สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 239 ท่านอ๋อง ท่านพอพระทัยหรือไม่?

วิธีการดื่มเช่นนี้ของหวาหรงจวิ้นจู่ เป็นการดื่มที่อาจทำให้ตนเองตายได้!

แน่นอนว่า หวาหรงจวิ้นจู่เป็นคนแรกที่ล้มลงไปบนพื้นอย่างไม่ต้องสงสัย

ยังเหลืออีกสี่คน

นางกำนัลพยุงหวาหรงจวิ้นจู่กลับวังหลัง ส่วนเห่อหลานจูและคนอื่นที่เหลือยังแข่งขันกับซูจิ่นซีต่อ

วิธีการดื่มของซูจิ่นซีดูเหมือนช้า ทว่าความจริงแล้วกลับไม่ด้อยไปกว่าเห่อหลานจูและคนอื่นๆ ที่ดื่มจากชามเลย

ในการดื่มสุรารอบที่สามนั้น ความเร็วของซูจิ่นซีเท่ากับเห่อหลานจูแล้ว นางทิ้งห่างเห่อหลานหมิ่นและอวี่เหวินหลันไว้ข้างหลัง

ใบหน้าของเห่อหลานหมิ่นกับอวี่เหวินหลันแดงก่ำดั่งเปลวไฟ ร่างกายโงนเงน มือที่ยกชามสุราขึ้นดื่มส่ายไปมา ชัดเจนแล้วว่าพวกนางไม่สามารถดื่มต่อได้แล้ว ทว่าพวกนางยังไม่ยอมรามือง่ายๆ

เห่อหลานหมิ่นและอวี่เหวินหลันถือชามสุราค้างไว้ ไม่ขยับเขยื้อน จากนั้นเห่อหลานหมิ่นก็ล้มลงไป ตามมาด้วยอวี่เหวินหลันอีกคน ทั้งสองนางล้มพับอยู่ใต้โต๊ะ นางกำนัลแบกอย่างไรก็แบกไม่ขึ้น

สุดท้ายเหลือเพียงเห่อหลานจูผู้เดียวที่เป็นคู่ต่อสู้ของซูจิ่นซี

“ไร้ประโยชน์! ”

เห่อหลานจูด่าทอเห่อหลานหมิ่นและอวี่เหวินหลันอย่างรุนแรง จากนางก็กลับมาดื่มสุราแข่งกับซูจิ่นซีต่อ

เข้าสู่รอบที่สี่ สุราทั้งสิบไหที่อยู่วางอยู่บนพื้น พวกนางดื่มไปไม่น้อยแล้ว

ท้ายที่สุด ในรอบที่สี่นี้ ขณะที่ดื่มสุราชามที่ห้า แม้ซูจิ่นซีจะช้ากว่าเห่อหลานจูอยู่ก้าวหนึ่ง แต่เห็นได้ชัดว่าเห่อหลานจูดื่มไม่ไหวแล้ว

เห่อหลานจูกรอกสุราเข้าปากราวกับกลืนรำข้าว

แม้ซูจิ่นซีจะช้ากว่า ทว่านางก็เริ่มมึนเล็กน้อย แต่ยังไม่แสดงออกอย่างชัดเจนนัก

เห่อหลานจูดื่มสุราชามที่ห้าด้วยความยากลำบาก ส่วนซูจิ่นซีเพิ่งหยิบสุราชามที่สี่ขึ้นมา

“พระชายาโยวอ๋อง ท่าน… ”

ทันใดนั้น เห่อหลานจูราวกับนึกอันใดขึ้นมาได้

นางเพิ่งตระหนักได้ว่า ความจริงแล้วนางและหวาหรงจวิ้นจู่ช่างโง่เขลานัก วิธีการแข่งขันตามที่ซูจิ่นซีพูดก่อนเริ่มแข่งคือ ดื่มมากน้อยไม่จำกัด ทว่าผู้ใดที่ดื่มแล้วล้มก่อนคือผู้แพ้

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ แม้พวกนางจะดื่มไม่มาก ทว่าตราบใดที่คู่ต่อสู้ล้มลงไปก่อน พวกนางก็จะเป็นฝ่ายชนะ แต่พวกนางดื่มหนักถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าย่อมเป็นฝ่ายล้มก่อน!

พวกนางวู่วามเกินไป ตื่นเต้นเกินไป จนไม่ทันระมัดระวังช่องโหว่ในคำพูดของซูจิ่นซี

แม้ตอนนี้เห่อหลานจูเพิ่งจะเข้าใจ ทว่าไม่ทันการณ์เสียแล้ว

เพราะซูจิ่นซีที่อยู่ตรงหน้านางในตอนนี้ได้กลายเป็นสองคน จากสองคนกลายเป็นสามคน ท้องฟ้าและพื้นดินกำลังหมุนวน ทุกอย่างในตำหนักว่านโซ่วล้วนกลับหัวกลับหาง สิ่งของล้มระเนระนาด ทันใดนั้นดวงตาของเห่อหลานจูก็มืดสนิท นางหมดสติล้มพับไปทันที

เห่อหลานจูดื่มจนล้มพับไปแล้ว

ทว่าซูจิ่นซียังนั่งบนเก้าอี้อย่างมั่นคง และดื่มสุราต่อไป

ซูจิ่นซีดื่มชามที่สี่หมดแล้วก็ดื่มชามที่ห้าต่อ จากนั้นก็ดื่มชามที่หกจนหมด นางดื่มได้มากกว่าเห่อหลานจูหนึ่งชามพอดี เมื่อดื่มหมดแล้วก็ยืนขึ้น

ใบหน้าของซูจิ่นซีเต็มไปด้วยเกียรติของผู้ชนะ นางมองไปรอบๆ ด้วยท่าทีมั่นใจและภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก ภายใต้การจ้องมองของซูจิ่นซี เหล่าสตรีที่มีใจคิดท้าทายนางพลันหน้าถอดสี

จากนั้นซูจิ่นซีก็เดินไปด้านหน้าเยี่ยโยวเหยา นางเผยรอยยิ้มแห่งชัยชนะที่มุมปาก “ท่านอ๋อง หม่อมฉันทำให้ท่านพอพระทัยหรือไม่เพคะ? ”

ซูจิ่นซีในเวลานี้มีอาการเมาเล็กน้อย นางดื่มสุราไปมากมายเพียงนั้น ทว่ายังสามารถยืนอยู่ต่อหน้าเยี่ยโยวเหยาได้อย่างไม่บุบสลาย เยี่ยโยวเหยาจึงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง

เยี่ยโยวเหยายืนขึ้นด้วยความพอใจเป็นอย่างมาก เขาเดินมาด้านหน้าซูจิ่นซีและกุมมือนางไว้

“พอใจแน่นอน พระชายาที่รักดื่มสุราได้เก่งถึงเพียงนี้ ในใต้หล้ายังมีผู้ใดกล้าแข่งดื่มสุรากับพระชายาที่รักได้อีก? ”

ขณะที่พูด เยี่ยโยวเหยาก็โอบเอวซูจิ่นซีให้มายืนเบื้องหน้าตน จากนั้นจึงจุมพิตหน้าผากของซูจิ่นซีท่ามกลางสายตาของทุกคน

นอกจากขุนนางฝ่ายโยวอ๋องที่พึงพอใจและยินดีในผลการแข่งขันของซูจิ่นซีแล้ว สตรีนางอื่นที่ชื่นชอบเยี่ยโยวเหยา ต่างพากันอิจฉาตาร้อนจนแทบคลั่ง

“โอ้ พระชายา ขออภัย ขออภัย ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เพียงต้องการมาดื่มสุราแสดงความยินดีกับท่านสักจอก นึกไม่ถึงว่าพื้นจะลื่น”

ในเวลานั้นเอง ไม่รู้ว่าไหวหยางจวิ้นจู่เดินมาทางด้านหลังของซูจิ่นซีตั้งแต่เมื่อใด นางราดสุราหนึ่งถ้วยลงบนร่างของซูจิ่นซี

แววตาเยี่ยโยวเหยาเย็นชาขึ้นมาในทันที

ซูจิ่นซีขมวดคิ้วมุ่น นางรีบหยิบผ้าออกมาเช็ด ทว่าชุดของนางเปียกจนเห็นชัดเจนมากเกินไป

“ไหวหยางจวิ้นจู่ เจ้าคิดจะทำอันใด? เดินไม่ระวังเลยจริงๆ ! ”

ทันใดนั้น ไทเฮาที่ประทับอยู่บนพระที่นั่งสูงก็ตรัสขึ้น ซึ่งเป็นเวลานานแล้วที่พระองค์ไม่ได้พูดอันใด!

“หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจเพคะ ทว่าเมื่อครู่นี้ ตอนที่พระชายาโยวอ๋องกับหวาหรงจวิ้นจู่และพวกของนางแข่งดื่มสุราอยู่นั้น ได้ทำสุราหกลงบนพื้น หม่อมฉันไม่ทันระวังจึงเหยียบสุราเข้าเพคะ”

ไหวหยางจวิ้นจู่แสดงท่าทีเสียใจอย่างหาได้ยากยิ่ง

“เช่นนั้นเจ้าจะยืนอึ้งทำอันใด ยังไม่รีบพาพระชายาโยวอ๋องไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก พิธีสำคัญเช่นนี้ มีอย่างที่ไหนทำให้เสื้อผ้าเลอะเทอะ”

“ใช่ ใช่ ใช่ ไทเฮาตรัสสั่งสอนได้ถูกต้อง หม่อมฉันจะพาพระชายาโยวอ๋องไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเพคะ”

จากนั้น ไหวหยางจวิ้นจู่ก็หันมาพูดกับซูจิ่นซีว่า “พระชายาโยวอ๋อง ขออภัยจริงๆ ! เป็นข้าที่ไม่ทันระวัง ข้าจะพาท่านไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ด้านหลัง ท่านโปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิด! ”

ท่าทางเช่นนี้ ราวกับนางรู้สึกผิดอย่างจริงใจ

ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า…

เหตุใดซูจิ่นซีถึงรู้สึกคุ้นเคยกับลูกไม้ตื้นๆ เช่นนี้!

เมื่อก่อนตอนที่ดูละครเกี่ยวกับวังหลวง นางเห็นฉากนี้เป็นประจำ โดยทั่วไป หากเจ้าเดินตามเข้าไปด้านหลัง จะต้องมีกับดักร้ายเตรียมไว้ให้เจ้าอย่างแน่นอน หากไม่ถูกบุรุษอื่นวางยาเสน่ห์ ก็ต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้วางเพลิงฆ่าคนเป็นแน่

“พระชายาโยวอ๋อง ท่านคงไม่ใช่คนใจคอคับแคบหรอกกระมัง? ข้าไม่ได้ตั้งใจ ให้ข้าพาท่านไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าดีหรือไม่? ท่านให้อภัยข้าเถิด! ”

ไหวหยางจวิ้นจู่มองซูจิ่นซีที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่ นางจึงถามซ้ำ

ในสถานการณ์เช่นนี้ เดิมทีซูจิ่นซีควรเลือกปฏิเสธ จึงจะเป็นวิธีที่ฉลาดที่สุด ทว่าวันนี้ซูจิ่นซีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ นางเกิดความคิดต้องการเดิมพัน นางต้องการเล่นสนุกกับไหวหยางจวิ้นจู่และไทเฮาสักเล็กน้อย ดูสิว่าเบื้องหลังจะมีอันใดแอบซ่อนไว้กันแน่

“ไหวหยางจวิ้นจู่ ให้ข้าอภัยแก่ท่านก็ย่อมได้ ทว่าท่านต้องตอบคำถามข้าหนึ่งข้อ”

“คำถามอันใด? ” ไหวหยางจวิ้นจู่พูดด้วยรอยยิ้ม

“เมื่อครู่ หวาหรงจวิ้นจู่กับพวกของนางล้วนพูดว่าข้าเป็นคนไร้ประโยชน์คนหนึ่ง ไม่คู่ควรกับท่านอ๋อง ท่านลองตอบข้ามาสิว่า ตอนนี้ข้าคู่ควรหรือไม่? ”

ไหวหยางจวิ้นจู่คิดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะถามคำถามเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของนางแข็งทื่อเล็กน้อย

หากนางพูดว่าไม่คู่ควร คงไม่เหมาะสมเท่าใดนัก หากพูดว่าคู่ควร ทว่าเพราะคำยั่วยุของนางกับเว่ยเหม่ยเจีย หวาหรงจวิ้นจู่กับพวกของนางจึงท้าทายซูจิ่นซี หากตอนนี้นางยอมรับ จะไม่เป็นการตบปากตนเองหรอกหรือ?

ซูจิ่นซี…. ร้ายกาจยิ่งนัก!

ไหวหยางจวิ้นจู่เกลียดชังซูจิ่นซีจนกัดฟันกรอด ทว่าใบหน้ากลับเผยรอยยิ้ม

“คู่ควร คู่ควร เดิมทีพระชายาโยวอ๋องกับโยวอ๋องก็เป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากอยู่แล้ว เหตุใดพวกนางถึงพูดว่าไม่คู่ควรเล่า! ”

“เจ้าพูดว่าคู่ควรเพียงผู้เดียวจะมีประโยชน์อันใด? ลูกสะใภ้ของเจ้าเล่า คิดว่าอย่างไร? ” ซูจิ่นซีหันไปถามเว่ยเหม่ยเจียที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ

ในเวลานี้ ภายในใจของเว่ยเหม่ยเจียกำลังสับสน นางอิจฉาซูจิ่นซี อิจฉาจนอกแทบแตกอยู่แล้ว นึกไม่ถึงว่าซูจิ่นซียังจะเอาเกลือสาดลงบนแผลนั้นอีก…

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset