สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 221 ผู้ลึกลับสวมเสื้อแพรสีขาวนวลจันทร์

“ข้าเคยเห็นก้อนหยกนี้มาก่อน แต่ข้ามีซูจิ่นซีแล้ว” เยี่ยโยวเหยากล่าวเสียงเย็นชา

ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งแววตาขึงขังเล็กน้อย ทว่าไม่นานก็พูดขึ้นว่า “แต่ข้าได้ยินมาว่า ซูจิ่นซีเป็นเพียงบุตรสาวของอนุแห่งสกุลซู จวนสกุลซูไม่ได้มีหน้ามีตาอันใด หากโยวเหยาได้แต่งกับเสวี่ยเอ๋อร์ ข้าจะเตรียมสินสอดทองหมั้นไว้มากมาย”

สินสอดทองหมั้นที่ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งพูดมานั้น ไม่เหมือนกับสินสอดทองหมั้นที่เป็นแก้วแหวนเงินทองทั่วไปจำพวกนั้น ทว่านางหมายถึงหุบเขาร้อยบุปผาและตระกูลจงแห่งแคว้นหนานหลีทั้งหมด มิหนำซ้ำยังมีสำนักถังเหมินหรืออำนาจที่มากยิ่งขึ้นอีกด้วย

แม้บิดาของถังเสวี่ยจะเป็นคนสกุลจงแห่งแคว้นหนานหลี ทว่าในนามเขายังเป็นสกุลถัง หากถังเสวี่ยแต่งงานไป สำนักถังเหมินจะต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในอำนาจที่เยี่ยโยวเหยาต้องการหลังจากออกเรือนไปแล้วอย่างแน่นอน

อำนาจทั้งสามด้านนี้ สำหรับบุรุษที่มีความทะเยอทะยานผู้หนึ่งแล้ว ถือเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่มากอย่างหนึ่ง

ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งคิดว่า สิ่งนี้เพียงพอที่จะทำให้เยี่ยโยวเหยาทอดทิ้งซูจิ่นซี และไปแต่งงานกับถังเสวี่ย กลับคาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ในชีวิตของข้า มีซูจิ่นซีเพียงผู้เดียวเท่านั้น”

มีซูจิ่นซีเพียงผู้เดียวเท่านั้น?

ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งตกตะลึงในทันที

ซูจิ่นซีเคยพูดมาก่อนว่า ชั่วชีวิตนี้เยี่ยโยวเหยามีเพียงนางผู้เดียวเท่านั้น ทว่ายังไม่เคยพูดต่อหน้าเยี่ยโยวเหยาสักครั้ง ยิ่งไม่รู้ถึงความคิดของเยี่ยโยวเหยา

หากซูจิ่นซีได้ยินคำพูดเช่นนี้ นางจะต้องยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่นานเป็นแน่ ใช่หรือไม่?

ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งยังไม่ได้สติจากอาการตกตะลึง ทันใดนั้น เงาดำพลันเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว เยี่ยโยวเหยาเข้ามาแย่งป้ายหยกจากมือของฮูหยินเตี๋ยเมิ่งไปแล้ว

น้ำเสียงของเขายังแสดงถึงอารมณ์เย็นชาเช่นเคย “ป้ายหยกชิ้นนี้คืนให้กับข้า ถือเสียว่าฮูหยินไม่เคยมาที่แคว้นจงหนิงมาก่อน และข้าก็ไม่เคยได้ยินคำพูดใดจากปากของฮูหยิน”

ไม่เคยมาสถานที่แห่งนี้?

เยี่ยโยวเหยาไม่เต็มใจยอมรับสถานะที่แท้จริงของมารดาแท้ๆ ของตนหรือ?

ทว่าฮูหยินเตี๋ยเมิ่งเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม ในพริบตานางก็ขบคิดจนเข้าใจ

ตอนนี้เยี่ยโยวเหยาเป็นถึงโยวอ๋องแห่งแคว้นจงหนิง พระมารดาของเขาคือเฉินไท่เฟย หากให้ผู้อื่นล่วงรู้สถานะที่แท้จริงของเขา ต้องไม่เป็นประโยชน์ต่อเขาเป็นแน่

เมื่อคิดเช่นนี้ ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งจึงเข้าใจความหมายในคำพูดที่เยี่ยโยวเหยาเอ่ยออกมา

แม้จะเสียใจอยู่บ้าง ทว่านางก็ยังยิ้มและพยักหน้า “ดี… ดี… เพียงเจ้ามีชีวิตที่ดี หากมารดาของเจ้าที่ล่วงลับไปแล้วได้ล่วงรู้ นางก็จะได้ตายตาหลับ”

“ฉางชิงคือผู้ใด? ”

“ข้าก็ไม่ชัดเจนนัก ในปีนั้น ตอนที่มารดาของเจ้าไปมาหาสู่กับเขา เขาก็ทำตัวลึกลับมาตลอด ข้าถามไถ่ไม่รู้กี่ครั้งเพราะเกรงว่านางจะเสียหาย ทว่ามารดาของเจ้ากลับไม่เคยบอกอันใดข้าเลย”

ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วป้ายหยกนี้ไม่ได้เป็นของเยี่ยโยวเหยา ดังนั้นนางจึงคิดว่าเยี่ยโยวเหยาเป็นบุตรของจงซีจือ เยี่ยโยวเหยาจึงเชื่อว่าคำพูดของนางนั้นจริงใจ ไม่มีการพูดใส่ร้ายใดๆ

เมื่อนำป้ายหยกมาได้ เยี่ยโยวเหยาก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่นานนัก เขาหันหลังเดินจากไป ทว่าฮูหยินเตี๋ยเมิ่งกลับร้องเรียกเขา

“โยวเหยา หลุมฝังศพของซีจืออยู่ที่ใด ก่อนที่ข้าจะจากไป ข้าต้องการไปจุดธูปคำนับนางสักครั้ง”

จงซีจือ อนุของซูจ้ง นางเสียชีวิตแล้ว หลุมศพก็ต้องอยู่ที่สุสานบรรพชนของสกุลซู ทว่าหากเยี่ยโยวเหยาพูดออกไป ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งจะต้องรู้ว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ใช่บุตรของจงซีจือ

“ข้าก็ไม่ทราบ ตอนที่นางเสียชีวิต ไม่มีผู้ใดตั้งหลุมฝังศพให้นาง”

ไม่มีผู้ใดตั้งหลุมฝังศพ?

เช่นนั้นนางก็เป็นผีไร้ญาติวิญญาณเร่ร่อน?

ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งยืนตะลึงด้วยความแปลกใจ หลังจากที่ร่างของเยี่ยโยวเหยาหายไปทางหน้าต่างท่ามกลางค่ำคืนที่มืดสนิท เป็นเวลานานกว่าที่ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งจะได้สติกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง

นางใช้มือค้ำกับโต๊ะและทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ พลางร้องห่มร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจ

“ซีจือ ในปีนั้น วันที่เจ้าจากไป เจ้ามีความลับอันใดซ่อนอยู่? ฉางชิงเป็นผู้ใดกันแน่? เหตุใดบุตรของพวกเจ้าจึงกลายเป็นอ๋องแห่งแคว้นจงหนิง ในปีนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่? ”

หลังจากได้ป้ายหยกมาแล้ว เยี่ยโยวเหยาก็ไม่สนใจเรื่องอื่นอีก

ทว่าเขากำชับให้องครักษ์เงาจับตาดูฮูหยินเตี๋ยเมิ่งในแคว้นจงหนิงทุกย่างก้าวและรายงานเขาทุกเมื่อ จนกว่าฮูหยินเตี๋ยเมิ่งจะออกไปจากแคว้นจงหนิง

ร่างของเยี่ยโยวเหยาเหินขึ้นลงบนหลังคาตามถนนหลักฉางอันในเมืองตี้จิง เขาใช้วิชาตัวเบากลับไปยังจวนโยวอ๋อง

ร่างนั้นราวกับปีศาจร้ายที่มาจากนรก ทำให้ผู้คนหวาดกลัว และเป็นดั่งเทพเจ้าผู้สูงศักดิ์ที่ลอยลงมาจากสรวงสวรรค์ ทำให้ผู้คนไม่กล้าสร้างความขุ่นเคืองให้

บนโลกใบนี้ ผู้ที่มีนิสัยสองด้านซึ่งแตกต่างขัดแย้งกันอยู่ภายในตัวคนๆ เดียวกัน เกรงว่าจะมีเพียงเยี่ยโยวเหยาผู้เดียวเท่านั้น

ทันใดนั้น ร่างสีแดงที่สัมผัสได้ถึงเสน่ห์อันน่าหลงใหล ดั่งดอกม่านถัวหลัวริมแม่น้ำวั่งชวน พลันเหินลอยลงมาอยู่ด้านหน้าของเยี่ยโยวเหยา ขวางทางเยี่ยโยวเหยาไว้

หลังจากที่คนผู้นั้นหยุดยืนนิ่ง เขาไม่ได้หันหลังกลับมาในทันที

เขาเอามือไขว้หลัง ชุดสีแดงที่เย้ายวนใจพลิ้วไหวท่ามกลางลมหนาวราวกับธงสีแดงเพลิง ทว่าไม่เหมือนธงเสียทีเดียว กลับเป็นเหมือนผ้ายันต์สะกดวิญญาน ทำให้ผู้ที่หวาดกลัวเรื่องผีสางไม่กล้าลืมตามองดู

“เจ้ารนหาที่ตาย! ” แววตาของเยี่ยโยวเหยาเย็นชาน่ากลัว

คนผู้นั้นหันหลังกลับมา แท้จริงแล้วเขาคือจอมวายร้ายไป๋เฉ่าแห่งหุบเขาเทพโอสถ

ใบหน้าเย็นชาภายใต้หน้ากากแย้มยิ้มอย่างชั่วร้าย พลางพูดว่า “เยี่ยโยวเหยา เมื่อครู่ข้าได้ยินทุกคำพูด ป้ายหยกในมือของเจ้า แท้จริงไม่ใช่ของเจ้า ทว่าเป็นของแม่นางพิษน้อยผู้นั้น ใช่หรือไม่? ”

คนที่เขาพูดถึงก็คือซูจิ่นซี

“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง! ”

เยี่ยโยวเหยาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขายกแขนเสื้อขึ้นและโจมตีไปที่จอมวายร้ายไป๋เฉ่า

จอมวายร้ายไป๋เฉ่าดึงแส้ยาวที่คาดเอวออกมาอย่างรวดเร็ว

ผ่านการสู้รบที่หุบเขาเทพโอสถมาแล้ว เยี่ยโยวเหยาทราบดีว่าบนแส้ยาวของจอมวายร้ายไป๋เฉ่ามีพิษ ดังนั้นจึงรีบหลบฉากออกไป

จอมวายร้ายไป๋เฉ่ายืนตรงจุดเดิม เขาแย้มยิ้มอย่างชั่วร้าย “ฮ่าๆ เยี่ยโยวเหยา เจ้ามีฝีมือเท่านี้หรือ เมื่อไม่มีแม่นางพิษน้อย เจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”

คาดไม่ถึงว่าทันทีที่จอมวายร้ายไป๋เฉ่าพูดจบ เยี่ยโยวเหยากลับพลิกฝ่ามือชูขึ้น ในมือพลันปรากฏอาวุธลับหลายชิ้น มันส่องแสงระยิบระยับท่ามกลางความมืด เขาซัดอาวุธเข้าใส่จอมวายร้ายไป๋เฉ่าอย่างรวดเร็ว

จอมวายร้ายไป๋เฉ่าไม่กล้าประมาทอีก เขารีบหลบฉากทันที

เพิ่งจะหลบฉากได้ เยี่ยโยวเหยาก็ตามมาซัดอาวุธลับอีกเป็นครั้งที่สอง

ตามด้วยครั้งที่สาม…

แม้จอมวายร้ายไป๋เฉ่าจะหลบได้อย่างรวดเร็ว ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับซัดอาวุธออกไปด้วยความเร็วที่มากกว่า ในที่สุดการซัดอาวุธครั้งที่สาม จอมวายร้ายไป๋เฉ่าก็หลบไม่พ้น อาวุธลับซัดเข้าที่ก้นของจอมวายร้ายไป๋เฉ่าอย่างพอดิบพอดี

“บัดซบ! ” จอมวายร้ายไป๋เฉ่าร้องด้วยความตกใจ “เยี่ยโยวเหยา เจ้ามันหน้าไม่อาย เจ้าเล่นตุกติกกับข้า หากเจ้ามีความสามารถก็อย่าใช้อาวุธลับสิ”

หากเจ้ามีความสามารถก็อย่าใช้พิษสิ!

ทว่าเยี่ยโยวเหยาเกียจคร้านเกินกว่าจะพูดกับจอมวายร้ายไป๋เฉ่า

“วันนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าสักครั้ง เมื่อถึงกำหนดเวลา หากเจ้ายังหาสิ่งของที่ข้าต้องการไม่พบ ข้าจะกำจัดเจ้าด้วยมือของข้าเอง! ”

พูดจบ เยี่ยโยวเหยาก็หันหน้าไปทางจวนโยวอ๋องและจากไปในทันที

“บ้าจริง! ซี๊ด เจ็บจะตายอยู่แล้ว! ”

จอมวายร้ายไป๋เฉ่าสบถด่า เขาดึงอาวุธลับที่ก้นออกและทิ้งลงไปบนชายคาอย่างแรง

ทันใดนั้น ร่างสีขาวนวลจันทร์พลันเหินลงมาที่ด้านข้างของจอมวายร้ายไป๋เฉ่า

คนผู้นั้นสวมเสื้อแพรสีขาวนวลจันทร์ คอเสื้อและปลายแขนเสื้อปักภาพไผ่สีเขียวอย่างประณีต ในมือถือพัด ท่วงท่างามสง่า ท่าทางขาวสะอาด มีสง่าราศีดั่งสายธารแห่งแสงจันทรา ทว่าใบหน้าของเขามีผ้าคลุมสีเดียวกับเสื้อผ้าปิดบังเอาไว้ จึงมองไม่ชัดว่าเขามีใบหน้าเป็นอย่างไร

“บ้าจริง! ” จอมวายร้ายไป๋เฉ่าหันกลับมามองเขา พลางสบถด่า “เล่นอันใดพิลึกพิลั่น ทำอันใดไร้ประโยชน์ ทั้งยังใส่ผ้าคลุมหน้าอีก น่าตกใจนักหรือ? ”

จอมวายร้ายไป๋เฉ่าพูดพลางยื่นมือไปเปิดผ้าคลุมหน้าของบุรุษผู้นั้น

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset