สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 220 สหายเก่าจากไปแล้ว

ฮูหยินเตี๋ยเมิ่ง!

ถูกต้อง คนที่เยี่ยโยวเหยาไปพบคือฮูหยินเตี๋ยเมิ่ง

ก่อนหน้านี้ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งสั่งให้เฒ่าลวี่รีบไล่ตามซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยา ทว่าเฒ่าลวี่ไล่ตามมาจนถึงชายแดนแคว้นหนานหลีและแคว้นจงหนิง กลับไม่พบร่องรอยของซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยา

เขาไม่มีทางล่วงรู้เลยว่า หลังจากที่เยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีออกจากหุบเขาร้อยบุปผาแล้ว พวกเขาไม่ได้มุ่งไปทางทิศตะวันตกสู่แคว้นจงหนิง แต่กลับมุ่งลงใต้ไปสวนดอกเหมยในเมืองเหยาเฉิงแคว้นหนานหลี

เฒ่าลวี่ไล่ตามซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาไม่ทัน เขาไม่กล้าตัดสินใจด้วยตนเอง จึงกลับไปยังหุบเขาร้อยบุปผาเพื่อรายงานต่อฮูหยินเตี๋ยเมิ่ง ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งจึงตัดสินมาแคว้นจงหนิงด้วยตนเอง

เยี่ยโยวเหยาได้รับข่าวจากองครักษ์เงาว่าฮูหยินเตี๋ยเมิ่งมาแคว้นจงหนิง จึงรีบเดินทางออกจากเมืองเหยาเฉิงพร้อมกับซูจิ่นซี

ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งในตอนนี้กำลังพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองตี้จิง

“ฮูหยิน บ่าวไปสืบมาแล้ว โยวอ๋องและพระชายาโยวอ๋อง วันนี้ได้เดินทางมาถึงแคว้นจงหนิง เมืองตี้จิงแล้ว ท่านจะให้บ่าวหาโอกาสเชิญพวกเขาทั้งสองมาหรือไม่ขอรับ? ”

ในมือของฮูหยินเตี๋ยเมิ่งถือป้ายหยก แววตานิ่งขรึมกำลังครุ่นคิด

“ยังไม่ต้อง พวกเขาต้องรู้ที่อยู่ของซีจืออย่างแน่นอน พวกเรารออยู่ที่นี่สักหลายวันก่อน เจ้าส่งคนออกไปสืบข่าวให้ดี เมื่อได้เบาะแสอันใดเพิ่มเติมค่อยวางแผนกันอีกครั้ง”

ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งเป็นคนฉลาด หากกระทำอันใดบุ่มบ่ามอาจเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ถ้าพวกเขาไม่รู้ที่อยู่ของซีจือ และได้ป้ายหยกชิ้นนี้มาโดยมีเรื่องอื่นแอบแฝง อาจเกิดข้อผิดพลาดได้

“ขอรับ! ” เฒ่าลวี่ตอบรับและเดินออกไป

ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งหยิบป้ายหยกชิ้นนั้นออกมา นางตกอยู่ในภวังค์ครุ่นคิดอีกครั้ง

ในปีนั้น ซีจือจากไปอย่างกะทันหัน แม้แต่บุรุษผู้นั้นที่นางตั้งใจพาไปด้วยก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ในปีนั้นเกิดอันใดขึ้นกันแน่?

เหตุใดซีจือถึงจากไปโดยไม่เอ่ยคำลา?

ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา นี่คือคำถามที่นางไม่เคยเข้าใจมาโดยตลอด

“ซีจือ ข้ามาหาเจ้าแล้ว! ขอเพียงเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ย่อมเหนือกว่าสิ่งอื่นใด”

ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งกำลังรำพึงรำพันกับตนเอง จู่ๆ นางก็หันกลับไปมองด้านหลังทันที “ผู้ใด? ”

ร่างเงาดำทะมึนเหินเข้ามาทางหน้าต่าง

ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เยี่ยโยวเหยา เป็นท่าน? ท่านมาที่นี่เพื่อการใด? ”

“ส่งป้ายหยกในมือของเจ้ามาให้ข้าเดี๋ยวนี้! ” เยี่ยโยวเหยาพูดเสียงเย็นชา

แววตาฮูหยินเตี๋ยเมิ่งส่องประกาย “ป้ายหยกชิ้นนี้เป็นของท่านหรือ? ”

เยี่ยโยวเหยานิ่งเงียบ ไม่ตอบกลับอันใด

ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งฉุกคิดอันใดขึ้นมาได้ นางรีบวิ่งเข้าไปด้านข้างเยี่ยโยวเหยา “ท่าน… ท่านคือบุตรชายของซีจือกับฉางชิงหรือ? ”

“ซีจือกับฉางชิงหรือ? ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดสิ่งใด? ส่งป้ายยกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้! ”

แววตาของฮูหยินเตี๋ยเมิ่งเต็มไปด้วยความยินดี “โยวอ๋อง ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่ ป้ายหยกชิ้นนี้ ท่านได้มาอย่างไร? ”

“มันเกี่ยวข้องอันใดกับเจ้าด้วยหรือ? ”

เยี่ยโยวเหยามีท่าทีเย็นชา เขายื่นมือออกไปเพื่อแย่งป้ายหยกในมือของฮูหยินเตี๋ยเมิ่ง ทว่าฮูหยินเตี๋ยเมิ่งกลับหลบเลี่ยงไปทางอื่น

ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งยืนอยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากเยี่ยโยวเหยาห้าก้าว นางพูดว่า “เจ้าของป้ายหยกชิ้นนี้มีชื่อว่า ซีจือ เราทั้งสองเป็นเพื่อนที่รักใคร่กันเป็นอย่างมาก โยวอ๋อง ได้โปรดบอกข้าด้วยเถิด เจ้าของป้ายหยกชิ้นนี้ เวลานี้อยู่ที่ใด? ”

“ซีจือ? ”

“ถูกต้อง จงซีจือ! นางเป็นคนสกุลจงแห่งแคว้นหนานหลี ผู้ที่มีสายเลือดสกุลจงล้วนมีป้ายหยกชิ้นนี้เช่นกัน ป้ายหยกของบุรุษจะเป็นหยกเขียว ป้ายหยกของสตรีจะเป็นหยกเหลือง ข้าจำป้ายหยกชิ้นนี้ได้เป็นอย่างดี ในตอนนั้นป้ายหยกนี้เป็นของซีจือแน่นอน”

จงซีจือหรือ?

เยี่ยโยวเหยาสืบข้อมูลมารดาของซูจิ่นซีมาอย่างละเอียด มารดาของซูจิ่นซีไม่ได้มีชื่อนี้

เมื่อคิดถึงจุดนี้ หากนางเป็นจงซีจือ คนที่ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งพูดมาเมื่อครู่ ชื่อของนางที่ใช้ในสกุลซูคงเป็นชื่อปลอม

ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งเห็นเยี่ยโยวเหยาไม่ได้เอ่ยอันใดเป็นเวลานาน นางจึงเร่งรัดพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “โยวอ๋อง ข้ามาแคว้นจงหนิงในครั้งนี้ ไม่ได้มีเจตนาอื่น ข้ามาเพื่อตามหาซีจือเท่านั้น หากโยวอ๋องมีความสัมพันธ์อันใดกับซีจือจริงๆ หรือทราบว่านางอยู่ที่ใด โปรดบอกข้ามาตามตรง ข้าขอขอบคุณท่านล่วงหน้า! ”

ขณะที่พูด ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งก็แสดงความเคารพเยี่ยโยวเหยาอย่างจริงใจ

เยี่ยโยวเหยาพยายามสังเกตสีหน้าและอารมณ์ของฮูหยินเตี๋ยเมิ่งตลอด นางไม่ได้กล่าวเท็จจริงๆ

“เจ้าของป้ายหยกชิ้นนี้ เสียชีวิตแล้ว” เยี่ยโยวเหยาพูดแผ่วเบา

“กระไรนะ? เสียชีวิตแล้วหรือ? ”

จู่ๆ ราวกับมีอสนีบาตฟาดใส่ฮูหยินเตี๋ยเมิ่ง ดวงตาทั้งสองของนางเบิกกว้าง นางไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน จากนั้นก็ซวนเซถอยหลังไปสองก้าว และนั่งพับลงบนเก้าอี้

“เสีย… เสียชีวิตได้อย่างไร? ”

ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งยังไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ทว่าน้ำตาของนางกลับไหลรินเต็มสองแก้มอย่างควบคุมตนเองไม่ได้

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ นางไม่อาจยอมรับความจริงครั้งนี้ได้ นางกล้ำกลืนพูดขึ้นมาว่า “ซีจือ… ซีจือ นางเสียชีวิตไปเมื่อไร? เสียชีวิตด้วยสาเหตุใด? ”

“เป็นเรื่องเมื่อหกเจ็ดปีที่แล้ว ในตอนนั้นข้ายังเล็ก ไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุใด”

“เสียชีวิตมาเจ็ดปีแล้วหรือ? เสียชีวิตมาเจ็ดปีแล้ว? ซีจือ เตี๋ยเมิ้งมาสายไปแล้ว! เตี๋ยเมิ้งตามหาเจ้าช้าไปแล้ว กระทั่งเจ้าจากโลกนี้ไปตั้งนาน ข้าก็ยังไม่รู้… เจ้าจากโลกนี้ไปตั้งนาน ข้าก็ยังไม่รู้”

สองมือของฮูหยินเตี๋ยเมิ่งกุมป้ายหยกไว้ในอ้อมกอด พลางสะอึกสะอื้นร่ำไห้

เยี่ยโยวเหยายืนอยู่ด้านข้าง มองฮูหยินเตี๋ยเมิ่งด้วยใบหน้านิ่งเฉย ทว่าไม่ได้พูดอันใด

ใบหน้าของเขานิ่งขรึม ยากที่ผู้อื่นจะคาดเดาได้ ยิ่งไม่สามารถรู้ได้ว่าภายในใจของเขาคิดสิ่งใด

ผ่านไปครู่ใหญ่ ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งปาดน้ำตาและสะอึกสะอื้นพูดว่า “โยวอ๋อง ท่านมีความสัมพันธ์อันใดกับซีจือ เหตุใดป้ายหยกชิ้นนี้ถึงอยู่กับท่าน? ท่าน… ท่านเป็นบุตรชายของซีจือหรือ? ”

ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งจดจำได้อย่างแม่นยำ ในปีนั้นก่อนที่ซีจือจะหายตัวไปอย่างกะทันหัน นางได้ตั้งครรภ์แล้วสองเดือน ถ้าเด็กคนนั้นสามารถคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัย คงมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเยี่ยโยวเหยา

ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งไม่รอให้เยี่ยโยวเหยาเอ่ยปาก นางรีบพูดขึ้นอีกครั้งว่า “ข้าขอสอบถามโยวอ๋อง ท่านอ๋องมีพระชันษาเท่าใด? ”

“ข้าเกิดที่แคว้นจงหนิง ปีไท่อันที่สิบสี่”

“ปีไท่อันที่สิบสี่… ” ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งนิ่งเงียบ นางคิดคำนวณอยู่ครู่ใหญ่ จู่ๆ สายตาก็เปล่งประกาย นางมองเยี่ยโยวเหยาด้วยใบหน้าตื่นเต้น น้ำตาไหลรินอีกครั้ง “เป็น… เป็น… เป็นท่าน ท่านเป็นบุตรชายของซีจือกับฉางชิงจริงๆ ”

ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งพูดพลางเดินเข้าไป คิดจะโอบกอดเยี่ยโยวเหยา ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับหลบเลี่ยงด้วยใบหน้าเย็นชา

ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งรู้ดีว่าอารมณ์ของตนในตอนนี้ค่อนข้างไร้มารยาท นางปาดน้ำตาและแย้มยิ้มเล็กน้อย ทว่าน้ำตากลับไหลไม่หยุดเหมือนน้ำตก “ดี… ดีมาก แม้ซีจือจะจากไปแล้ว ทว่าบุตรชายของนางยังมีชีวิตปลอดภัย นางไม่มีเรื่องต้องกังวลแล้ว โยว… โยวเหยา ข้ากับแม่ของเจ้าเป็นเพื่อนรักที่ดีต่อกันมาก อีกทั้งเจ้ากับเสวี่ยเอ๋อร์ยังมีการหมั้นหมายตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เจ้าสามารถเรียกข้าว่าน้าเตี๋ยเมิ้งได้”

มีการหมั้นหมายตั้งแต่อยู่ในครรภ์?

เยี่ยโยวเหยานิ่งเงียบไม่ได้เอ่ยปาก เขามองฮูหยินเตี๋ยเมิ่งด้วยใบหน้าสงสัย

ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งแย้มยิ้ม “น้ารู้ดีว่าเรื่องนี้มันกะทันหันเกินไป คงยากที่เจ้าจะยอมรับได้ในทันที น้าเข้าใจดี ซีจือตั้งครรภ์ในปีนั้น และน้าเพิ่งจะ… เพิ่งจะแต่งเข้าตระกูลถังของตาบ้านั่นได้ไม่นาน พวกเราสัญญากันว่า ต่อไปหากลูกของพวกเราเป็นชายทั้งคู่ จะให้พวกเขาผูกสัมพันธ์เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน หากเป็นหญิงทั้งคู่ก็เช่นเดียวกัน เป็นพี่น้องที่รักใคร่ต่อกัน หากเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งก็จะทำพิธีหมั้นหมาย ให้ครองรักกันตลอดไป”

ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งเห็นใบหน้าของเยี่ยโยวเหยานิ่งขรึมไร้อารมณ์ เขายังไม่พูดอันใด นางจึงคิดว่าเยี่ยโยวเหยาไม่เชื่อในคำพูด

“เกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนนั้นมีหลักฐานยืนยัน นั่นคือหยกกิเลนคู่ของมารดาเจ้า หยกกิเลนถูกแบ่งออกเป็นสองชิ้น หยินและหยาง เดิมทีในตอนนั้นมารดาเจ้ามอบหยกกิเลนหยางให้กับข้า ทว่าต่อมาเพราะสาเหตุหลายประการ มันจึงกลับไปอยู่กับมารดาของเจ้า หากมารดาเจ้ามอบมรดกตกทอดให้กับเจ้า เจ้าสามารถตามหาหยกคู่นั้นได้”

หยกกิเลน?

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset