ซูจิ่นซีอาบน้ำเสร็จ ดื่มน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมแล้วก็หลับไป นางหลับสนิทจนกระทั่งถึงตอนเช้าของอีกวัน
แม่นมฮวาในหัวเต็มไปด้วยเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของหนุ่มสาวนางเริ่มคิดไม่บริสุทธิ์อีกครั้งและพึมพำกับตนเองว่า “เมื่อคืนท่านอ๋องกับพระชายาอยู่ที่หนานย่วน ท่านอ๋องจะต้องไม่ให้พระชายาหยุดพักเป็นแน่ ร่างกายถึงได้อ่อนเพลียเช่นนี้ รอพบท่านอ๋องครั้งหน้า ข้าจะต้องเกลี้ยกล่อมเขาดีๆ เสียหน่อยแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงวัยฉกรรจ์ ทว่าก็มิควรไม่รับรู้ที่จะควบคุมถึงเพียงนี้! และก็จะต้องคิดถึงอนาคตด้วยเช่นกัน! รักน้อยๆ ทว่ารักนานๆ ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยเป็นค่อยไปอย่างไรเล่า!”
แม้ว่าปากจะพึมพำ ทว่าแม่นมฮวาก็หันศีรษะมองไปยังทิศทางห้องของซูจิ่นซีบนชั้นสอง นางยังคงมีความสุขมากเหลือเกิน ฝ่าบาทผู้นี้ ในที่สุดก็รู้ว่าสิ่งใดคือดอกไม้ไฟแห่งโลกมนุษย์ [1] !
หลังจากตื่นนอนในเช้าวันรุ่งขึ้น ซูจิ่นซีทานอาหารเช้าและขอให้พ่อบ้านเตรียมรถม้าไปที่หนานย่วนเพื่อฝังเข็มให้กับเฉินไท่เฟย
อาการป่วยของเฉินไท่เฟยยังไม่หายดี ร่างกายยังอ่อนแอ กำลังล้มหมอนนอนเสื่อ เว่ยเหม่ยเจียกำลังปรนนิบัติให้พระนางดื่มชายามเช้า พ่อบ้านก็เข้ามารายงานว่าซูจิ่นซีมาถึงแล้ว
เฉินไท่เฟยแสดงออกชัดเจนว่าเบื่อหน่าย “นางมาทำอันใด? ”
ด้านข้างที่เป็นนางกำนัลสาวผู้มีความประทับใจต่อซูจิ่นซีพูดขึ้น “ไท่เฟย ทรงจำไม่ได้แล้วหรือเพคะ? เมื่อวานก่อนที่พระชายาจะไปได้บอกไว้ว่า เจ็ดวันต่อจากนี้นางจะมาฝังเข็มให้ท่านทุกวันเพคะ! และเจ็ดวันหลังจากนี้ท่านจะสามารถลงจากเตียงเดินได้แล้วนะเพคะ”
“พระชายา? ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าเรียกนางเช่นนั้น? ”
นางกำนัลก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว นางไม่กล้าพูดสิ่งใดอีกแม้แต่ประโยคเดียว
เดิมทีเฉินไท่เฟยรู้สึกรังเกียจเป็นอย่างยิ่งที่ซูจิ่นซีได้เป็นลูกสะใภ้ของนาง แม้ว่าเยี่ยโยวเหยาจะต้อนรับซูจิ่นซีเข้ามาในจวนโยวอ๋อง คำเล่าลือภายนอกเผยแพร่ไปทั่วว่าท่านอ๋องโปรดปรานซูจิ่นซีอย่างไร ทว่าเฉินไท่เฟยก็ยังคงไม่เต็มใจที่จะยอมรับซูจิ่นซีผู้นี้เป็นลูกสะใภ้
เว่ยเหม่ยเจียรู้สึกยินดีปรีดาในความโชคร้ายของซูจิ่นซี
“เสด็จป้าเพคะ ตอนนี้กระดูกในร่างกายของท่านยังอ่อนแออยู่ โมโหง่ายเช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ หากท่านไม่อยากพบพี่สะใภ้ เหม่ยเจียจะส่งคนไปพูดกับพี่สะใภ้เอง ให้นางมาวันหลังแทนดีหรือไม่เพคะ? ”
เฉินไท่เฟยลังเลเล็กน้อย
ซูจิ่นซีพูดว่าเจ็ดวันหลังจากฝังเข็มนางจะสามารถลองพยายามลุกจากเตียงและเดินได้ ซึ่งเป็นสิ่งล่อใจสำหรับเฉินไท่เฟยผู้ซึ่งพิการมากว่ายี่สิบปี แม้ว่าในใจจะเชื่อว่าซูจิ่นซีเป็นเพียงขยะทางการแพทย์ ทว่าหลังจากที่ซูจิ่นซีทำการรักษาให้ตน ยิ่งไปกว่านั้นนางยังได้ยินผู้คนพูดไม่น้อยเลยว่าแม้แต่หมอหลวงฉู่ก็พ่ายแพ้ต่อซูจิ่นซี หากปล่อยให้ซูจิ่นซีไปเช่นนี้ นางก็ยังไม่เต็มใจเสียเท่าไร
เมื่อเห็นว่าเฉินไท่เฟยไม่ได้ตอบ เว่ยเหม่ยเจียก็กลัวว่าเฉินไท่เฟยจะเปลี่ยนใจอย่างฉับพลัน นางจึงตัดสินใจคิดเองโดยพลการ
สั่งข้ารับใช้ที่อยู่ด้านข้างว่า “ไปบอกกับพี่สะใภ้ว่าร่างกายของเสด็จป้ารู้สึกไม่สบายเล็กน้อย ไม่สะดวกเจอพี่สะใภ้ หากเสด็จป้าสบายดีขึ้นแล้ว จะส่งคนไปที่จวนบอกท่านว่าให้มาอีกที”
ข้ารับใช้รับคำสั่ง ทว่าเดินไปถึงประตูแล้ว เฉินไท่เฟยก็พูดขึ้นมาในทันทีทันใด “อย่างไรก็ให้นางเข้ามาเถิด! ที่สุดแล้วอย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกันแม้จะเพียงผิวเผิน หากให้นางกลับไป ข้าก็จะดูเหมือนแม่สามีที่ใจแคบนะสิ”
เว่ยเหม่ยเจียไม่เต็มใจ ทว่านางก็ไม่กล้าแสดงออกบนใบหน้า “เพคะ! ”
หลังจากนั้นก็ให้ข้ารับใช้ไปเชิญซูจิ่นซีเข้ามา
ซูจิ่นซีสวมใส่กระโปรงสีห่านเหลืองสวย สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย พร้อมกับสะพายกระเป๋าแพทย์ไว้ที่ไหล่ ทันทีที่เดินเข้ามานางก็ยิ้มราวกับฤดูใบไม้ผลิเดือนสามที่สดใส
“เสด็จแม่ ดูท่าจะฟื้นตัวได้ดีนะเพคะ! วันนี้ดูเหมือนว่าสีหน้าราศีก็ไม่เลวเลยเพคะ! ”
เฉินไท่เฟยจงใจแกล้งทำเป็นไม่รู้เบื้องหลังรูปการของซูจิ่นซี
“เจ้ามาทำอันใด? ”
ซูจิ่นซียังคงยิ้ม “เสด็จแม่ลืมแล้วหรือเพคะ? เมื่อวานที่หม่อมฉันพูดก่อนจะจากไป แม้ว่าท่านจะเสวยยาไปแล้ว ทว่าร่างกายยังคงมีพิษกระดูกหลงเหลืออยู่และยังจะต้องได้รับการฝังเข็มอีกสองถึงสามครั้งเพื่อถอนพิษออกให้หมดเพคะ อนาคตไม่กี่วันต่อจากนี้ไป หม่อมฉันล้วนมาเพื่อฝังเข็มให้เสด็จแม่เพคะ”
“พิษกระดูก? ”
เฉินไท่เฟยไม่เข้าใจว่าตนเองได้รับพิษอันใด
ซูจิ่นซีกำลังจะอธิบาย เฉินไท่เฟยก็ให้นางหยุดกะทันหัน และไล่ข้ารับใช้ทั้งหมดในห้องออกไป เหลือเพียงเว่ยเหม่ยเจียและซูจิ่นซีสองนาง
ซูจิ่นซีอธิบายขั้นตอนค้นพบพิษกระดูก ชนิดพิษของพิษกระดูก เวลาที่พิษอยู่ในร่างกายเฉินไท่เฟยนานเท่าใด รวมทั้งพูดถึงความร้ายแรงของร่างกายเฉินไท่เฟย แน่นอนว่านางละความรู้เกี่ยวกับระบบพิษไว้ เพียงพูดว่าเป็นตัวนางเองที่ตรวจชีพจรแล้วพบเข้า
เฉินไท่เฟยกำผ้าห่มแน่นด้วยความโกรธ “อวิ๋นไชเยวี่ย ต้องมีสักวันหนึ่ง วังแห่งนี้จะคืนความเจ็บปวดที่เจ้าได้ก่อขึ้นให้วังแห่งนี้ คืนให้เจ้าร้อยเท่าพันเท่า! คืนให้เจ้าทั้งสิ้น! ”
ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าอวิ๋นไชเยวี่ยคือผู้ใด ทว่านางเดาออกว่าต้องเป็นคนที่วางยาพิษกระดูกให้เฉินไท่เฟยในสมัยนั้นเป็นแน่
ทว่าเว่ยเหม่ยเจียตกใจเป็นอย่างมาก ใบหน้าของนางซีดเล็กน้อย และไม่พูดอันใด
“เสด็จแม่ เราเริ่มกันเถิดเพคะ! ” ซูจิ่นซีหยิบเข็มเงินขึ้นมาวางแผ่อยู่บนโต๊ะด้วยทักษะที่คุ้นเคย
“ซูจิ่นซี เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าจะสามารถรักษาโรคที่ขาของข้าได้? หากเจ้ารักษาไม่หายจะทำอย่างไร? ”
ซูจิ่นซีไม่ได้พูดอะไร “รักษาไม่หายก็รักษาไม่หายเพคะ! ยังสามารถทำอันใดได้เล่าเพคะ? ”
หมอก็เป็นมนุษย์เช่นกัน ไม่ใช่พระเจ้าเสียหน่อย แม้แต่หวาถัวกับเปี่ยนเชวี่ย ตอนนั้นก็พบกับอาการเจ็บป่วยที่ช่วยเหลือไม่ได้เช่นกัน
“เจ้ามันก็เป็นแค่คนอวดดี” เฉินไท่เฟยยิ้มอย่างเย็นชา “ซูจิ่นซี ในเมื่อเจ้าเอ่ยมาเช่นนี้แล้ว หากเจ้ารักษาขาทั้งสองของข้าไม่หาย ถึงเวลานั้นก็ไสหัวกลับจวนโยวอ๋องไป มาทางไหนก็กลับไปทางนั้น ถอดถอนฐานะพระชายาอ๋องออกด้วย”
เมื่อเว่ยเหม่ยเจียได้ยินเฉินไท่เฟยเตือนซูจิ่นซีว่าจะถอนฐานะชายาอ๋องออก ในหัวใจก็มีความสุขขึ้นมาฉับพลันทันใด นางระงับความตื่นเต้นที่ล้นในใจไว้ ขมวดคิ้วเพื่อเกลี้ยกล่อมซูจิ่นซี
“พี่สะใภ้ ข้าว่าท่านอย่าพยายามเลยเพคะ อาการที่ขาเสด็จป้าของข้าเป็นมาหลายปีแล้ว หลายปีมานี้ข้าก็ได้เสาะแสวงหาแพทย์ที่มีชื่อเสียงทั่วทุกหนแห่ง ทว่าล้วนไม่สัมฤทธิ์ผล หากตอนนี้ท่านถอดใจยังทันนะเพคะ”
“ถอดใจตอนนี้? มีลูกศรไหนย้อนกลับมาที่คันธนูหรือไม่? ซูจิ่นซีหากเจ้ายอมรับว่าปอดแหกตอนนี้ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ต้องถอดฐานะชายาอ๋อง และออกไปจากจวนโยวอ๋องก็เท่านั้นเอง ข้าจะนึกเสียว่าหลายวันมานี้เจ้าใช้ปัญญาเพื่อรักษาข้า ข้าจะระงับข่าวลือภายนอกให้ เพื่อจะได้ไม่น่าเกลียดมากนัก”
เฉินไท่เฟยพูดอย่างเย็นชา
ซูจิ่นซีอยากจะโกรธเสียจริง
แม้ว่านางจะมุ่งเรียนเฉพาะสาขาวิชาถอนพิษ ทว่าครึ่งหนึ่งของนางก็ยังถือว่าเป็นหมอรักษา หลังจากอยู่สายแพทย์มาหลายปี นางไม่เคยเห็นผู้ป่วยที่หยิ่งผยองเช่นนี้มาก่อน คาดไม่ถึงว่าการรักษาจะต้องมีเงื่อนไขกับหมอด้วย รู้สึกว่าเฉินไท่เฟยจะทำตนเป็นสุนัขจับหมู [2] เสียจริง
เพียงแต่นางก็รู้ด้วยว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะล่วงเกินเฉินไท่เฟย
นางยิ้มแห้งๆ ที่มุมปาก “เสด็จแม่ เราเริ่มกันเถิดเพคะ! ”
ซูจิ่นซีหยิบเข็มเงิน เมื่อนางกำลังจะลงเข็มให้เฉินไท่เฟย ทันใดนั้นนางก็นึกถึงบางสิ่งและหันไปหาเว่ยเหม่ยเจีย “น้องหญิง ตามหลักการรักษาของข้า ขอเชิญให้เจ้าออกไปรอด้านนอกก่อน”
“พี่สะใภ้ การลงเข็มของท่านยังต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีกหรือ? เป็นไปได้ไหมว่ามีบางอย่างที่ปิดบังอยู่ในนั้นเพคะ?”
“ออกไป! ”
ซูจิ่นซีดุขึ้นมากะทันหัน
เว่ยเหม่ยเจียมองไปยังเฉินไท่เฟย เห็นเฉินไท่เฟยที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ไม่ได้ตั้งใจจะพูดเพื่อตนเอง สีหน้าของเว่ยเหม่ยเจียดูไม่พอใจเล็กน้อย นางเม้มริมฝีปากและเดินออกไปอย่างหมดกำลังใจ
ซูจิ่นซีมีความสุขมากที่พบจุดฝังเข็มบนร่างกายของเฉินไท่เฟย จึงเริ่มลงเข็ม
ไม่ใช่ว่ามีสิ่งใดไม่ดีแล้วปิดบังไม่ให้ผู้อื่นมองเห็น และไม่ใช่ว่าจำเป็นจะต้องให้เว่ยเหม่ยเจียออกไปเช่นกัน
เพียงแต่ว่าเจ้าเด็กผู้นี้ปากชอบพูดจาเลอะเทอะ เพียงแค่เปิดปากก็สร้างปัญหาให้ซูจิ่นซียุ่งยากใจ นางเพียงแค่ถือโอกาสพูดให้เว่ยเหม่ยเจียรู้สึกไม่สบายใจเท่านั้น
ซูจิ่นซีไม่สามารถบอกว่าเฉินไท่เฟยเป็นอย่างไร แล้วยังจะให้เว่ยเหม่ยเจียลงมือก่อนได้หรือ?
นางเพียงต้องการเพิ่มความอึดอัดใจให้เว่ยเหม่ยเจียสักหน่อย ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ เพียงเท่านั้นอารมณ์ของซูจิ่นซีก็ดีขึ้นไม่รู้เท่าใดแล้ว
ทว่า…
……