สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 248 คนที่รักที่สุดกลายเป็นแพะรับบาป

ตำหนักภายในพระราชวังทุกแห่งมักสร้างอย่างโอ่โถง โดยเฉพาะตำหนักซึ่งเป็นที่ประทับของฮ่องเต้กับฮองเฮา ช่างโออ่าหรูหรายิ่งนัก

ทว่าด้วยเหตุนี้ จึงทำให้รู้สึกเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง

ประตูตำหนักบานเขื่องปิดลง ซูจิ่นซีค่อยๆ เดินเข้าไปยังห้องด้านในของฮองเฮา เสียงไอรุนแรงดังออกมาจากด้านใน เหมือนเสียงครวญครางกระชากวิญญาณจากแดนนรกอันไกลโพ้น

หากไม่ใช่เพราะซูจิ่นซีไม่เชื่อเรื่องผีสางนางไม้ นางต้องตกใจกลัวมากทีเดียว

ฮองเฮาเห็นซูจิ่นซีเดินเข้ามาจึงยกศีรษะขึ้นด้วยความยากลำบาก พระพักตร์ซีดเซียวไร้เลือดฝาด “ซูจิ่นซี เจ้า… เจ้ามาที่นี่ทำไม? ”

ซูจิ่นซีไม่ตอบอันใด นางเดินเข้าไปจับชีพจรฮองเฮา

ระบบถอนพิษได้แจ้งเตือนแล้วว่า ฮองเฮาติดเชื้อกามโรค

“ซูจิ่นซี เจ้ามาตำหนักข้าด้วยเหตุใด? ”

ฮองเฮาทรงทราบเรื่องที่เกิดขึ้นด้านนอกแล้ว อีกทั้งองครักษ์ภายในพระราชวังทั้งหมดล้วนถูกเปลี่ยนเป็นองครักษ์ของฝ่ายโยวอ๋อง แม้ฮ่องเต้จะยังอยู่ ทว่าพระองค์คงอยู่บนบัลลังก์ได้อีกไม่นาน หากโยวอ๋องไม่ปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้ ก็คงบีบบังคับให้ฮ่องเต้สละราชบัลลังก์ และสนับสนุนองค์รัชทายาทหรือองค์ชายที่ทรงพระเยาว์ขึ้นครองราชย์แทน จากนั้นก็ลดฐานันดรศักดิ์ของฮ่องเต้ให้เป็นเพียงเจ้าผู้ครองเมืองเท่านั้น

ทว่ารัชทายาทเติบใหญ่แล้ว และมีกำลังอำนาจเป็นของตนเอง ทำให้ควบคุมได้ยาก เป็นไปได้ว่าโยวอ๋องอาจสนับสนุนองค์ชายที่ทรงพระเยาว์ให้ขึ้นครองราชย์แทน

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเยี่ยโยวเหยาจะเลือกเช่นไร ย่อมต้องมีซูจิ่นซี… พระชายาผู้เป็นที่รัก ในเวลานี้ สตรีนางนี้ควรยืนอยู่ที่ตำหนักหน้าด้วยความภาคภูมิใจถึงจะถูก นางมาที่ตำหนักในเพื่อการใด?

“ฮองเฮาไม่ทรงห่วงใยฝ่าบาทบ้างหรือ? เหตุใดทรงไม่สอบถามว่าตอนนี้ฝ่าบาทเป็นเช่นไร ฝ่าบาททรงรักและเอ็นดูพระองค์มาตลอด! ” ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากแผ่วเบา พลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ฮองเฮาไม่สามารถประคองพระวรกายที่อ่อนแอได้นาน พระองค์เงยพระพักตร์ขึ้นจากแท่นบรรทม และค่อยๆ หลับตาลง “หากพระชายาโยวอ๋องร้อนใจ รีบมาเพื่อชิงตำหนักจ้งหวาไปจากข้า ข้าขอเตือนพระชายาโยวอ๋อง ท่านไม่ต้องทำให้เสียแรงเปล่า ข้าคงมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน รอให้ข้าตายไปและโยวอ๋องเสด็จขึ้นครองราชย์ ตำหนักจ้งหวาต้องเป็นของท่านอย่างแน่นอน”

ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย นางไม่ได้บอกความจริงฮองเฮาว่า เยี่ยโยวเหยาไม่มีความคิดที่จะขึ้นครองราชย์แต่อย่างใด

ยิ่งไม่คิดสนับสนุนองค์ชายที่ทรงพระเยาว์ขึ้นครองราชย์ส่วนตนเองเป็นผู้สำเร็จราชการในราชสำนัก

ฮ่องเต้ยังเป็นฮ่องเต้ โยวอ๋องยังเป็นโยวอ๋อง ทว่าเรื่องในตำหนักว่านโซ่วทรงกระทบกระเทือนพระทัยฮ่องเต้อย่างมาก เวลานี้พระองค์ทรงประชวรหนัก ไม่มีกำลังมาดูแลงานบ้านเมืองในราชสำนัก ไท่จื่อจึงได้รับบัญชาให้ดูแลราชกิจแทน

แม้แต่ขุนนางน้อยใหญ่ทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ในราชสำนัก ก็มองไม่ออกว่าเยี่ยโยวเหยากำลังคิดการใด ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงฮองเฮา

ซูจิ่นซีหยิบขวดยาออกมาจากแขนเสื้อสองขวด ขวดยาทั้งสองล้วนทำมาจากเครื่องเคลือบศิลาดล [1] ทว่ากลับมีเนื้อสีแทรกแตกต่างกัน ขวดหนึ่งเป็นสีแดง ขวดหนึ่งเป็นสีดำ

ซูจิ่นซีหยิบขวดยาสีแดงวางไว้เบื้องพระพักตร์ฮองเฮาก่อน “ขวดนี้เป็นตัวยาที่ทำให้ท่านสามารถแสร้งทำเป็นตายได้ สามวันหลังจากดื่มยาขวดนี้ลงไป ข้าจะนำตัวท่านออกจากวังไปพบกับหลวงจีนทุศีล และปล่อยพวกท่านไป”

ฮองเฮาเบิกพระเนตรทั้งสองกว้าง พระองค์มองซูจิ่นซีด้วยสายตาประหลาดใจ “ซูจิ่นซี เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้ เจ้าทำอันใดกับเขา? ”

ซูจิ่นซีไม่ตอบคำถามของฮองเฮา นางหยิบขวดยาสีดำยื่นให้ฮองเฮา และพูดว่า “แน่นอน ท่านสามารถดื่มยาขวดนี้ได้เช่นกัน เพียงครึ่งชั่วยามที่ท่านดื่มลงไป เลือดจะไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดจนตาย แต่นี้ต่อไปท่านก็จะหลุดพ้น”

พูดจบ ซูจิ่นซีก็หันหลังและเตรียมเดินจากไป ทันใดนั้น ฮองเฮาก็ดึงรั้งแขนเสื้อของซูจิ่นซี พลางลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก “ซูจิ่นซี เจ้าคิดจะทำอันใดกันแน่? เจ้าทำอันใดกับหลวงจีนทุศีล? เขาแลกเปลี่ยนอันใดกับเจ้า? เหตุใดเจ้าต้องช่วยเหลือพวกเราสองคน? เจ้ามีแผนการอันใด? ”

ฮองเฮาไม่เชื่อว่า ซูจิ่นซีจะช่วยเหลือนางด้วยความจริงใจ

ซูจิ่นซีเห็นท่าทางเช่นนี้ของฮองเฮา จู่ๆ นางก็คิดจะหยั่งเชิง

ตอนที่อยู่ในคุกหลวง นางได้ยินหลวงจีนทุศีลเปิดเผยว่าชื่อที่แท้จริงของมารดานางคือจงซีจือ เรื่องอื่นเขาไม่ได้พูดอันใด บางทีตอนนี้นางอาจได้รู้เรื่องราวเพิ่มเติมจากปากของฮองเฮา

ซูจิ่นซีครุ่นคิดอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ก่อนพูดขึ้นว่า “เพราะว่า… จงซีจือ… ”

“จงซีจือ… ” เมื่อฮองเฮาได้ยินชื่อนี้ จู่ๆ ก็คลายมือที่จับแขนเสื้อซูจิ่นซี น้ำตาพลันไหลออกมาดั่งสายฝน “จงซีจือ… ”

“เขาเล่าเรื่องราวเมื่อแปดปีก่อนให้ข้าฟังหมดแล้ว” ซูจิ่นซี พูดด้วยความระมัดระวัง

“ทั้งหมดหรือ? ” ฮองเฮาค่อยๆ หันไปมองซูจิ่นซี แววตาแสดงออกอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “รวมถึงเป้าหมายในปีนั้น ที่พวกเราเดินทางจากแคว้นหนานหลีมายังแคว้นจงหนิงด้วยอย่างนั้นหรือ? ”

มารดาของนางเป็นคนแคว้นหนานหลีจริงๆ หรือนางจะเป็นคนสกุลจงจากแคว้นหนานหลี?

เป้าหมายที่พวกเขามายังแคว้นจงหนิงคืออันใด?

ฮองเฮาเห็นซูจิ่นซีแสดงอาการครุ่นคิด พลันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทันใดนั้นพระองค์ก็ชี้หน้าซูจิ่นซี และตรัสว่า “ไม่ ไม่ใช่ ซูจิ่นซี เจ้ากำลังถามหยั่งเชิงข้า อวิ๋นเกอไม่มีทางหักหลังท่านมหาอุปราช ไม่มีทางแน่นอน”

มหาอุปราช?

คือผู้ใด?

ความจริงอันใดที่หลบซ่อนอยู่ในความมืด คล้ายกับว่าเมฆหนาทึบที่ปกปิดอยู่นั้นพลันจางหาย ทำให้พอเห็นเค้าลางของความจริงบ้างแล้ว มันค่อยๆ เผยแสงสว่างออกมาให้เห็น บางทีนี่อาจเป็นคำตอบที่นางต้องการจะรู้ แววตาของซูจิ่นซีปรากฏความตื่นเต้น ทว่ายังสามารถเก็บอารมณ์ไว้ในเบื้องลึกของจิตใจได้

ซูจิ่นซีพูดขึ้นอีกครั้งด้วยความระมัดระวัง “ทำไมเล่า? หากไม่ใช่เพราะมหาอุปราช พวกเจ้าคงไม่ต้องจากบ้านไกลเมือง ละทิ้งทุกอย่างเพื่อมายังแคว้นจงหนิง มิฉะนั้น พวกเจ้าคงได้อยู่กับคนที่รักไปจนแก่เฒ่า ใช้ชีวิตเหมือนดั่งปุถุชนคนธรรมทั่วไป”

“ฮ่าฮ่าฮ่า” จู่ๆ ฮองเฮาก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เสียงหัวเราะนั้นแม้จะดูหยิ่งทะนง ทว่าซูจิ่นซีเห็นหยาดน้ำตาที่หางตาของฮองเฮาได้อย่างชัดเจน “ซูจิ่นซี เจ้าคิดจะหยั่งเชิงข้าอีกแล้วหรือ? ข้าไม่มีทางหลงกลเจ้า ข้ากับอวิ๋นเกอรักใคร่กัน แม้จะผ่านความทุกข์ทรมานมาไม่น้อย ทว่าตอนนั้นข้าได้สละซึ่งทุกสิ่งอย่างเพื่อมายังแคว้นจงหนิงกับซีจือ ข้ากับอวิ๋นเกอได้ละทิ้งผลประโยชน์ทุกอย่าง พวกเราสามารถละทิ้งทุกอย่างเพื่อแคว้นบ้านเกิดและเผ่า ดังนั้น ซูจิ่นซี เจ้าไม่มีทางเข้าใจ อวิ๋นเกอไม่มีทางทรยศหักหลังเผ่าแน่นอน”

คิดไม่ถึงว่าฮองเฮาจะทรงฉลาดหลักแหลมรอบคอบถึงเพียงนี้ ซูจิ่นซีจึงล้มเหลวในการถามหยั่งเชิง

ซูจิ่นซีมองไปที่ขวดยาสองขวดบนแท่นบรรทมและพูดว่า “จะเลือกเช่นไร ท่านลองไตร่ตรองดูให้ดีเถิด! จะอยู่หรือตาย ท่านจะปลิดชีพตนเองในวัง หรือจะพยายามสลัดทิฐิภายในจิตใจ เพื่อชดเชยให้กับความสูญเสียและความเสียใจที่ผ่านมา ล้วนอยู่ที่การไตร่ตรองของท่านในครั้งนี้”

ซูจิ่นซีพูดจบ นางมองฮองเฮาด้วยสายตาลึกซึ้ง ก่อนจะหันหลังเดินออกจากตำหนักจ้งหวาไป

เมื่อเห็นว่าซูจิ่นซีเดินคล้อยหลังไปแล้ว ฮองเฮาก็ล้มลงนอนบนแท่นบรรทมอย่างไร้เรี่ยวแรง

ประโยคสุดท้ายเหล่านั้นของซูจิ่นซี หมายความว่าอย่างไรกันแน่?

อวิ๋นเกอบอกเรื่องราวทั้งหมดในปีนั้นให้นางฟังหรือไม่?

นางล่วงรู้ความลับอันใดหรือไม่?

แม้พระพักตร์ของฮองเฮายามพูดคุยกับซูจิ่นซีจะสงบนิ่ง แสดงท่าทีราวกับไม่สนใจ ทว่ามีเพียงยามที่ไม่มีผู้อื่นเท่านั้น พระองค์ถึงกล้าเปิดเผยความเจ็บปวด ทุกข์ระทมในใจของตนออกมา

กล่าวอย่างไม่ละอาย หากพูดว่าพระองค์สามารถละทิ้งทุกอย่างเพื่อชาติบ้านเมืองและเผ่า ล้วนเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งสิ้น

สตรีที่งดงาม ยอมละทิ้งโอกาสที่จะแสดงความเจิดจรัสของชีวิตในวัยที่สมบูรณ์พร้อมที่สุด เพื่อมาใช้ชีวิตแต่ละวันอยู่บนเส้นทางที่สวนกับความปรารถนาในจิตใจของตน ผู้ใดจะสามารถทำใจได้?

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระองค์ได้ดึงคนที่ตนเองรักมากที่สุดให้กลายเป็นแพะรับบาปไปด้วย

หลังจากที่ซูจิ่นซีเดินออกจากตำหนักจ้งหวาไป นางก็ไม่คิดจะอยู่ต่อ ดังนั้นจึงเดินออกจากตำหนักทันที ทว่าขณะที่ซูจิ่นซีกำลังเดินออกจากประตูตำหนัก นางกลับพบกับคนผู้หนึ่ง

เป็นผู้ใด?

……

เชิงอรรถ

[1] เครื่องเคลือบศิลาดล คือ เครื่องลายครามจีนสมัยโบราณ หรือเรียกว่า “เครื่องเคลือบเขียว” สีจะไม่ใช่สีเขียวบริสุทธิ์เสียทีเดียวแต่จะมี สีขาวดวงจันทร์ สีฟ้า สีเขียว สีชมพู สีลูกพลัม สีถั่วเขียว สีเขียวมรกต และสีอื่นๆ ผสมแทรกอยู่ในเครื่องเคลือบ

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset