สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 87 มีอีกแผนหนึ่ง

        กลางคืนที่เงียบสงัด เมฆดำเริ่มปรากฏบนขอบฟ้าในยามพลบค่ำ และหลังอาหารมื้อเย็นฝนก็เริ่มตกปรอยๆ ข้างนอกหน้าต่าง

        ซูจิ่นซีให้แม่นมฮวาและลวี่หลีนำกระถางดอกไม้ที่ตากแดดไว้หนึ่งวันข้างนอกเข้ามาที่เรือนอวิ๋นไค เมื่อไม่มีสิ่งใดให้ทำ ซูจิ่นซีจึงเริ่มตัดแต่งกิ่งที่ออกดอกนั้นด้วยตนเอง

        บางครั้งยังถือโอกาสกวาดสายตามองสถานการณ์ภายในตำหนักฝูอวิ๋นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเช่นกัน

        เริ่มแรกภายในตำหนักดูเหมือนจะมีหมอกไอน้ำ ราวกับเยี่ยโยวเหยากำลังอาบน้ำอยู่

        คนผู้นี้ไม่ใช่ว่าอาบน้ำตอนกลางวันหรอกหรือ? เหตุใดตอนกลางคืนยังอาบอีก?

        จะรักความสะอาดอันใดถึงเพียงนี้!

        ซูจิ่นซีไม่มีความคิดที่จะตัดแต่งกิ่งดอกไม้อีกต่อไป นางย้ายเก้าอี้ไปที่ข้างหน้าต่าง นั่งลงและเท้าคางไว้บนโต๊ะ สายตาทอดมองไปยังร่างสูงใหญ่ที่หน้าต่างฝั่งตรงข้าม จิตใจค่อยๆ ล่องลอยไปสุดขอบฟ้า

        หลังจากอาบน้ำเสร็จ เยี่ยโยวเหยาก็เปลี่ยนมาใส่ชุดนอนที่หลวมสบาย และเริ่มลงมือจัดการกับเอกสาร คาดไม่ถึงว่าโต๊ะทรงงานของเยี่ยโยวเหยาที่ตำหนักฝูอวิ๋นจะอยู่ที่หน้าต่างพอดิบพอดี ร่างที่สง่างามนั้นจึงตกอยู่ในสายตาของซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซีมองดู นางอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปสัมผัส ทว่ากลับสัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า

        ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็กลับมารู้สึกตัว พลันนึกขึ้นได้ถึงเรื่องเมื่อครู่ที่นางมองเยี่ยโยวเหยาอย่างไร้สติและกระทำบางอย่างลงไป ซูจิ่นซีลืมตาขึ้น แก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อ

        ดูเหมือนว่าเรื่องเมื่อครู่เป็นเพียงความรู้สึกนึกคิด ไม่ใช่ความจริง นางยกมือทั้งสองข้างลูบแก้มตนเองแรงๆ แล้วถอนหายใจยาว

        ทว่าร่างนั้นราวกับถูกมนต์สะกดไว้ เหมือนมีมนต์เสน่ห์ดึงดูดอย่างไรอย่างนั้น คอยแต่จะดึงดูดสายตาของซูจิ่นซีไม่หยุด

        นางอยากมองอีก!

        มองเพียงแวบเดียว มองแวบเดียวได้หรือไม่?

        ในใจของซูจิ่นซีเต้น ‘ตึกตักตึกตัก’ ไม่เป็นจังหวะ นางค่อยๆ หันศีรษะกลับไป คาดไม่ถึงว่าเมื่อได้มองแล้วจะทำให้นางขาดสติไปอีกครา

        ก่อนหน้านี้ หลังจากที่ซูจิ่นซีได้ทำการรักษาโรคให้ฮองเฮาแล้ว เยี่ยเซินกลับตั้งใจปิดบังเรื่องราวไม่ให้แพร่งพรายออกไป ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใด เมื่อเหลือเวลาเพียงสามสี่วันก่อนถึงกำหนดเส้นตายที่ซูจิ่นซีต้องปิดคดี เรื่องนี้กลับแพร่กระจายออกไปให้ผู้คนทั่วตรอกซอกซอยของเมืองตี้จิงได้รับรู้ ทั้งยังลือไปไกลถึงนอกเมืองหลวงอีกด้วย

        ขณะนี้มีบุรุษผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่ที่หน้าผาบนภูเขาหลีซานนอกเมืองหลวง ท้องฟ้ายามนี้ปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำ เสียงนกฮูกกลางคืนกรีดร้อง บรรยากาศวังเวง

        จากตรงนี้สามารถมองเห็นทั้งหมดของเมืองตี้จิงในมุมกว้างได้พอดิบพอดีอย่างไร้สิ่งกีดขวาง

        ชายชุดดำผู้นั้นยืนอยู่บนขอบหน้าผาด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและสายตาที่เฉียบคม

        หลังจากนั้นไม่นาน สตรีสวมเสื้อผ้าสีดำ ด้านนอกสวมชุดคลุมไหล่สีดอกบัวที่งดงามตระการตา ด้วยท่าทางปราดเปรียวว่องไวและเฉียบแหลมราวกับแมวกลางคืน นางกระโดดขึ้นมาบนหน้าผาด้วยวิชาตัวเบา  สุดท้ายก็หันกลับมายืนอยู่ด้านหลังชายผู้นั้น

        “เจ้ามาสายแล้ว! ”

        บุรุษกล่าว

        “ทูตซ้ายเจ้ามาเร็วเอง”

        สตรีตอบกลับ

        “ทูตซ้ายเรียกหลิวหลีมาทำอันใดกัน? หรือว่าจะเป็นเรื่องวางยาพิษเพื่อให้ท่านฉวยโอกาสแก้แค้นในครั้งก่อน? ทูตซ้ายมีความสามารถที่วิเศษ คราก่อนเหมือนจะไม่ได้เรียกหลิวหลี”

        “ฮาๆ ฮาๆ! ”

        บุรุษผู้นั้นเงยหน้าขึ้นหัวเราะเสียงดังในทันที

        “เจ้าขำอันใด? ”

        “ผู้คุมกฎซิ่ง แทนที่เจ้าจะกังวลเรื่องเหล่านี้ เจ้าควรกังวลเกี่ยวกับตนเองเถิด! ข้าพึ่งได้รับเรียกจากเบื้องบนให้มาสอบสวน เบื้องบนไม่พอใจอย่างมากกับการแสดงออกของเจ้า”

        “ราชครูทราบถึงสถานการณ์ของทางนี้แล้วหรือ? ”

        ผู้ที่เป็นสตรีดูเหมือนจะกังวลอยู่บ้างเล็กน้อย

        “ไม่ใช่ราชครู แต่เป็นท่านประมุขหลาน ข่าวสารได้ถูกท่านประมุขหลานปกปิดไว้ชั่วคราว ภายในเวลาอันสั้นหากไม่เกินความคาดหมาย ก่อนที่ราชครูจะออกจากการฝึกยุทธ ท่านจะไม่มีทางรู้ได้ ท่านประมุขหลานส่งสารมา ท่านให้โอกาสเจ้าในการชดเชยผลงาน ภายในสามวัน ท่านจะต้องได้ยินสารเกี่ยวกับการตายของฮองเฮาแห่งจงหนิง”

        “สามวัน? ”

        เวลาน้อยถึงเพียงนี้จะทำได้อย่างไรกัน?

        ในเมื่อพิษบนร่างฮองเฮาได้ถูกกำจัดไปแล้ว เช่นนั้นพวกเขาจะต้องคาดการณ์ได้อย่างแน่นอนว่ามีผู้คิดลอบสังหารฮองเฮา พวกเขาจะไม่เพิ่มความระมัดระวังได้อย่างไร

        “เนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว เจ้าสิ้นเปลืองพิษที่ล้ำค่าของท่านประมุขไปเท่าไร? เจ้ากับข้าล้วนเข้าใจอารมณ์ของท่านประมุขดี ครั้งนี้ท่านประมุขยอมให้โอกาสเจ้า สำหรับเจ้าถือว่าเมตตามากแล้ว”

        “ได้ ข้าจะ… พยายามอย่างถึงที่สุดแน่นอน”

        ซิ่งหลิวหลีแทบจะกัดฟันกล่าว

        “ไม่ใช่พยายามอย่างถึงที่สุด ทว่ามันคือสิ่งที่ต้องทำ หากหลังจากสามวันแล้วยังไม่พบหัวของฮองเฮาแห่งจงหนิง ผู้คุมกฎซิ่ง…เจ้ารู้กฎดีว่าจะถูกลงโทษอย่างไร รักษาตัวด้วย! ”

        บุรุษผู้นั้นเอ่ยสามคำสุดท้ายอย่างแผ่วเบา ไม่มีความกังวลแทนพันธมิตรของตนแม้แต่น้อย ดูเหมือนจะมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นเสียมากกว่า

        ซิ่งหลิวหลีนัยน์ตาเคลือบแคลงอาฆาต บุรุษผู้นั้นหัวเราะเสียงดังสองครั้ง

        “ฮาๆ ”

        ยิ่งซิ่งหลิวหลีโกรธมากเท่าไร ชายผู้นั้นก็ยิ่งอารมณ์ดีมากขึ้นเท่านั้น

        ก่อนจากไป ทันใดนั้นเขาก็พูดเสริมอีกหนึ่งประโยคว่า

        “ท่านประมุขให้เจ้านำของอีกสิ่งหนึ่งไปด้วย ตอนที่เจ้ากลับเมืองไปรายงานผล”

        “อะไร? ”

        “ซูจิ่นซี! ”

        “… ”

        “ท่านประมุขได้แอบตรวจสอบความสามารถของซูจิ่นซี พบว่าทักษะความสามารถด้านพิษของนางนั้นเหนือกว่าเจ้ากับข้ามาก ผู้คุมกฎซิ่ง ตามที่เจ้าปรารถนาทั้งหมด นี่เป็นโอกาสดีที่เจ้าจะแสดงต่อหน้าท่านประมุข”

        ครั้งที่แล้วซิ่งหลิวหลีลักพาตัวซูจิ่นซีมาก็เพื่อที่จะมอบซูจิ่นซีให้กับประมุขของพวกเขา ทว่าเสียดายที่ปล่อยให้ซูจิ่นซีหนีไปได้ คาดไม่ถึงว่าเบื้องบนจะทำการตรวจสอบซูจิ่นซีเป็นการส่วนตัวแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยังออกคำสั่งให้นางจับซูจิ่นซีอีกด้วย

        ซิ่งหลิวหลีเกลียดตนเองเสียจริงที่ไม่ได้จับซูจิ่นซีให้เร็วกว่านี้ การมอบของขวัญนั้น ต้องมอบก่อนที่จะถูกผู้คนเอ่ยถึงจึงจะเรียกได้ว่าพิเศษ

        แล้วก็นะ… ซูจิ่นซี ครั้งนี้เจ้าหนีไม่รอดอย่างแน่นอน

        วันต่อมาซูจิ่นซีเข้าวังไปยังตำหนักจ้งหวาของฮองเฮา เหตุผลคือเพื่อตรวจพระอาการของฮองเฮาอีกครั้ง

        ซูจิ่นซีและฮองเฮงดูเหมือนจะถูกชะตากันอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าทั้งสองพูดอันใดกันบ้าง ตอนที่กำลังจะกลับ คาดไม่ถึงว่าฮองเฮาจะจับมือซูจิ่นซีแล้วพานางไปส่งที่ประตูจ้งหวาเป็นการส่วนตัว

        ช่วงเที่ยงมีข่าวลือแพร่กระจายไปทั่วทั้งภายในและภายนอกวัง เรื่องที่ฮองเฮาทรงพระสุบินว่าพระองค์เหยียบมังกรขาว ซึ่งเป็นลางว่าบรรพบุรุษตั้งใจจะประทานทายาทสืบสกุล ดังนั้นสองวันต่อมาฮองเฮาจึงเสด็จไปวัดพุทธฝ่าที่เขาหลีซานเป็นการส่วนตัวเพื่อจุดธูปอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์

        ในเวลาเดียวกัน ฮองเฮายังเลือกสตรีสองสามนางที่มีวันเดือนเกิดตรงกับตนเองและพามุ่งหน้าไปที่วัดพุทธฝ่าด้วย หนึ่งในนั้นมีพระชายาโยวอ๋อง…ซูจิ่นซี

        ก่อนหน้านี้ข่าวลือที่ว่าซูจิ่นซีรักษาโรคของฮองเฮาได้แล้ว พร้อมทั้งข่าวที่แพร่ออกไปว่าฮ่องเต้ให้เวลาซูจิ่นซีหนึ่งเดือนในการตามหาผู้วางยาพิษเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ และข่าวที่ซูจิ่นซีเดิมพันกับฮั่วอวี้เจียวในคดีนี้

        เมื่อเห็นว่ากำหนดระยะเวลาของฮ่องเต้นับวันยิ่งใกล้เข้ามาทุกที ข่าวลือในเมืองตี้จิงก็ยิ่งโกลาหลวุ่นวายมากขึ้น ผู้คนที่ได้ฟังต่างก็มีปฏิกิริยาที่หลากหลายยิ่งนัก

        ผู้คนต่างสับสนว่าซูจิ่นซีจะสามารถหาฆาตกรที่วางยาพิษได้หรือไม่ และระหว่างฮั่วอวี้เจียวกับซูจิ่นซี ผู้ใดกันที่จะชนะ?

        กระทั่งโต๊ะพนันและบ่อนพนัน ก็เริ่มเอาเรื่องนี้มาวางเดิมพันเพื่อทำธุรกิจ

        การเดิมพันมีสองเรื่อง หนึ่งคือความสามารถของซูจิ่นซีในการสืบหาตัวฆาตกร บางคนเดิมพันว่าซูจิ่นซีสามารถสืบหาตัวฆาตกรได้ บางคนเดิมพันว่าซูจิ่นซีไม่สามารถสืบหาตัวฆาตกรได้

       การเดิมพันอีกเรื่องก็คือ ระหว่างฮั่วอวี้เจียวและซูจิ่นซีผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะกันแน่ แน่นอนว่าความเสี่ยงของการเดิมพันนี้ขึ้นอยู่กับความเหนือกว่า

        หากซูจิ่นซีสามารถหาตัวฆาตกรได้ แน่นอนว่าซูจิ่นซีจะเป็นผู้ชนะ ตามข้อตกลงของการเดิมพัน ฮั่วอวี้เจียวจะต้องถอดเสื้อผ้าและยืนอยู่ที่ทางเข้าจุ้ยหงโหลวเป็นเวลาสามวัน

        หากซูจิ่นซีไม่สามารถสืบหาตัวฆาตกรได้ เช่นนั้นก็เป็นฮั่วอวี้เจียวที่เป็นผู้ชนะ ซูจิ่นซีจะต้องทำตามข้อตกลงของการเดิมพัน นางต้องสละสถานะตัวตนของพระชายาโยวอ๋อง และไปจากเยี่ยโยวเหยา

        เดิมพันเช่นใดล้วนมีหมด ในบ่อนพนันมีผู้จงใจทำแผ่นคำขวัญโดยใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่สะดุดตา สถานการณ์การเดิมพันก็ปรากฏขึ้นสองครั้งทุกวัน

        เริ่มต้นด้วยการเดิมพันว่าซูจิ่นซีสามารถสืบหาฆาตกรได้ และการเดิมพันของซูจิ่นซีและฮั่วอวี้เจียว ดูท่าซูจิ่นซีจะมีโอกาสชนะมากกว่าเล็กน้อย

        “พระชายาโยวอ๋อง แท้จริงลึกๆ แล้วนางซ่อนความสามารถไว้ ดูเหมือนว่าจะเก่งกาจมากทีเดียว”

        “สายตาของโยวอ๋องจะต้องไม่มีปัญหาแน่ ดังนั้นพระชายาโยวอ๋องก็จะต้องเก่งกาจเช่นเดียวกับโยวอ๋อง เรื่องนี้สำหรับพระชายาโยวอ๋องแล้วเป็นเพียงปอกกล้วยเข้าปาก”

        “แม้ว่าพระชายาโยวอ๋องจะสืบหาฆาตกรไม่ได้ ทว่าโยวอ๋องทรงโปรดปรานพระชายาถึงเพียงนั้น ท่านจะต้องช่วยพระชายาสืบหาอย่างแน่นอน เมื่อสามีภรรยาร่วมมือกัน โลกนี้ยังจะมีสิ่งใดที่สามารถทำให้พวกเขาสองคนรู้สึกยากลำบากได้อีก”

        “จริง พระชายาโยวอ๋องสามารถสืบหาฆาตกรได้อย่างแน่นอน พระชายาโยวอ๋องต้องชนะ… ”

        “พระชายาสามารถสืบหาฆาตกรได้… ”

        “พระชายาต้องชนะ… ”

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset