สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 63 องค์หญิง พระองค์ทรงเป็นตากุ้งยิงแล้วหรือไม่

        ซูจิ่นซีหันศีรษะไป เห็นสตรีสองนางที่สวมเสื้อผ้าหรูหราสง่างาม

        สตรีผู้สง่างาม สุภาพ รัศมีสูงศักดิ์ นางสวมผ้านุ่งยาวสีกลีบบัว ลักษณะบุคลิกเลิศเลอ ดูเหมือนว่าจะเป็นคุณหนูที่มีการศึกษาสูงจากตระกูลขุนนางใดสักแห่ง นางคือคนที่พูดว่าขวดน้ำหอมนั่นจะต้องเป็นของตน

        อีกท่านหนึ่งเป็นสตรีที่ดูร่ำรวย มีเกียรติ มีปัญญา นางสวมชุดกระโปรงปักลายเมฆสีทอง แม้นางจะดูมีอายุพอๆ กับซูจิ่นซี ซึ่งมีอายุเพียงสิบห้าหรือสิบหกปีเท่านั้น ทว่ากลับเปี่ยมไปด้วยพลัง หว่างคิ้วแสดงท่วงท่าเหนือกว่าผู้คนทั่วไป ซูจิ่นซีเดาว่าบุคคลผู้นี้อาจมาจากในวัง หากมิใช่จวิ้นจู่ก็คงเป็นองค์หญิง

        ซูจิ่นซีมองไปด้านหลังสตรีสองนางนั้น พลางหรี่ตาลงทันที

        ร่างที่ตามมาด้านหลังนั้น คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเยี่ยเซิน

        ชั่วพริบตา ความรู้สึกภายในใจของซูจิ่นซีก็ราวกับใส่รองเท้าใหม่แล้วเหยียบเข้ากับอุจจาระสุนัข

        “น้ำหอมขวดนี้พวกข้าซื้อแล้ว ห่อให้คุณหนูฮั่วด้วย”

        เยี่ยเซินทำเหมือนมองไม่เห็นซูจิ่นซี เขาโยนตั๋วเงินปึกหนึ่งไว้บนโต๊ะคิดเงิน ฟุ่มเฟือยเป็นอย่างยิ่ง

        คุณหนูฮั่ว?

        สมัยนี้ในท้องพระโรงราชสำนักมีเพียงจวนสกุลฮั่วเดียวเท่านั้น นั่นก็คือจวนของแม่ทัพกองกำลังทหารม้าที่สร้างความดีความชอบรบชนะไปพร้อมกับกษัตริย์ถึงสามพระองค์

        ในคราแรกที่ซูจิ่นซีพึ่งข้ามภพมา นางก็เข้าใจสถานการณ์ของตนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้โดยคร่าวๆ บ้างแล้ว

        ตอนแรกที่เยี่ยเซินยกเลิกพิธีหมั้น นอกเหนือจากเหตุผลที่ใบหน้าของซูจิ่นซีนั้นน่ารังเกียจและโง่เขลาแล้ว ยังมีอีกเหตุผลที่ใหญ่ที่สุด นั่นคือเขาชอบคุณหนูฮั่วอวี้เจียวของสกุลฮั่ว

        ซูจิ่นซีตั้งใจมองสตรีที่สวมชุดกระโปรงยาวสีกลีบบัวท่านนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน

        หากนางเดาไม่ผิด บุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้านางตอนนี้ก็คือฮั่วอวี้เจียว

        “ได้เจ้าค่ะ พวกท่านโปรดรอสักครู่เจ้าค่ะ! ”

        พนักงานสาวที่ยืนอยู่ด้านข้างกำลังจะหยิบตั๋วเงินที่เยี่ยเซินโยนไว้บนโต๊ะ ทันใดนั้นฮั่วอวี้เจียวก็เปิดปากพูดหยุดการกระทำของพนักงานสาวทันที  “ช้าก่อน! ไท่จื่อเพคะ น้ำหอมขวดนี้เป็นหม่อมฉันที่ชอบ ควรเป็นจวนฮั่วที่จ่ายเงิน เมื่อห่อของแล้ว หม่อมฉันจะเขียนข้อความให้กลับไปเก็บเงินที่จวนสกุลฮั่ว”

        “ทำเช่นนี้ได้อย่างไร? ในเมื่อคุณหนูฮั่วออกมากับข้า ข้าจะยอมให้คุณหนูฮั่วออกเงินอย่างนั้นหรือ? ใช้เงินของข้าเถิด! ”

        “ไท่จื่อ เงินเล็กน้อยแค่นี้ พวกเราสกุลฮั่วจ่ายได้อยู่แล้วเพคะ! ”

        สามารถมองออกได้อย่างทันทีว่า แท้จริงแล้วคุณหนูฮั่วท่านนี้ไม่ต้องการตอบรับความรู้สึกของเยี่ยเซิน ทว่าเยี่ยเซินก็ยังยืนยันที่จะมอบให้

        แม้แต่ไท่จื่อยังไม่เข้าตา ดูแล้วความคิดจิตใจของคุณหนูฮั่วท่านนี้จะสูงส่งมาก! บุรุษแบบใดกันที่สามารถเป็นที่ต้องตาของนางได้?

        “คุณหนูฮั่ว ท่านอย่าเถียงกับข้าเลย น้ำหอมชนิดนี้ ในโลกใบนี้มีเพียงสตรีเช่นท่านจึงจะคู่ควรใช้มัน หากนำไปใช้บนร่างกายของผู้อื่นคงเสียของเปล่า มันเป็นน้ำใจของข้า คุณหนูฮั่ว เจ้าอย่าปฏิเสธเลย”

        เยี่ยเซินกล่าว ทันใดนั้นก็เหลือบมองซูจิ่นซีด้วยความดูถูก

        ชั่วเอ้ย!

        ที่แท้ตาสุนัข [1] ของเยี่ยเซินก็ไม่ได้บอดนี่นา!

        คาดไม่ถึงว่าจะมองเห็นซูจิ่นซีที่ยืนอยู่อีกด้าน

        ไม่เพียงมองเห็นเท่านั้น ยังสามารถพูดตีวัวกระทบคราด [2] ซูจิ่นซีได้ในเวลาเดียวกัน

        เดิมทีซูจิ่นซีก็ไม่ได้ตั้งใจซื้อน้ำหอมขวดนั้นอยู่แล้ว อย่างไรเสียปัจจุบันนางยังอาศัยอยู่ใต้ชายคาผู้อื่น ไม่ได้มีเงินมากมายเพียงนั้นตั้งแต่ไหนแต่ไรมา

        ทว่าตอนนี้… น้ำหอมขวดนี้นางจะต้องได้มาแน่นอน

        “คุณหนูท่านนี้ เหมือนท่านจะพูดผิดกระมัง? น้ำหอมขวดนี้เป็นข้าที่ชอบมันก่อน เรื่องนี้ต้องเรียงลำดับก่อนหลังสิ”

        ซูจิ่นซีกล่าวอย่างหนักแน่น

        “เจ้านับเป็นสิ่งใดกัน? ”

        ฮั่วอวี้เจียวยังไม่ทันได้พูด ทว่าสตรีที่มีลักษณะบุคลิกร่ำรวยที่ยืนอยู่ข้างนางกลับแสดงนิสัยดูถูกผู้อื่น ทั้งที่ไม่มองซูจิ่นซีด้วยซ้ำ

        “คุณหนูฮั่ว ท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ? ”

        ซูจิ่นซีไม่ได้สนใจนางเลย ทำเพียงเอ่ยปากหารือโดยตรงกับฮั่วอวี้เจียว

        สตรีผู้นั้นหันศีรษะมามองด้วยความโกรธ นางจ้องไปยังซูจิ่นซี “กล้านัก ข้ากำลังคุยกับเจ้าอยู่นะ คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะทำเป็นหูทวนลม”

        มุมปากของซูจิ่นซียิ้มอ่อนโยน ชี้นิ้วมาที่ตนเอง “ที่แท้เจ้ากำลังคุยกับข้าหรือนี่? ข้าคิดว่าแม่นางกำลังพูดพึมพำกับตนเองเสียอีก? ในเมื่อกำลังคุยกับข้า แม่นางก็ควรมองข้าใช่หรือไม่? มิเช่นนั้นผู้อื่นจะเข้าใจผิดว่าท่านเป็นตากุ้งยิงนะ! ”

        “เจ้า… ”

        สตรีผู้นั้นโกรธมาก ดวงตาทั้งสองข้างของนางลุกเป็นไฟด้วยความโกรธในชั่วพริบตา

        คำว่า “เจ้า” พึ่งออกมาจากปาก ทว่าซูจิ่นซีก็ไม่ให้โอกาสนางพูดต่อ “ยังมีอีกอย่าง แม่นาง ข้าไม่ได้ชื่อว่าสิ่งใด ชื่อของข้าคือซูจิ่นซี! ”

        ซูจิ่นซีจงใจเน้นน้ำหนักทั้งสามคำในชื่อของนางด้วยเสียงอันดังอย่างภาคภูมิใจ

        เมื่อได้ยิน ‘ซูจิ่นซี’ สามคำนี้ สตรีนางนั้นก็ระงับความโกรธของตนในทันที ไม่ใช่ว่านางกลัวซูจิ่นซี ทว่านางกำลังเปลี่ยนมาแสดงท่าทีหยิ่งยโสในตนเอง

        “อย่างนั้นหรือ? ที่แท้เจ้าก็เป็นซูจิ่นซี!” สตรีนางนั้นมองซูจิ่นซีอีกครั้งตั้งแต่หัวจรดเท้า “เช่นนั้นรู้หรือไม่ว่าข้าเป็นผู้ใด? ”

        ในเมื่อสตรีที่อยู่ด้านหน้าเรียกแทนตัวเองว่าข้า ตามที่ซูจิ่นซีได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ นางคงมีฐานะเป็นองค์หญิง ตอนนี้มีองค์หญิงเพียงสองพระองค์ในแวดวงชั้นสูง หนึ่งคือน้องสาวของฮ่องเต้ ‘องค์หญิงจิ้งเหอ’ องค์หญิงองค์โตในปัจจุบัน และอีกผู้หนึ่งคือพระราชธิดาของฮองเฮา ‘องค์หญิงหวาหรง’

        ซูจิ่นซีสังเกตว่าสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าอายุพอๆ กับฮั่วอวี้เจียว แน่นอนว่านางไม่ใช่องค์หญิงจิ้งเหอ ทว่าเป็นองค์หญิงหวาหรง พระราชธิดาของฮองเฮา

        ดังนั้นซูจิ่นซีจึงพูดสิ่งที่ตนเองเดาออกมา

        เมื่อองค์หญิงหวาหรงได้ยินคำพูดของซูจิ่นซีก็โกรธขึ้นมาในทันที “ซูจิ่นซี เจ้ากล้ามากนะ”

        ในเมื่อรู้ว่าตนเป็นถึงองค์หญิง คาดไม่ถึงว่าจะจองหองพองขนเช่นนี้ ซูจิ่นซีผู้นี้เหมือนกับที่เขาว่ากันไว้ นางช่างไม่รู้เรื่องราวอันใดเลย ไม่เข้าใจเสด็จอาโยวอ๋องเสียจริง เพราะเหตุใดจึงชอบสตรีเช่นนี้

        “หวาหรง ตามหลักอาวุโสแล้ว เจ้าควรนับถือข้าเป็นอาสะใภ้จึงจะถูกต้อง หากเจ้าเรียกชื่ออาสะใภ้โดยตรงจะถูกลงโทษได้นะ หากไม่เชื่อ เจ้าก็ลองถามเสด็จพี่ไท่จื่อของเจ้าดูสิ”

        ซูจิ่นซีพูดด้วยน้ำเสียงอย่างรุ่นพี่สอนรุ่นน้อง แม้ใบหน้าของนางจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าน้ำเสียงกลับร้ายกาจ น่าเสียดายที่องค์หญิงหวาหรงตอนนี้ถูกทำให้โกรธจนไม่มีสติเสียแล้ว นางจึงไม่ได้สังเกตถึงความแตกต่างของซูจิ่นซีโดยสิ้นเชิง

        “ถุย! ” องค์หญิงหวาหรงถ่มน้ำลายใส่หน้าซูจิ่นซี “ซูจิ่นซี เจ้ามันช่างไร้ยางอายเสียจริง! ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าเกลี้ยกล่อมเสด็จอาของข้าอย่างไร แล้วยังมีหน้ามาให้ข้าเรียกเจ้าว่าอาสะใภ้ เจ้าคู่ควรหรือ? เจ้าไม่ออกไปตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตนเองเสียบ้างเล่า ดูสิว่าเจ้ามีสิ่งใดที่คู่ควรกับเสด็จอาโยวอ๋องของข้าบ้างหรือไม่? ”

        ในเวลานี้หวาหรงไม่มีภาพลักษณ์อันสูงส่งในฐานะองค์หญิงหลงเหลืออยู่เลย นางกลายเป็นสตรีปากตลาดในชั่วพริบตา

        “คุณหนู! ”

        ลวี่หลีตกใจมาก นางมิรอช้ารีบเร่งหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดใบหน้าของซูจิ่นซีทันที

        โตมาถึงเพียงนี้ ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ซูจิ่นซีโดนถ่มน้ำลายใส่หน้า

        แสงในตาของซูจิ่นซีสว่างวาบ สายตาเต็มไปด้วยความเย็นชา นางเงยหน้าขึ้นมองตรงไปยังหวาหรง

        “เจ้า… เจ้า… ซูจิ่นซี เจ้าคิดจะทำสิ่งใด? ”

        หวาหรงถูกสายตาของซูจิ่นซีทำให้ตกใจในทันที นางสั่นเทาไปทั่วร่าง

        ทว่าซูจิ่นซียังไม่ทันได้ทำอันใด นางหันไปพูดกับพนักงานของจวีเซียงฟาง “นำน้ำหอมไปห่อให้ข้า! ”

        “เพคะ! เพคะ! ”

        พนักงานเรียกสติกลับมาจากอาการตกใจ แล้วพยักหน้าซ้ำๆ

        เมื่อได้ยินว่านางคือซูจิ่นซี พวกเขาต่างก็ตกตะลึง เพียงแต่ไม่ได้ตกตะลึงในตัวซูจิ่นซี ทว่าเป็นผู้ที่นางอภิเษกสมรสด้วยอย่างเยี่ยโยวเหยา

        ผู้ที่เลื่องลือกันว่าเย็นชาและไร้ความปรานี

        “ช้าก่อน! ”

        ฮั่วอวี้เจียวที่ไม่ได้พูดอันใดเลยตลอดเวลาที่ซูจิ่นซีและองค์หญิงหวาหรงสนทนากัน ทันใดนั้นนางก็เม้มริมฝีปาก เงยหน้าและยืดอกอย่างจงใจเพิ่มความสง่า

        “พระชายาโยวอ๋อง น้ำหอมจวีเซียงฟางขวดนี้ขายออกในราคาห้าแสนตำลึง ข้าเพิ่มให้อีกหนึ่งแสนตำลึง หากท่านต้องการซื้อไปก็ต้องให้ราคาที่สูงกว่านี้ ท่านแน่ใจว่าจะซื้อไปหรือไม่? ”

        “ห่อมา! ”

        แม้ซูจิ่นซีจะมองไปที่ฮั่วอวี้เจียว ทว่ากลับไม่ได้ตอบคำถามของนาง ทว่าพูดกับพนักงานโดยตรงแทน

        แม้ภายนอกฮั่วอวี้เจียวจะมีท่าทีนิ่งสงบ ทว่าภายในนั้นกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก ยิ่งนางมองพนักงานเริ่มบรรจุน้ำหอมให้ซูจิ่นซี ฝ่ามือของนางก็ยิ่งกำเข้าหากันแน่นด้วยความกังวลและโกรธเกรี้ยว

        “พระชายาโยวอ๋อง แม้ท่านจะต้องการ ทว่าท่านจะเอาอันใดมาซื้อได้? ท่านสามารถจ่ายในราคาสูงถึงเพียงนี้ได้หรือ? ”

        เมื่อได้ยินเช่นนั้น พนักงานที่กำลังห่อของก็หยุดสิ่งที่พวกเขากำลังทำในทันที และหันไปมองซูจิ่นซี

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset