โรงน้ำชาจุ้ยหง…นั่นมันหอนางโลมที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองตี้จิงนี่!
กระไรนะ?
คาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะให้บุตรสาวจากตระกูลเก่าแก่มั่งมี ผู้ไร้เดียงสาเช่นฮั่วอวี้เจียวไปยืนอยู่ในสถานที่เช่นนั้นเป็นเวลาสามวัน อีกทั้งนางยังต้องถอดเสื้อผ้าออกให้หมดเสียด้วย?
นั่นจะเป็นเหตุการณ์เช่นใดกัน? ไม่มีผู้ใดกล้าคิดเลย!
ใบหน้าของฮั่วอวี้เจียวแดงก่ำขึ้นมาในทันที แทบจะกลายเป็นเสาเหล็กที่แดงฉาน
“เป็นอย่างไรเล่า? คุณหนูฮั่วรักใคร่ชื่นชมสามีของข้า ถึงขนาดกล้าดูถูกข้า ทว่าแม้แต่กลอุบายที่ท่านเองกล่าวออกมาก็ล้วนไม่กล้าตอบรับแล้วหรือ? ”
“ซูจิ่นซี แม้จวนสกุลซูจะไม่ได้สูงส่ง ทว่าอย่างไรก็ถือว่าเป็นครอบครัวใหญ่เช่นกัน เหตุใดเจ้าจึงไม่รู้จักละอายบ้าง ท่ามกลางผู้คนเช่นนี้ แม้แต่คำพูดนั้นเจ้ายังกล้าพูดออกมาอีกหรือ? ”
หวาหรงจวิ้นจู่กล่าว
ซูจิ่นซีไม่ได้พูดตอบ นางมองไปที่ฮั่วอวี้เจียวด้วยรอยยิ้มเย็นชา
ผู้คนด้านข้างต่างเริ่มชี้นิ้วไปที่ซูจิ่นซี แอบกระซิบนินทา คำพูดอันใดล้วนมีทุกอย่าง
ครานี้ถึงคราวที่ฮั่วอวี้เจียวเป็นฝ่ายเงียบแล้ว
ซูจิ่นซีไม่อดทนเหมือนกับฮั่วอวี้เจียว นางยิ้มเยาะที่มุมปาก ก่อนจะหันหลังเดินกลับไป
“ซูจิ่นซี ข้ารับปากเจ้า! ”
จู่ๆ ฮั่วอวี้เจียวก็พูดด้วยน้ำเสียงขมฝาด สองมือกำแน่น จนเล็บจิกลงไปในเนื้อ
ซูจิ่นซีไม่ได้หันกลับไป รอยยิ้มเยาะเย้ยของนางยิ่งเหยียดลึกขึ้นไปอีก นางส่ายศีรษะไปมาและเดินหายเข้าไปในฝูงชน
แท้จริงแล้ว ไม่ว่าการเดิมพันครั้งนี้จะเป็นอย่างไร ภายในใจของฮั่วอวี้เจียวนั้นมันคือการเดิมพันว่านางหรือซูจิ่นซีที่คู่ควรกับเยี่ยโยวเหยามากกว่ากัน ทว่าทันทีที่ฮั่วอวี้เจียวตอบรับการเดิมพันของซูจิ่นซี ฮั่วอวี้เจียวก็แพ้แล้ว
ความรักระหว่างชายหญิงนั้นเท่าเทียมกัน ศักดิ์ศรีคือเส้นตาย ไม่ว่าจะรักฝ่ายตรงข้ามมากเพียงใด หากแม้ศักดิ์ศรีก็ไม่ต้องการ รักนี้ก็เท่ากับสูญเสียความสมดุลไปแล้ว เช่นนั้นมันจะมีความหมายอันใดอีก
จนกระทั่งซูจิ่นซีหายตัวไปจากฝูงชน ฮั่วอวี้เจียวก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
ฝูงชนแยกย้ายกันไปแล้ว ทันใดนั้นฮั่วอวี้เจียวก็เห็นรถม้าที่คุ้นเคยจอดอยู่ตรงหัวมุมถนน
บุรุษในรถม้านั้นเคร่งขรึมสูงศักดิ์ เขากำลังยกม่านขึ้นแล้วมองมาที่นาง
เป็นเยี่ยโยวเหยา
เขามาตั้งแต่เมื่อใดกัน?
รถม้าของเขาจอดอยู่ตรงนั้นนานเพียงใดแล้ว?
เหตุการณ์ที่นางเดิมพันกับซูจิ่นซีเมื่อครู่นั้นเสียงดังมาก เขาได้ยินหมดแล้วกระมัง?
เช่นนั้นเขาก็รู้แล้วว่านางชอบเขาอยู่?
ทันใดนั้นหัวใจของฮั่วอวี้เจียวก็เต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง แก้มของนางที่แดงฉานอยู่แล้วยิ่งร้อนผ่าวขึ้นไปอีก
“ท่าน… ท่านอ๋อง! ”
เสียงของฮั่วอวี้เจียวไม่ดังนัก นางเพียงพูดกับตนเองอย่างแผ่วเบา
ภายในใจของฮั่วอวี้เจียวเกิดความฮึกเหิม อีกนิดเดียวนางก็เกือบจะเดินไปข้างหน้าเพื่อสารภาพกับเยี่ยโยวเหยาให้ชัดเจนแล้ว ทว่าก่อนที่นางจะรวบรวมความกล้าให้มากพอ เยี่ยโยวเหยาก็ปิดม่านแล้วสั่งให้คนขับรถม้าออกตัวไป
ทันใดนั้นในใจของฮั่วอวี้เจียวก็พรั่งพรูความรู้สึกหดหู่ออกมาราวกับตกลงไปในก้อนเมฆ
รถม้าของเยี่ยโยวเหยาได้เคลื่อนออกไปไกลจากสายตาของฮั่วอวี้เจียวแล้ว ทว่าฮั่วอวี้เจียวยังยืนอยู่ที่เดิม
หวาหรงจวิ้นจู่ตกใจกับการเดิมพันที่ซูจิ่นซีกล่าวออกมา ยิ่งคิดไม่ถึงว่าฮั่วอวี้เจียวจะตอบรับการเดิมพันของซูจิ่นซีด้วย นางยืนงงงวยอยู่ที่เดิม แม้แต่สติก็ยังไม่กลับมาเสียที
บุรุษที่ฮั่วอวี้เจียวชอบคือเยี่ยโยวเหยา เมื่อครู่ที่ฮั่วอวี้เจียวกับซูจิ่นซีทะเลาะกันนั้น แม้แต่คนโง่ก็สามารถมองออกได้ นับประสาอะไรกับเยี่ยเซินที่ใจคิดเอาอกเอาใจแต่เพียงฮั่วอวี้เจียว
เยี่ยเซินยืนอยู่ที่ประตูร้านจวีเซียงฟาง บทสนทนาระหว่างฮั่วอวี้เจียวและซูจิ่นซีเมื่อครู่นี้กระจ่างแจ้ง เขาเห็นการแสดงออกของฮั่วอวี้เจียวที่หลงไหลในเยี่ยโยวเหยาได้อย่างชัดเจนเช่นกัน มือทั้งสองของเขากำหมัดแน่น
เยี่ยโยวเหยา ต่อไประหว่างข้ากับเจ้า ไม่จบง่ายๆ แน่!
แม้ซูจิ่นซีจะแยกออกมาก่อนเยี่ยโยวเหยานานแล้ว ทว่าเป็นเยี่ยโยวเหยาที่นั่งรถม้าและยังใช้เส้นทางที่สั้นกว่า ดังนั้นเมื่อซูจิ่นซีถึงจวนโยวอ๋อง เยี่ยโยวเหยาก็มาถึงก่อนแล้ว
“พระชายา ท่านอ๋องกลับมาแล้วเพคะ! ”
ทันทีที่ซูจิ่นซีก้าวเข้าไปในประตูจวน พ่อบ้านก็เอ่ยเตือนนาง
ซูจิ่นซีเดินไปถึงเรือนชิงโยว เยี่ยโยวเหยาก็อยู่ตรงนั้นแล้ว เขานั่งที่หน้าประตูเรือนอวิ๋นไค ดื่มชาอย่างสบายอกสบายใจ
ซูจิ่นซีตกตะลึงเล็กน้อย นางก้าวเท้าอย่างแผ่วเบาเดินเข้าไป
ประการแรก…แน่นอนว่าเป็นเพราะภาพของเยี่ยโยวเหยาที่นั่งอยู่ตรงนั้นช่างสวยงามมากเสียจนสะดุดตา ประการที่สอง…นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยโยวเหยามานั่งอยู่หน้าประตูเรือนอวิ๋นไคในเวลาที่นางไม่อยู่
เขากำลังทำอันใดอยู่กัน?
หรือว่าจะรอนางกลับมา? มีเรื่องอันใดหรือ?
“ท่านอ๋อง ท่านกลับมาแล้วหรือเพคะ? ”
ซูจิ่นซียิ้มอย่างสดใสกล่าวทักทาย
“อืม! ”
เสียงของเยี่ยโยวเหยาตอบกลับอย่างเย็นชา
“ท่านอ๋อง ท่านมีเรื่องอันใดหรือไม่เพคะ? ”
ซูจิ่นซีถามต่อ
“ร่างกายของข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายเล็กน้อย เจ้าดูให้ข้าหน่อยสิ! ”
ทันใดนั้นหลิงเฟิงที่ยืนอยู่ด้านหลังเยี่ยโยวเหยาก็รู้สึกประหลาดใจ
ไม่เคยได้ยินท่านอ๋องกล่าวว่ารู้สึกไม่สบายมาก่อนเลย!
“อ้อ! ”
ซูจิ่นซีนั่งลงตรงข้ามเยี่ยโยวเหยา นางวางนิ้วเรียวยาวลงบนข้อมือที่เยี่ยโยวเหยายื่นออกมา
“ร่างกายส่วนใดของท่านอ๋องที่รู้สึกไม่สบายเพคะ? ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้ว กระแอมไอสองครั้งพร้อมกับกำมือมาทาบริมฝีปาก
“คอ”
“อ้อ! ”
ซูจิ่นซีรวบรวมความคิด นางใช้เวลาสักพักในการจับชีพจร
“ดูจากชีพจรแล้ว ท่านอ๋องไม่ได้เป็นอันใดมากเพคะ นอกจากพิษดูดเลือด พิษอื่นๆ ก็กำจัดออกไปหมดแล้ว ทว่าพิษดูดเลือดกับอาการไอของท่านอ๋องไม่เกี่ยวข้องอันใดกัน บางทีท่านอ๋องอาจต้องลมหนาวมา หม่อมฉันจะสั่งยาให้ท่านสองเทียบ ให้ท่านอ๋องนำมาดื่มเป็นชาสักสองสามครั้งก็จะสามารถบรรเทาอาการไอได้เพคะ ”
“อืม! ”
เยี่ยโยวเหยาส่งเสียงตอบ จากนั้นก็ทำเป็นไอขึ้นมาอีก
ซูจิ่นซีเหลือบมองเยี่ยโยวเหยาอย่างแปลกใจเล็กน้อย
แท้จริงแล้วนางไม่เห็นอาการผิดปกติใดเลยจากการจับชีพจรของเยี่ยโยวเหยา ทว่าสังเกตจากอาการไอของเขาแล้ว ก็ดูไม่เหมือนแกล้งไอนี่!
ซูจิ่นซีเขียนชื่อยาและมอบให้กับหลินเฟิง เยี่ยโยวเหยาก็ลุกขึ้นเตรียมกลับไปที่ตำหนักฝูอวิ๋น
“ท่านอ๋อง! ”
ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็ตะโกนรั้งเยี่ยโยวเหยาเอาไว้
“มีเรื่องอันใด? ”
เยี่ยโยวเหยาหันกลับมา
“เรื่องนั้น… เรื่องของเฉินไท่เฟย หม่อมฉันขออภัยจากใจจริงเพคะ ทว่าหม่อมฉันจะพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อช่วยเฉินไท่เฟยออกมาอย่างแน่นอนเพคะ”
“อืม! ”
ในสายตาของเยี่ยโยวเหยาไม่สามารถมองออกว่าคิดอะไรอยู่ เขาตอบรับเพียงแผ่วเบา แล้วหันหลังเดินไปยังตำหนักฝูอวิ๋น
โลกใบนี้จะมีคนที่ไม่สนใจมารดาผู้ให้กำเนิดของตนได้อย่างไร ทว่าเยี่ยโยวเหยาดูราวกับไม่สนใจว่าเฉินไท่เฟยจะอยู่หรือตาย ทำให้ซูจิ่นซีสงสัยว่าแท้จริงแล้วเยี่ยโยวเหยาไม่ใช่ลูกของเฉินไท่เฟย ทว่าโผล่ออกมาจากรอยแยกของหิน มิเช่นนั้นเหตุใดจึงเย็นชาถึงเพียงนี้
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันยังมีอีกเรื่องเพคะ! ”
“พูด! ”
เยี่ยโยวเหยาหยุดเดิน แต่ไม่ได้หันกลับไป
ร่างกายของซูจิ่นซีสั่นเทาอย่างอธิบายไม่ถูก มัน… น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว การสนทนากับเยี่ยโยวเหยามันช่างกดดันเสียจริง
“หม่อมฉันคิดว่า คนที่สามารถวางยาพิษฮองเฮาได้จะต้องเป็นผู้ที่อยู่ข้างกายพระองค์อย่างแน่นอนเพคะ ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องเข้าใจฮองเฮามาก หม่อมฉันคิดว่าจะเริ่มสืบหาจากชีวิตประจำวันและความโปรดปรานของฮองเฮา จึงต้องการขอร้องให้ท่านอ๋องช่วยหม่อมฉันตรวจสอบเล็กน้อยเพคะ”
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้ตอบรับ ทั้งยังไม่ได้ให้คำตอบนางว่าเขาตกลงช่วยหรือไม่เช่นกัน
ลึกๆ ภายในใจของซูจิ่นซีรู้สึกราวกับถูกทอดทิ้ง
นางรู้อยู่แล้วว่าการมาหาเยี่ยโยวเหยานั้นคงไม่มีประโยชน์อันใดแน่นอน
อารมณ์ของเยี่ยโยวเหยาไม่คงที่ เขาแปลกประหลาดถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ยอมเข้าใกล้สตรี แล้วเขาจะตอบรับคำขอของนาง ช่วยนางสืบเรื่องของบุคคลผู้หนึ่งได้อย่างไร
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปาก นางหันหลังกลับเข้าเรือนอวิ๋นไคแล้วคิดหาวิธีอื่น
ทว่าในตอนที่ซูจิ่นซีหันหลังกลับนั้น คาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะหันศีรษะกลับมา