“คำนับโยวอ๋อง… ”
“คำนับพระชายาโยวอ๋อง… ”
ทุกคนต่างลุกขึ้นคำนับเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซี
เยี่ยโยวเหยามองไปข้างหน้า เขาจูงมือพาซูจิ่นซีมาทำความเคารพไทเฮา ฮ่องเต้ และฮองเฮา สามพระองค์
ไทเฮาแย้มพระสรวล พลางตรัสให้พวกเขาลุกขึ้น
แม้รอยแย้มพระสรวลบนพระพักตร์ของไทเฮาจะแสดงถึงความเมตตา ทว่าซูจิ่นซีทราบดีว่ามันเป็นสิ่งที่ไทเฮาพยายามปั้นแต่งขึ้น จากการกระทำเมื่อครั้งที่ซูจิ่นซีเข้ามาในตำหนักว่านโซ่วเป็นครั้งแรก กอปรกับความสัมพันธ์ระหว่างไทเฮากับเฉินไท่เฟย นางรู้ดีว่าไทเฮาไม่ใช่ผู้ที่สามารถรับมือได้โดยง่าย
เยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีเพิ่งจะลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นก็มีคนรนหาที่ตาย เขาเดินมายืนด้านหน้าเยี่ยโยวเหยาและเริ่มพูดสร้างความขัดแย้ง
ผู้ที่ยืนขึ้นคือแม่ทัพอวี่เหวิน ซึ่งเป็นคนของฮ่องเต้
“โยวอ๋อง ฝ่าบาทกับไท่จื่อทรงมอบของขวัญอวยพระพรวันพระราชสมภพแด่ไทเฮาแล้ว ท่านจะมอบของขวัญอันใดให้ไทเฮาหรือ? ”
ซูจิ่นซีอดหันไปมองด้านข้างของไทเฮาไม่ได้ ตรงนั้นมีไข่มุกราตรีวางอยู่หนึ่งเม็ด พระพุทธรูปหยกหนึ่งองค์ ล้วนเป็นของที่มีคุณภาพดีเยี่ยมและเป็นของหายากในใต้หล้า คงเป็นของขวัญที่ฮ่องเต้และเยี่ยเซินประทานให้องค์ไทเฮา
ซูจิ่นซีอดกังวลใจแทนเยี่ยโยวเหยาไม่ได้ วันนี้ตอนออกมาจากจวนโยวอ๋อง เยี่ยโยวเหยาไม่ได้ให้คนเตรียมของขวัญอันใดไว้เลย!
เขามามือเปล่าเช่นนี้ จะไม่เป็นข้อผิดพลาดที่ทำให้ผู้อื่นใช้เป็นข้ออ้างหรือ?
เขาจะเผชิญหน้ากับข้อกล่าวหานี้อย่างไร?
ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังครุ่นคิด ทันใดนั้นฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรก็ตรัสด้วยพระสุรเสียงดูหมิ่นเล็กน้อยว่า “โยวอ๋อง ข้าเห็นเจ้ากับพระชายามาร่วมงานมือเปล่า เจ้าคงไม่ได้เตรียมของขวัญอวยพรมาใช่หรือไม่? วันนี้เป็นวันพระราชสมภพของเสด็จแม่! แม้จะเป็นเพียงของขวัญอวยพรเล็กน้อยก็นับว่าเป็นความกตัญญู เจ้าทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมเท่าใดนักกระมัง? ”
ทันทีที่ฮ่องเต้ตรัสจบ ก็มีขุนนางใหญ่ฝ่ายฮ่องเต้ท่านหนึ่งคำนับไปทางบัลลังก์มังกร และกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “นี่แสดงให้เห็นว่า โยวอ๋องไม่เห็นฝ่าบาทกับไทเฮาอยู่ในสายตา”
“ใช่ โยวอ๋อง ท่านทำเช่นนี้บังอาจเกินไปแล้ว! ”
“โยวอ๋อง ปกติท่านอยู่ในราชสำนัก ทั้งยังคอยกดดันฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยตามอำเภอใจ ทว่าก็ไม่เป็นไร กลับคิดไม่ถึงว่าวันนี้ท่านจะบังอาจเช่นนี้ ท่านมีเจตนาอันใดกันแน่? ”
“หึ พระทัยของโยวอ๋อง ผู้คนต่างรู้ดี! ยังต้องถามอีกหรือ? ”
พระทัยของโยวอ๋อง ผู้คนต่างรู้ดี
หมายความว่าอย่างไร?
ทันทีที่ขุนนางเหล่านี้พูดออกไป ผู้อื่นที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างไม่พูดอันใดอีก กระทั่งดนตรีในงานก็หยุดบรรเลง พวกเขาเงยหน้ามองฮ่องเต้ที่ประทับบนบัลลังก์มังกร
ฮ่องเต้แสดงพระพักตร์ขึงขัง ไม่ตรัสอันใด พระบารมีอันสง่างามมีอำนาจ ทำให้ผู้คนในงานพิธีต่างหายใจไม่ทั่วท้อง
“ช่างเถิด ช่างเถิด! ข้าแก่ชรามากแล้ว จะมีของขวัญหรือไม่นั้น ข้าก็เป็นเพียงผู้ที่เท้าข้างหนึ่งก้าวเข้าไปอยู่ในโลงแล้ว จะสนใจเรื่องพวกนี้ด้วยเหตุใด! ”
แม้ไทเฮาจะตรัสจากพระโอษฐ์ของพระองค์เองว่าไม่ได้สนใจ ทว่าพระพักตร์กลับแสดงออกถึงอารมณ์ไม่เป็นสุขนัก
ในเวลานั้น ผู้ใดก็คาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะตรัสด้วยพระสุรเสียงเย็นชาว่า “โยวอ๋อง เจ้าต้องการก่อกบฏใช่หรือไม่? ”
ก่อกบฏ?
พระราชดำรัสสองคำนี้ของฮ่องเต้ ทำให้ขุนนางผู้ใหญ่จำนวนมากที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตื่นตระหนกหวาดกลัวในทันที พวกเขาตัวสั่นเทาไม่หยุด ต่างพากันผลักเก้าอี้และก้าวออกมาคุกเข่าอยู่เบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้
“ฝ่าบาท ข้าเหล่าขุนนางล้วนมีความซื่อสัตย์ภักดี”
ฮ่องเต้ไม่ได้ตรัสอันใด พระองค์ทอดพระเนตรเยี่ยโยวเหยาด้วยความกริ้ว
คาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะแสดงออกอย่างเคร่งขรึมเย็นชา ท่าทางสงบนิ่งราวกับไม่ได้ยินพระราชดำรัสของฮ่องเต้ เขาทำเพียงจูงมือซูจิ่นซีให้เดินไปนั่งที่ตำแหน่งของตน พลางหยิบผลไม้ชิ้นหนึ่งส่งให้นาง
การกระทำเช่นนี้เป็นการดูหมิ่นและยั่วยุต่ออำนาจอันยิ่งใหญ่ของฮ่องเต้
ฮ่องเต้ทุบโต๊ะและยืนขึ้น “โยวอ๋อง เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้ากำลังดูหมิ่นอำนาจของข้าอยู่ใช่หรือไม่? ”
เยี่ยโยวเหยายังคงไม่สนใจฮ่องเต้ เขาจงใจคีบอาหารป้อนใส่ปากซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าเยี่ยโยวเหยากำลังแสดงละครอันใด ทว่านางก็ให้ความร่วมมืออ้าปากรับประทานแต่โดยดี
ฮ่องเต้ทรงกริ้วเป็นอย่างมากจนไม่รู้จะกริ้วเช่นไรแล้ว พระองค์กำพระหัตถ์แน่น ในพระทัยคิดจะชักกระบี่แล้วตรงไปฆ่าเยี่ยโยวเหยาเสียตรงนั้น
นึกไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาที่อยู่ต่อหน้าขุนนางผู้ใหญ่มากมายกลับไม่เห็นแก่พระราชอำนาจของฮ่องเต้ ทั้งๆ ที่รู้ว่า ผู้ที่มายังตำหนักว่านโซ่วในวันนี้ล้วนเป็นพระญาติ และคนสำคัญของราชสำนักทั้งสิ้น
เยี่ยโยวเหยาทำเช่นนี้ เป็นการเหยียบย่ำพระราชอำนาจของฮ่องเต้โดยตรง
“สตรีงามเป็นเหตุแห่งหายนะ! ” ขุนนางผู้มีความรู้ต่างส่ายศีรษะแสดงความขุ่นเคืองต่อซูจิ่นซี
น่าเสียดาย ซูจิ่นซีไม่ได้สนใจอันใด เหตุการณ์เช่นนี้ให้เยี่ยโยวเหยาจัดการ ส่วนนางจะรับผิดชอบด้วยการนั่งดูละครเท่านั้น
“ทหาร… ” ทันใดนั้น ฮ่องเต้ก็เปล่งพระสุรเสียงเรียกองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกตำหนักว่านโซ่ว
เหล่าองครักษ์ในวังต่างถือดาบวิ่งเข้ามา และรอให้ฮ่องเต้ทรงรับสั่ง
ผู้คนล้วนตัวสั่นเทาราวกับเดินอยู่บนน้ำแข็งแผ่นบาง ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า… ”
ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยาก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น เสียงหัวเราะนั้นน่าเกรงขามยิ่งกว่าฮ่องเต้ เย็นชาเสียดแทงยิ่งกว่าพระสุรเสียงของฮ่องเต้ ทั้งยังแสดงถึงการดูหมิ่นอย่างร้ายแรง
เมื่อเยี่ยโยวเหยาหัวเราะเสร็จ เขาก็บรรจงเช็ดมุมปากของซูจิ่นซีทั้งที่ไม่มีสิ่งใดติดอยู่ แล้วลุกขึ้นพูดว่า “ข้าเพียงแสดงออกถึงความรักและเอ็นดูพระชายาเท่านั้น เส้นทางเข้าวังหลวงนั้นขรุขระ ข้าจึงปรนนิบัติให้นางได้พักสักครู่ ดื่มกินอันใดสักเล็กน้อย เสด็จพี่ เวลาเพียงเล็กน้อยก็รอไม่ได้แล้วหรือ? ”
ปรนนิบัติ…
โอ้ พระเจ้า!!!
ท่านอ๋องผู้มีฐานะสูงส่งบอกว่า เมื่อครู่ตนกำลังปรนนิบัติพระชายา เหล่าสตรีที่อยู่ในเหตุการณ์ที่ชื่นชอบเยี่ยโยวเหยา เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ต่างอิจฉาตาร้อนจนแทบคลั่ง และเกือบจะอาเจียนออกมาเป็นเลือด
กระทั่งเหล่าบุรุษที่อยู่ในเหตุการณ์ก็มองไปทางซูจิ่นซีด้วยสายตาเหลือเชื่อ
น่าเสียดาย สตรีผู้นั้นเพียงนั่งอย่างสงบและสง่างาม นางไม่พูดอันใด ไม่ทำสิ่งใด และไม่มีท่าทีเขินอาย
“หึ น่าขัน! โยวอ๋อง แม้แต่ของขวัญอวยพรวันพระราชสมภพของไทเฮา ท่านก็ไม่ได้นำมา ทั้งยังทำตัวไร้ยางอาย พลอดรักกับนางมารร้ายที่นี่ ท่านเห็นเชื้อพระวงศ์และเหล่าขุนนางที่อยู่ที่นี่เป็นอากาศใช่หรือไม่? ” ขุนนางผู้หนึ่งที่ก่อนหน้านี้กล่าวยั่วยุเยี่ยโยวเหยาพูดแทรกขึ้น
ทันทีที่ขุนนางผู้นั้นพูดจบ เยี่ยโยวเหยาก็ยกมือขึ้นโบก พลังภายในแข็งแกร่งโจมตีผ่านอากาศไปยังหน้าอกของขุนนางผู้นั้น เขากระอักเลือดเต็มปากและหมดสติอย่างกะทันหัน
ทันใดนั้นพลันเกิดเสียงร้องอุทานดังขึ้น แม้เหตุการณ์จะไม่วุ่นวายนัก ทว่าคนจำนวนมากยังคงตกใจอยู่ไม่น้อย
“โยวอ๋อง เจ้าฆ่าคนหรือ! วันนี้เป็นวันพระราชสมภพของไทเฮา เจ้าก่อกบฏจริงๆ ใช่หรือไม่? ” ฮ่องเต้ตรัสด้วยพระสุรเสียงเย็นชา พลางชี้หน้าเยี่ยโยวเหยา
“ผู้ที่พูดวาจาหยาบคายกับข้า ฆ่าไม่มีข้อยกเว้น! ” เยี่ยโยวเหยาพูดอย่างเฉยเมย ทว่ารู้สึกได้ถึงความเยือกเย็น
เมื่อเยี่ยโยวเหยาเอ่ยคำพูดนี้ออกมา กระทั่งฮ่องเต้และไทเฮายังสะดุ้งเล็กน้อย
ทว่าไทเฮายังมีไหวพริบ
พระนางรู้ดีว่า ในเวลานี้โยวอ๋องมีอำนาจควบคุมราชสำนัก เป็นอำนาจที่ไม่ควรประมาท ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะจัดการกับโยวอ๋อง
ไทเฮาทรงแย้มพระสรวลแล้วตรัสว่า “ช่างเถิด! ความกตัญญูของโยวอ๋อง ข้ารู้ดีที่สุด พวกเจ้าบีบคั้นโยวอ๋องเช่นนี้ ข้าในฐานะมารดาเห็นแล้วปวดใจยิ่งนัก! งานฉลองวันพระราชสมภพของข้าครั้งนี้จัดอย่างรีบเร่ง อีกอย่าง หลายวันก่อนโยวอ๋องกับพระชายาโยวอ๋องได้เดินทางไปยังแคว้นหนานหลีเพื่อหาสมุนไพรและนำกลับมารักษาทหารที่ถูกพิษในค่าย เดิมทีพวกเขาก็มีเวลาจำกัดอยู่แล้ว หากไม่ได้จัดเตรียมของขวัญก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้าเองไม่ได้ติดใจเอาความ แล้วพวกเจ้าจะข้องใจจนไม่ยอมเลิกราเพื่ออันใด? ”
ท้ายที่สุด ไทเฮาก็ตรัสเสริมอย่างมีเมตตาว่า “ทว่าโยวอ๋อง! ของขวัญอวยพรนี้ข้าจะจำเอาไว้! เจ้าต้องชดเชยให้ข้าในภายหลัง! ”
วันนี้เยี่ยโยวเหยาทำให้ฮ่องเต้เสียพระเกียรติอย่างมาก พระองค์จึงไม่คิดปล่อยเยี่ยโยวเหยาไปโดยง่าย
ฮ่องเต้เปล่งพระสุรเสียงอย่างไม่เต็มพระทัย “เสด็จแม่… ”
“พอเถิด! ” ไทเฮาตรัสด้วยพระพักตร์ขุ่นเคืองเล็กน้อย “งานพิธีวันพระราชสมภพกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี กลับถูกพวกเจ้าก่อกวนจนกลายเป็นเช่นนี้ จะให้ข้ามีความสุขได้อย่างไร? ”
ฮ่องเต้ประทับบนบัลลังก์มังกรด้วยพระพักตร์ขุ่นเคือง พลางยกจอกสุราบนโต๊ะที่อยู่ใกล้พระหัตถ์ขึ้นดื่ม
คาดไม่ถึงว่า จู่ๆ เยี่ยโยวเหยาจะพูดขึ้น “ผู้ใดบอกว่าข้าไม่ได้เตรียมของขวัญอวยพระพรให้องค์ไทเฮา? ”
อะไรนะ?
เยี่ยโยวเหยาเตรียมของขวัญมาจริงๆ หรือ?
คืออันใด???
เหตุใดจึงไม่นำออกมาตั้งแต่แรก?
คราวนี้ ไม่เพียงแต่ฮองเฮาและเหล่าขุนนางที่นั่งอยู่เท่านั้นที่แสดงความประหลาดใจ แม้แต่ซูจิ่นซีเองก็เงยหน้าขึ้นมองเยี่ยโยวเหยาที่ยืนเคร่งขรึมอยู่ข้างนางอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
บุรุษผู้นี้ ต้องการแสดงละครอันใดอีก?