สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 96 เหตุใดจึงเป็นเขาได้

        เหล่ายอดฝีมือพยายามอย่างหนัก ในที่สุดก็นำยาที่ซูจิ่นซีปรุงขึ้นโยนเข้าไปในปากของงูยักษ์ได้

        ยาชนิดนี้แตกต่างจากยาที่ใช้ถอนพิษเพื่อนร่วมทีมที่บาดเจ็บ มันถูกปรุงขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อจัดการกับงูยักษ์โดยเฉพาะ หลังจากงูยักษ์กินยาเข้าไป ทั่วทั้งตัวก็ร้อนผ่าวและบวมขึ้น มันคลุ้มคลั่งและกระสับกระส่ายไปมา

        “พระชายาระวัง! ”

        ทุกคนรวบรวมกองกำลังและปกป้องอยู่ด้านหน้าของซูจิ่นซี

        ในคราแรกงูยักษ์ตั้งใจต่อสู้อย่างสุดชีวิตเป็นครั้งสุดท้าย มันพุ่งเข้าโจมตีซูจิ่นซีและพรรคพวก ทว่าต่อสู้ได้ไม่นานก็แน่นิ่งไป หัวของงูยักษ์ล่วงลงมาที่ข้างบ่อโลหิตอย่างรุนแรง มีเพียงลมหายใจออก ไม่มีลมหายใจเข้า มันลุกขึ้นมาไม่ได้อีกต่อไป

        อันตราย… จริงๆ

        ซูจิ่นซีปลื้มใจ นางมองเลือดบนนิ้วตนเอง

        เลือดบริสุทธิ์นี่นา!

        เทียบกับเลือดของแพนด้าแล้วยังเก่งกาจกว่าอีก

        ทว่าน่าเสียดายงูยักษ์ตัวนี้ หากเก็บดีงูของงูยักษ์มาได้ละก็ เรียกได้ว่ามันเป็นวัตถุดิบยาที่หาได้ยากชนิดหนึ่งเลยก็ว่าได้ ทว่างูยักษ์ถูกนางวางยาพิษจนตายไปแล้ว ดีงูก็ถูกยาพิษด้วยเช่นกัน มันจึงไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อีกต่อไป

        “ทุกคนยังเดินต่อไหวหรือไม่? ”

        ซูจิ่นซีถามผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ

        “ทูลพระชายา บาดแผลแค่นี้ไม่เท่าไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่เป็นอันใด ขอบพระทัยพระชายาที่ช่วยเหลือพ่ะย่ะค่ะ”

        ซูจิ่นซีพยักหน้า “ในเมื่อไม่เป็นอันใด พวกเราก็รีบออกจากที่นี่กันเถิด! ”

        ไม่มีเวลามากแล้ว จะต้องรีบจับตัวซิ่งหลิวหลีกับทูตซ้ายชุดดำนั้นให้ได้

        “พ่ะย่ะค่ะ พระชายา! ”

        ทุกคนเก็บอาวุธ ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ และเตรียมออกจากเส้นทางลับนี้ ยอดฝีมือดีสองนายเดินนำด้านหน้า คอยปกป้องซูจิ่นซีที่อยู่ตรงกลาง

        ทว่าไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า เมื่อทุกคนเดินผ่านบ่อโลหิตนั้น ดอกปี่อั้นสีเลือดที่ลอยอยู่เหนือบ่อโลหิตพลันเปล่งแสงสีเลือดแดงฉานเป็นประกายแพรวพราว แสงสว่างอันทรงพลังสาดส่องไปทั่วทั้งพื้นที่จนทำให้ผู้ที่พบเห็นแสบตา

        ทุกคนอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นบังตา รวมทั้งซูจิ่นซีด้วยเช่นกัน

        ความเปลี่ยนแปลงของแสงสีเลือดแดงฉานค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละน้อยจนกลายเป็นเส้นแสงสว่างจ้า ทันใดนั้นลำแสงก็บินเข้ามาที่กำไลดอกปี่อั้นบนข้อมือด้านขวาของซูจิ่นซี หลังจากที่กำไลดอกปี่อั้นส่องแสงเจิดจ้าอย่างรุนแรง สภาพแวดล้อมก็กลับมาสู่ความมืดมนเหมือนก่อนหน้านี้ทันที

        “โอ้ย! ”

        ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็ยกมือกุมศีรษะแล้วตะโกนเสียงดังขึ้น ใบหน้าของนางซีดเซียวในชั่วพริบตา

        “พระชายา ท่านเป็นอันใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ” ทหารองครักษ์ถามด้วยความร้อนรน

        เมื่อครู่ดอกปี่อั้นสีเลือดแดงฉานลอยเข้ามาในกำไลดอกปี่อั้นของนาง ซูจิ่นซีมองเห็นพอดีจากทางหางตา

        ตอนที่ดอกปี่อั้นสีเลือดพุ่งเข้ามาในกำไลข้อมือปี่อั้น สติของนางหายไปชั่วครู่ จากนั้นก็มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง ทว่าหลังจากแสงสลัวของกำไลข้อมือดอกปี่อั้นกลับมาเป็นปกติ ทุกอย่างก็ราวกับไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น

        นี่มันเรื่องอันใดกันแน่?

        ซูจิ่นซีมองกำไลที่ข้อมือขวาของตนอย่างสงสัย นางคิดว่ากำไลข้อมือวงนี้ต้องไม่ใช่สิ่งของธรรมดาอย่างแน่นอน

        “ไม่มีอันใด เพียงแค่แสงจ้าเมื่อครู่นี้ทำให้ข้าแสบตาเล็กน้อย”

        ทุกคนต่างไม่สงสัยในคำพูดของซูจิ่นซี ทว่ายังมีคนที่ตามีแววกล่าวว่า “แสงสว่างเมื่อครู่ดูเหมือนมาจากดอกไม้สีเลือดที่ลอยอยู่เหนือบ่อโลหิตพ่ะย่ะค่ะ ทว่าตอนนี้ไม่เห็นมันแล้ว”

        “ใช่! ข้าก็เห็นเหมือนกัน น่าจะเป็นเมื่อครู่ที่แสงสว่างพุ่งออกมาแล้วก็หายไป”

        “พวกเจ้าเห็นว่ามันพุ่งไปที่ใดหรือไม่? ”

        “ไม่เห็นนะ”

        “ข้าก็ไม่เห็นเช่นกัน”

        “แปลกจริง! เหตุใดจึงส่องแสงสว่างอย่างกะทันหันกันนะ? ”

        “ถ้ำแห่งนี้สร้างขึ้นตามรูปแบบของสำนักเสวียน มีกลไกแบบขั้นต่อขั้น หากมีสิ่งของพิเศษบางอย่างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด พวกเรารีบออกไปจากที่นี่กันเถิด! ”

        มือซ้ายของซูจิ่นซีจับกำไลปี่อั้นบนข้อมือขวาของตน นางระงับความสงสัยภายในใจเอาไว้ก่อน

        ดูจากปฏิกิริยาของทุกคน เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่พวกเขาคงมองได้ไม่ชัดนัก

        คำพูดของซูจิ่นซีเทียบเท่ากับคำสั่ง ไม่มีผู้ใดกล้าถามหรือพูดจาอันใดให้มากความเช่นกัน ทุกคนยังคงเดินตามแบบแผนก่อนหน้า มุ่งตรงไปยังทางออกอีกด้านหนึ่ง

        ซูจิ่นซีไม่พบพิษอื่นใดอีกเลยในระหว่างการเดินทาง ทว่าเส้นทางออกนั้นเดินยากกว่าตอนเข้ามาในคราตอนแรก มันทั้งขรุขระ คับแคบ เปียกชื้น และเพดานต่ำเป็นพิเศษ ทุกคนต้องก้มตัวและคลานไปข้างหน้า

        “พระชายา ท่านรีบมาดูเร็ว นี่มันคืออันใดกันพ่ะย่ะค่ะ? ”

        ทันใดนั้นทหารองครักษ์นายหนึ่งก็ตะโกนขึ้น

        ทุกคนใช้คบเพลิงจุดไฟตามทางเดินให้ซูจิ่นซี เมื่อซูจิ่นซีเดินเข้าไป ก็เหลือบไปเห็นหินสลักรูปตัว ‘H’ อยู่บนกำแพงหิน ด้านล่างมีรูปลูกศรวาดไว้ ดูเหมือนจะแสดงข้อมูลสัญลักษณ์บางอย่าง

        เครื่องหมายนี้เป็นสัญลักษณ์ของยุคสมัยใหม่ ในหมู่คนเหล่านี้มีเพียงซูจิ่นซีเท่านั้นที่เข้าใจ

        ผู้ใดสลักทิ้งไว้กันนะ?

        ดูจากสีและความลึกของรอยคงพึ่งสลักไว้ ก่อนหน้าพวกเขาน่าจะมีเพียงซิ่งหลิวหลีกับพรรคพวกที่ผ่านมาทางนี้ พวกเขามีเพียงสามคนเท่านั้น ฮองเฮาก็กลายเป็นศพไปแล้ว เหลือเพียงซิ่งหลิวหลีและทูตซ้ายชุดดำ เป็นไปไม่ได้ที่ซิ่งหลิวหลีจะทิ้งสัญลักษณ์เช่นนี้เพื่อให้เบาะแสแก่พวกเขา หรือว่าจะเป็นทูตซ้ายชุดดำ?

        ไม่ใช่หรอกกระมัง?

        ระหว่างพวกเขามีความขัดแย้งกันหรือ? ทูตซ้ายชุดคำต้องการจะขายซิ่งหลิวหลีหรือ?

        นี่คงมิใช่กับดักกระมัง?

        ทุกคนต่างก็คาดเดากันไปคนละทิศคนละทาง

        ซูจิ่นซีครุ่นคิดอย่างจริงจัง ทว่าการแสดงออกบนใบหน้าของนางทำให้รู้ว่านางเองก็มองไม่เห็นข้อมูลใดๆ

        “พวกเขาก็ไปเส้นทางนี้ คงผ่านทางนี้ไปได้ไม่นาน พวกเรารีบเดินเร็วขึ้นหน่อย ไม่นานก็ตามพวกเขาทัน”

        “พ่ะย่ะค่ะ! ”

        องครักษ์หลายนายมีความสงสัยปรากฏอยู่บนใบหน้า พวกเขาเหมือนต้องการถามอันใดบางอย่างกับซูจิ่นซี ทว่าติดที่ฐานะ ทั้งยังไม่กล้าพอ ทำได้เพียงเชื่อฟังอย่างเงียบๆ

        ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา พวกเขาก็หลุดพ้นจากเส้นทางลับที่เพดานลาดต่ำนี้แล้ว หลังจากเดินขึ้นบันไดหินก็พบว่าพวกเขาเพิ่งเดินออกมาจากลำต้นของต้นไม้อายุพันปีต้นหนึ่ง

        ด้านหน้าเป็นป่าไม้เขียวชอุ่มผืนหนึ่ง

        ท้องฟ้ามืดแล้ว แสงจันทร์ส่องสว่างทะลุผ่านลอยแตกของต้นไม้ลงมา เกิดเป็นแสงประกายแวววาวทั่วพื้นดิน

        เหมือนจะมีเสียงต่อสู้ดังขึ้นจากที่ไกลๆ

        “พวกเจ้าสองสามคนพักอยู่ที่นี่ก่อน เหลือคนคอยดูแลไว้เล็กน้อย ส่วนที่เหลือตามข้าไปดู” ซูจิ่นซีออกคำสั่งให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บพักผ่อน และองครักษ์สองสามนายออกไปตามทิศทางที่มีเสียงต่อสู้

        มีคนสามคนต่อสู้กันอยู่ในส่วนลึกของป่า แม้พวกเขาจะหันหลังให้แสงจันทร์จนเห็นเพียงเงาดำมืดสามเงาเท่านั้น ทว่ามองเพียงแวบเดียวก็จำพวกเขาได้

        สองคนในนั้นคือซิ่งหลิวหลีและทูตซ้ายชุดดำ ส่วนคนที่สาม… ทุกคนที่ได้เห็นต่างตกใจจนอ้าปากค้าง คาดไม่ถึงว่าจะเป็นฮองเฮา ที่ก่อนหน้านี้พระองค์ถูกซิ่งหลิวหลีใช้กริชแทงหน้าอกจนสิ้นพระชนม์

          เป็น… เป็นไปได้อย่างไร?

        เห็นได้ชัดว่าฮองเฮาสิ้นพระชนม์ไปแล้ว เหตุใดจึงกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อีก? ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นวรยุทธอีกด้วย?

        จากการเคลื่อนไหว ดูเหมือนว่าวรยุทธของฮองเฮาไม่ด้อยเลย คาดไม่ถึงว่าอาศัยเพียงตัวคนเดียวก็สามารถต่อสู้กับซิ่งหลิวหลีและทูตซ้ายชุดดำได้

        “ยังไม่รีบไปช่วยอีก! ” ซูจิ่นซีกล่าว

        ทหารองครักษ์ที่ซูจิ่นซีพาตัวมาด้วยต่างระงับข้อสงสัยของตน และรีบก้าวเข้าไปด้านหน้าเพื่อร่วมการต่อสู้

        ฮองเฮาฉวยโอกาสหนีกลับมาอยู่ข้างกายซูจิ่นซี “พระชายา! ”

        ซูจิ่นซีเพียงพยักหน้าให้ฮองเฮา และไม่พูดจาอันใดอีก

        แม้ว่าทูตซ้ายชุดดำกำลังเผชิญกับการต่อสู้ ทว่าเขายังคอยสังเกตสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เดิมทีเขามีข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของฮองเฮาอยู่แล้ว ในเวลานี้ความสงสัยภายในใจของเขายิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก เขาถามขึ้นว่า “เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่? ”

        “ถอดหน้ากากออกมาให้เขาได้กระจ่าง! ” ซูจิ่นซีกล่าวด้วยอำนาจที่เหนือกว่า

        “พ่ะย่ะค่ะ พระชายา! ”

        ‘ฮองเฮา’ ยิ้มให้ซูจิ่นซี พระองค์ใช้มือแตะแก้มด้านซ้ายแล้วถูๆ บิดเอาวัตถุที่บางและโปร่งใสแผ่นหนึ่งออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ ดึงหน้ากากผิวหนังมนุษย์ออกจากใบหน้าของตน

        “ฮั่วซืออวี่? ”  ทูตซ้ายชุดดำกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

        ไม่เพียงแต่ทูตซ้ายชุดดำเท่านั้น แม้แต่ยอดฝีมือที่ติดตามซูจิ่นซีมาตลอดก็คาดไม่ถึงว่า ‘ฮองเฮา’ ที่พวกเขาปกป้องมาตลอดทาง ตอนนี้กลับกลายเป็นหัวหน้าขุนพลฮั่วที่มีวรยุทธสูงส่ง

        มีเพียงซูจิ่นซีเท่านั้นที่ยังสงบนิ่งและผ่อนคลาย การแสดงออกบนใบหน้าของนางเป็นปกติอย่างยิ่ง แน่นอนว่านางรู้เรื่องราวในฉากนี้อยู่แล้ว

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset