตัดเค้กชิ้นแรกมอบให้เยี่ยโยวเหยา
เหล่าหญิงรับใช้และองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกต่างยื่นคอยาวมองเข้าไปในตำหนักด้วยความสงสัย ซูจิ่นซีเรียกพวกเขาเข้ามา “เข้ามา เข้ามา ทุกคนเข้ามาเถิด! วันนี้เป็นวันเกิดท่านอ๋อง คนเยอะจะได้ครึกครื้น มาชิมขนมเค้กที่ข้าทำว่ารสชาติเป็นเช่นไร! ”
ได้หรือ?
พวกเขาสามารถเข้าไปแบ่งปันขนมเค้กกับท่านอ๋องได้หรือ?
ทุกคนต่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน พวกเขาล้วนแสดงท่าทีระมัดระวัง ไม่กล้าเดินเข้าประตู
ซูจิ่นซีแย้มยิ้มมองเยี่ยโยวเหยา หากไม่ได้ยินคำสั่งจากเยี่ยโยวเหยา เหล่าบ่าวรับใช้ล้วนไม่กล้าเข้ามาอย่างแน่นอน
“วันนี้ข้ามีความสุข ไม่ต้องกล่าวถึงเจ้านายหรือบ่าว” เยี่ยโยวเหยาพูดอย่างแผ่วเบา
“สุดยอดไปเลย สุดยอดไปเลย! ”
เมื่อทุกคนได้รับอนุญาตจากเยี่ยโยวเหยา ในใจล้วนเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี ทว่ายังคงเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง พวกเขาเดินมายืนเข้าแถวสองแถวอยู่ข้างหลังเยี่ยโยวเหยา
ซูจิ่นซีมองพวกเขา พลางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ทำอันใดกันอยู่อีก? รีบเข้ามารับเค้กสิ! เหมยจื่อ ล่าเยวี่ย รีบมาช่วยกัน! ”
หญิงรับใช้ทั้งสองนางที่ชื่อเหมยจื่อและล่าเยวี่ย รีบเดินเข้ามาช่วยซูจิ่นซีแบ่งเค้ก ทุกคนต่างเดินเข้ามาด้านข้างซูจิ่นซีทีละคนๆ แม้ขนมเค้กจะก้อนเล็ก ทว่าทุกคนยังได้รับส่วนแบ่งกันคนละเล็กละน้อย
“อร่อยมาก ฝีมือของพระชายาดียิ่งเพคะ บ่าวไม่เคยทานขนมเค้กที่อร่อยเช่นนี้มาก่อนเลยเพคะ”
“ใช่เพคะ! พระชายาไม่เพียงแต่มีใบหน้าที่งดงาม ทั้งยังทำอาหารได้อร่อยเช่นนี้ ท่านอ๋องช่างโชคดีจริงๆ เพคะ”
“ไป ไป ไป เป็นโชคดีของท่านอ๋อง พวกเราจะสามารถกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร ระวังหัวของพวกเจ้าไว้ให้ดี! ”
ทุกคนต่างพูดคุยกัน เจ้าหนึ่งคำ ข้าหนึ่งคำ ทำให้ความหนาวเย็นในฤดูหนาวมีความรื่นเริงและความอบอุ่นเพิ่มขึ้นมาทันที
หญิงรับใช้นางหนึ่งเห็นว่าแก้มของเยี่ยโยวเหยามีขนมเค้กชิ้นหนึ่งติดอยู่ ทันใดนั้นก็นึกสนุกขึ้นมา นางเม้มริมฝีปาก พลางใช้นิ้วมือเขี่ยไปที่เค้กชิ้นหนึ่ง และค่อยๆ ย่องอย่างเงียบงันเข้าไปด้านข้างองครักษ์นายหนึ่ง จากนั้นก็ป้ายเค้กไปบนหน้าขององครักษ์ผู้นั้น
องครักษ์ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเค้ก โกรธขึ้นมาทันที “ดียิ่งนัก เจ้ากล้าป้ายเค้กใส่ข้า! หยุดนะ ห้ามวิ่งหนี ข้าบอกให้เจ้าหยุด! ”
เหมยจื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว ก็ค่อยๆ ใช้นิ้วจิ้มไปที่เค้ก และป้ายไปบนหน้าของล่าเยวี่ยเช่นกัน
“เจ้าตัวแสบ ดีล่ะ เจ้ากล้าป้ายข้า ดูสิว่าข้าจะจัดการเจ้าเช่นไร! ”
ล่าเยวี่ยวิ่งไล่ตามเหมยจื่อ ทว่ารูปร่างของเหมยจื่อนั้นคล่องแคล่วกว่าล่าเยวี่ยมากนัก นางไล่ตามอย่างไรก็ตามไม่ทัน
เมื่อองครักษ์และหญิงรับใช้คนอื่นๆ เห็นเช่นนั้น ต่างก็จุ่มนิ้วไปบนเค้ก และป้ายใส่ใบหน้าของกันและกัน ทันใดนั้นในตำหนักก็มีเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน ต้นไม้ไฟประดับดอกไม้เงินนอกตำหนัก ดอกเหมยท่ามกลางหิมะโปรย เป็นฉากที่คึกคักและมีชีวิตชีวาฉากหนึ่ง
สวนดอกเหมยแห่งเมืองเหยาเฉิงแคว้นหนานหลี ไม่เคยคึกคักถึงเพียงนี้ เยี่ยโยวเหยาเติบโตจนอายุปูนนี้ ยังไม่เคยมีความสุขเหมือนดั่งวันนี้มาก่อน
“เยี่ยโยวเหยา เหตุใดท่านยังไม่ทานเพคะ? ”
ผู้อื่นต่างทานขนมเค้กกันหมดแล้ว ทว่าเยี่ยโยวเหยายังถือขนมเค้กอยู่และยังไม่ได้ทาน
“ไม่ชอบทานหรือเพคะ? ” ซูจิ่นซีถาม
เยี่ยโยวเหยาจึงลงมือทานด้วยท่าทางสง่างาม แม้เมื่อเทียบกับพ่อครัวระดับมืออาชีพของวังหลวงแล้ว รสชาติจะเป็นรองอยู่เล็กน้อย ทว่ายังถือว่าอร่อยมาก
หลังจากที่เยี่ยโยวเหยาทานขนมเค้กเสร็จ เขาก็จูงมือซูจิ่นซีออกไปข้างนอก
ซูจิ่นซีไม่ได้ถามอันใด ทำเพียงเดินตามข้างกายเยี่ยโยวเหยา
ภายในตำหนักด้านหลังยังคงมีเสียงหัวเราะ บนท้องฟ้ายังคงประดับด้วยดอกไม้ไฟ เยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีเดินย่ำบนหิมะ เสียงเท้าเหยียบหิมะดังขึ้นเป็นระยะ บริเวณโดยรอบเงียบสงัด
พวกเขาเดินบนพื้นหิมะอย่างเงียบงัน บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดเป็นอย่างมาก บางครั้งกลีบดอกเหมยก็ลอยมาตามลมหนาวและหมุนวนอยู่กลางอากาศ ก่อนจะตกลงบนร่างของเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซี
“เยี่ยโยวเหยา! ”
“ซูจิ่นซี! ”
พวกเขาแทบจะพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“เจ้าพูดก่อน! ”
“ท่านพูดก่อน! ”
พวกเขายังพูดพร้อมกันอีก
“ข้า… ”
“ข้า… ”
นึกไม่ถึงว่าจะบังเอิญเช่นนี้
ซูจิ่นซียกมือปิดปากหัวเราะ ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใด ระหว่างพวกเขาทั้งสองราวกับมีบางอย่างค่อยๆ เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
เยี่ยโยวเหยานิ่งเงียบไม่พูดอันใด รอให้ซูจิ่นซีพูดก่อน
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีจึงแย้มยิ้มและพูดว่า “แท้จริงแล้ว หม่อมฉันรู้สึกว่ามันเงียบเกินไปจึงร้องเรียกท่าน! ท่านอ๋องต้องการพูดอันใดกับหม่อมฉันเพคะ? ”
ชั่วขณะหนึ่ง อารมณ์ที่ปรากฏอยู่ในแววตาของเยี่ยโยวเหยาพลันหายไป เขามองซูจิ่นซีด้วยแววตาที่สงบนิ่งดั่งสายน้ำ ลมหายใจสงบเงียบของพวกเขาทั้งสองมีความหวาดหวั่นปะปนอยู่เล็กน้อย ซูจิ่นซีเกิดความรู้สึกไม่ค่อยเป็นตนเองนัก
นางแย้มยิ้ม คิดอยากจะพูดอันใดบางอย่าง ทว่า จู่ๆ เยี่ยโยวเหยาก็พูดขึ้นว่า “ซูจิ่นซี ขอบใจเจ้ามาก! ”
ซูจิ่นซีรู้ดีว่าที่เยี่ยโยวเหยาพูดนั้นหมายถึงอันใด
เยี่ยโยวเหยา ท่านรู้หรือไม่ หากระยะห่างระหว่างเราสองคนมีหนึ่งร้อยก้าว ซูจิ่นซีก็เต็มใจที่จะเดินไปหาท่านหนึ่งร้อยก้าว
และในหนึ่งร้อยก้าวนี้ หากท่านเดินเข้ามาหาซูจิ่นซีหนึ่งก้าว ซูจิ่นซีก็เต็มใจจับมือท่าน และเดินเคียงคู่ไปสู่อนาคตหนึ่งร้อยก้าว
หากท่านเต็มใจเดินเข้ามาหาสองก้าว ซูจิ่นซีก็เต็มใจจับมือท่าน และเดินเคียงคู่กันไปสู่อนาคตหนึ่งพันก้าว
หากท่านเต็มใจเดินเข้ามาครึ่งหนึ่งของระยะทาง ซูจิ่นซีก็เต็มใจเคียงคู่ท่านไปตลอดชีวิต ไม่ผิดต่อกัน จะเป็นหรือตายไม่แยกจากกัน ไม่ทอดทิ้งกันตลอดไป
ทว่าสุดท้ายแล้ว ซูจิ่นซีก็ไม่ได้พูดคำเหล่านี้ออกมา นางเพียงแอบคิดอย่างแน่วแน่อยู่ในใจ และมองเยี่ยโยวเหยาด้วยดวงนัยน์ตาที่เป็นประกายมุ่งมั่น
เยี่ยโยวเหยายกมือขึ้น องครักษ์เงาด้านหลังคนหนึ่งพลันเหินลงมาด้านข้างเยี่ยโยวเหยาอย่างไร้เสียง และมอบสิ่งของบางอย่างให้เยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้กล่าวอันใด ทำเพียงส่งของสิ่งนั้นให้ซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีเปิดดูทันที นางรู้ว่าเป็นอันใด ทว่านางไม่เข้าใจความหมายของเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีมองไปที่เยี่ยโยวเหยาด้วยแววตาสงสัย
“นี่เป็นของขวัญปีใหม่ที่ข้ามอบให้เจ้า”
มอบให้นางหรือ?
โอ้ พระเจ้า!
สิ่งนี่หรูหราเกินไปแล้ว!
ล้ำค่าเช่นนี้!!!