สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 99 อดทนไว้ เจ้าคือสันหลังที่แข็งแกร่งที่สุดของข้า

    ซูจิ่นซีสวมเสื้อคลุมไหล่ตัวหนึ่งที่เปล่งประกายราวกับดวงดาวในยามค่ำคืน ร่างเล็กกะทัดรัดกำลังก้าวเข้าสู่ประตูเจิ้นเป่ยทีละก้าวๆ ด้วยฝีเท้าที่มั่นคง

        ผู้คนต่างเข้ามาล้อมรอบนางไว้ตรงกลาง

        “พระชายาโยวอ๋อง สืบคดีได้อย่างไรบ้างเพคะ? ”

        “พระชายาโยวอ๋อง จับฆาตกรได้แล้วหรือไม่? ”

        “พระชายาโยวอ๋อง ท่านพูดสิ! สืบหาฆาตกรได้แล้วหรือไม่? ”

        “พระชายาโยวอ๋อง พูดสิ! ”

        “พระชายาโยวอ๋อง จนถึงตอนนี้แล้ว ท่านพูดมาตรงๆ เถิด! ท่านไม่พูดอันใด ในใจของทุกคนก็ไม่สบายใจ พวกเรารอผลลัพธ์ของท่านมาตลอดทั้งเดือนแล้วนะ”

        ……

        ซูจิ่นซีถูกฝูงชนล้อมรอบไว้ให้อยู่ตรงกลาง ผู้คนแออัดจนนางไม่สามารถผ่านออกไปได้ คนนั้นพูด คนนี้พูด ต้องการจะง้างความจริงออกจากปากของซูจิ่นซีให้ได้

        ทว่าซูจิ่นซีไม่ได้ยินแม้แต่ประโยคเดียว

        หูของนางราวกับปิดกั้นอย่างไรอย่างนั้น เสียงนับไม่ถ้วนโดยรอบล้วนไม่ผ่านเข้าไปในหู

        เพราะว่าบัดนี้ในดวงตาของนางมีเพียงเยี่ยโยวเหยาผู้เดียวเท่านั้น

        นับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ประตูเจิ้นเป่ย ซูจิ่นซีก็มองเห็นชายหนุ่มรูปงาม สูงส่ง ท่าทีไม่ธรรมดาราวกับเทพเซียนกำลังนั่งอยู่บนลานพระที่นั่งอย่างสงบ

        เมื่อสบกับสายตาของเยี่ยโยวเหยา ทันใดนั้นดวงตาของซูจิ่นซีก็เห่อร้อนขึ้นมาเล็กน้อย ในหัวใจดูเหมือนจะถูกบางสิ่งยึดแน่น เจ็บปวดอย่างมิมีสิ่งใดเทียบได้

        เยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีทำท่านเสียหน้าแล้ว

        ซูจิ่นซีไม่คู่ควรที่จะเป็นพระชายาของท่านจริงๆ

        เยี่ยโยวเหยา ขออภัยเพคะ หม่อมฉันไม่สามารถจับซิ่งหลิวหลีได้

        เยี่ยโยวเหยา…

        เยี่ยโยวเหยาดูเหมือนจะเข้าใจถึงสายตาและความรู้สึกภายในใจของซูจิ่นซี ดวงตาที่เฉยเมยนับพันปีปรากฏความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย มือที่วางอยู่บนพนักแขนของเบาะนั่งกำเข้าหากันแน่นอย่างช้าๆ ร่างกายเคลื่อนไปข้างหน้าเล็กน้อย ราวกับจะลุกขึ้นและมุ่งหน้าไปหาซูจิ่นซี

        ในเวลานี้ แม้ซูจิ่นซีจะถูกผู้คนมากมายรายล้อมคอยตั้งคำถาม ทว่านางกลับรู้สึกได้ถึงความเยือกเย็นและโดดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

        เพียงแต่ในเวลานี้ไม่มีโอกาสให้ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาแลกเปลี่ยนสายตากันมากนัก

        หลายปีต่อจากนี้ เยี่ยโยวเหยามักจะคิดว่าหากไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวของฮั่วอวี้เจียว ประวัติศาสตร์ในตอนนี้จะสามารถถูกเขียนขึ้นมาใหม่ได้หรือไม่ มันคงไม่มีเรื่องราวมากมายที่เกินความคาดหมายเกิดขึ้นระหว่างเขากับซูจิ่นซี

        ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีอันใดที่เป็นไปไม่ได้

        “หึ ยังจะถามอันใดอีก นี่ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ? ซูจิ่นซีกลับมาผู้เดียว ไม่มีผู้อื่นมาด้วย นางจับฆาตกรกลับมาไม่ได้ นางแพ้แล้ว ใช่หรือไม่? ”

        ดวงตาทั้งสองข้างของฮั่วอวี้เจียวไม่สามารถซ่อนความเย้ยหยันและความเบิกบานใจบนความทุกข์ของผู้อื่นได้เช่นกัน

        ซูจิ่นซียังคงมองเยี่ยโยวเหยาจากที่ไกลๆ ทั้งในสมองและสายตามีเพียงเยี่ยโยวเหยา แม้แต่เสียงของผู้คนรอบข้างทั้งหมดก็ล้วนกลายเป็นชื่อของเยี่ยโยวเหยา

        นางไม่ได้สนใจฮั่วอวี้เจียวเลย

        “พระชายาโยวอ๋อง เส้นตายสามสิบวันได้ครบกำหนดแล้ว เจ้าควรมีคำอธิบายให้ข้าและทุกคนเสียหน่อย”

        ฮ่องเต้ผู้สง่างามและเคร่งขรึมทรงยืนขึ้นจากเก้าอี้มังกรและดำเนินอย่างเชื่องช้าไปที่ขอบลานพระที่นั่ง พระองค์ทอดพระเนตรจากที่สูงมองมายังซูจิ่นซี ดั่งมองเมล็ดพืชในทะเลอย่างไรอย่างนั้น

        ในที่สุดสายตาของซูจิ่นซีก็มีการเปลี่ยนแปลง นาง เปลี่ยนทิศทางสายตาไปมองฮ่องเต้อย่างเชื่องช้า ทว่ายังไม่ได้กล่าวอันใด

        “พระชายาโยวอ๋อง ตัวฆาตกรเล่า? ”

        ฮ่องเต้กดความรู้สึกปิติ พยายามอย่างยิ่งเพื่อรักษาภาพลักษณ์อันสง่างามที่ฮ่องเต้ควรมี แล้วถามไถ่ซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซีมองไปที่เยี่ยโยวเหยาอีกครั้ง

        ทันใดนั้น ความเชื่อมั่นอันหนักแน่นก็หยั่งรากลึกในหัวใจของซูจิ่นซีอย่างแรงกล้า สายตาที่สดใสและสว่างไสวนั้นมองเข้าไปยังสายตาของเยี่ยโยวเหยา

        ยังมีข้อมูลบางอย่างที่ยากจะเข้าใจ

        ทันใดนั้นในใจของเยี่ยโยวเหยาก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง สตรีนางนี้คิดจะทำอันใดกันแน่?

        ทว่ายังไม่ทันที่เยี่ยโยวเหยาจะทำการตัดสินใจและตอบสนองกลับ ซูจิ่นซีก็ย้ายสายตามองไปที่ฮ่องเต้อีกครั้ง

        “ฝ่าบาท หม่อมฉันมีเงื่อนไขหนึ่งข้อต้องการสนทนากับฝ่าบาทเป็นการส่วนตัวเพคะ”

        หืม?

        ฮ่องเต้ทรงคาดไม่ถึงว่า เวลานี้ซูจิ่นซียังสามารถทำใจเย็นและสงบเช่นนี้ได้อีก

        นางต้องการพูดอันใดกับตนกันนะ?

        ทว่าอย่างไรก็ตาม นางไม่สามารถสร้างกระแสคลื่นใหญ่ [1] ใดๆ ได้อีก

        เวลานี้ฮ่องเต้ต้องการใช้ประโยชน์จากเรื่องของซูจิ่นซี ดึงเอาหนามยอกอกอย่างโยวอ๋องและเฉินไท่เฟยสองคนนี้ออกมา เพื่อกำจัดความยิ่งใหญ่ของจวนโยวอ๋องที่ผู้ใดก็ไม่สามารถหยุดยั้งได้

        ฮ่องเต้เหลือบพระเนตรไปทางเยี่ยโยวเหยาอย่างน่ากลัว ราวกับพระองค์พยายามอดทนต่อซูจิ่นซีเป็นอย่างมาก “พระชายาโยวอ๋องมีอันใดจะกล่าวก็ขึ้นมาเถิด”

        ดวงตาทั้งสองที่มืดมนของซูจิ่นซีแฝงไว้ด้วยความมั่นใจ นางยกกระโปรงและก้าวขึ้นไปบนลานพระที่นั่งทีละก้าวๆ

        ฮั่วอวี้เจียวที่ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะชนะซูจิ่นซี ในใจพลันเกิดความวิตกกังวลอย่างอธิบายไม่ได้จึงตะโกนใส่ซูจิ่นซีว่า “ซูจิ่นซี เจ้าแพ้แล้ว! เจ้าไม่คู่ควรกับโยวอ๋อง! ตามข้อตกลงระหว่างเรา เจ้าต้องเป็นผู้สละตำแหน่งพระชายาโยวอ๋อง แล้วออกจากจวนโยวอ๋องไป”

        ซูจิ่นซีไม่ได้สนใจฮั่วอวี้เจียว นางยังคงเดินหน้าต่อไป

        ฮั่วอวี้เจียวยังคงกังวลและกล่าวเตือนซูจิ่นซีอีกครั้ง “ซูจิ่นซีเจ้าแพ้แล้ว! เดิมทีเจ้าไม่คู่ควรกับโยวอ๋อง”

        แม้ซูจิ่นซีไม่ได้กลับมาพร้อมกับฆาตกร และดูเหมือนว่าซูจิ่นซีจะแพ้ให้แก่ฮั่วอวี้เจียว ทว่าในท้ายที่สุดแล้ว ซูจิ่นซีก็เกิดจากครอบครัวธรรมดา นางจึงเป็นตัวแทนของคนธรรมดาส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงมีผู้คนที่ยังคงเข้าข้างนาง

        “ถุย! ฮั่วอวี้เจียว เจ้ามันช่างหน้าไม่อาย” สตรีนางหนึ่งในหมู่ฝูงชนถ่มน้ำลายไปทางฮั่วอวี้เจียว “แม้พระชายาโยวอ๋องจะสืบหาตัวฆาตกรไม่ได้ แม้นางจะพ่ายแพ้ให้กับเจ้า ทว่าอย่างไรก็ตาม นางคือพระชายาที่โยวอ๋องรับเข้ามาในจวนด้วยตนเองตามพระบรมราชโองการของฮ่องเต้ นางเป็นผู้ที่ท่านอ๋องรักสุดหัวใจ เจ้าเก่งกล้าสามารถจนกล่าวขู่เข็ญให้นางแยกจากโยวอ๋องเช่นนี้หรือ? ทั้งยังกล้ากล่าวต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้อีก เจ้าทำให้คนของจวนสกุลฮั่วเสียหน้าไปหมดแล้ว ถุย!”

        “ใช่ ถุย! สตรีชั้นต่ำ! ”

        ทันใดนั้นก็มีหลายคนชี้นิ้วไปทางฮั่วอวี้เจียว

        แก้มทั้งสองข้างของฮั่วอวี้เจียวเห่อร้อนและแดงก่ำขึ้นมาอย่างรวดเร็ว บุตรสาวที่เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย ตั้งแต่เล็กจนโตเคยถูกดูหมิ่นและได้รับความอัปยศเสียที่ใดกัน หัวใจของนางสั่นกลัว กล้ำกลืนฝืนทนจนแทบจะสลบล้มลงไปแล้ว

        ทว่าเมื่อจ้องมองไปยังเยี่ยโยวเหยาที่อยู่บนลานพระที่นั่ง ความรู้สึกภายในใจทั้งหมดก็กลับกลายเป็นความแข็งแกร่งล้ำลึก ฮั่วอวี้เจียวอดไม่ได้ที่จะยืดเอวขึ้นมา

        เหลืออีกเพียงขั้นเดียว เพียงผ่านขั้นตอนนี้ไปได้ ความอดทนทั้งหมดเหล่านี้จะนับว่าเป็นอันใดกัน?

        ในตอนนี้ บุรุษอันเป็นที่รักที่ฮั่วอวี้เจียวเฝ้ามองจากระยะไกลนั้นเป็นสันหลังที่แข็งแรงที่สุดของนางแล้ว

        เมื่อทุกคนกำลังต่อสู้กับฮั่วอวี้เจียวเพื่อซูจิ่นซี ซูจิ่นซีก็ได้ก้าวขึ้นไปบนลานพระที่นั่งและยืนอยู่เบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้แล้ว

        “พระชายาโยวอ๋อง เจ้าต้องการพูดอันใดกับข้าหรือ? ”

        ฮ่องเต้กุมพระหัตถ์ทั้งสองข้าง ท่าทางสง่างาม ทว่าสายพระเนตรกลับไม่มองมาทางซูจิ่นซี

        “ฝ่าบาท กระหม่อมขอกล่าวสิ่งใดบางอย่างกับพระองค์เป็นการส่วนตัวเพคะ”

        ซูจิ่นซีจงใจเหลือบมองฝูงชนที่อยู่ด้านล่าง

        “พระชายาโยวอ๋อง มีเรื่องอันใดก็กล่าวออกมาตรงนี้เถิด! ดีเสียอีกที่จะให้ทุกคนเป็นสักขีพยาน”

        ซูจิ่นซีเหลือบมองไปยังฮองเฮาที่ประทับบนที่นั่งหงส์ด้านหลัง “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพระอาการป่วยของฮองเฮา หม่อมฉันคิดว่าเป็นการดีกว่าที่พระองค์จะทรงทราบเรื่องนี้แต่เพียงผู้เดียว”

        อาการป่วยของฮองเฮา?

        ฮ่องเต้ผู้มีพระทัยสูงส่งลังเลอยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้ยินว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับฮองเฮา ท้ายที่สุดพระองค์ก็ทรงประนีประนอมและยอมเดินไปยังห้องโถงด้านหลังลานพระที่นั่งชั่วคราว

        ใบหน้าของซูจิ่นซีไม่มีการเปลี่ยนแปลง นางเดินตามหลังฮ่องเต้ไป ทว่ามือของนางที่อยู่ในแขนเสื้อกว้างดูเหมือนจะกำบางอย่างไว้แน่น และภายในแขนเสื้อก็มีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย

        ทว่าการเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่สามารถหลบพ้นจากสายตาที่เยือกเย็นของเยี่ยโยวเหยาไปได้

        ซูจิ่นซีมีความตั้งใจเป็นอย่างมาก นางคิดที่จะดิ้นรนต่อสู้ครั้งสุดท้ายก่อนตายจึงตัดสินใจกระทำบางอย่าง

        เช่นเดียวกับเยี่ยโยวเหยา และฮั่วอวี้เจียวผู้ซึ่งกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา นางคอยมองทุกการเปลี่ยนแปลงของซูจิ่นซี

        ความรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีในใจของฮั่วอวี้เจียวยิ่งรุนแรงมากขึ้น

        ซูจิ่นซีคิดจะพลิกสถานการณ์อย่างแน่นอน นางต้องใช้ความสามารถชักจูงฮ่องเต้ มันต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน

        ไม่ ไม่ได้!

        นางไม่สามารถปล่อยให้ซูจิ่นซีประสบความสำเร็จได้

        นางต้องหยุดซูจิ่นซีไว้

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset