สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 40 สละฐานะชายาโยวอ๋อง

        ซูจิ่นซีอาบน้ำเสร็จ ดื่มน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมแล้วก็หลับไป นางหลับสนิทจนกระทั่งถึงตอนเช้าของอีกวัน

        แม่นมฮวาในหัวเต็มไปด้วยเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของหนุ่มสาวนางเริ่มคิดไม่บริสุทธิ์อีกครั้งและพึมพำกับตนเองว่า “เมื่อคืนท่านอ๋องกับพระชายาอยู่ที่หนานย่วน ท่านอ๋องจะต้องไม่ให้พระชายาหยุดพักเป็นแน่ ร่างกายถึงได้อ่อนเพลียเช่นนี้ รอพบท่านอ๋องครั้งหน้า ข้าจะต้องเกลี้ยกล่อมเขาดีๆ เสียหน่อยแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงวัยฉกรรจ์ ทว่าก็มิควรไม่รับรู้ที่จะควบคุมถึงเพียงนี้! และก็จะต้องคิดถึงอนาคตด้วยเช่นกัน! รักน้อยๆ ทว่ารักนานๆ ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยเป็นค่อยไปอย่างไรเล่า!”

        แม้ว่าปากจะพึมพำ ทว่าแม่นมฮวาก็หันศีรษะมองไปยังทิศทางห้องของซูจิ่นซีบนชั้นสอง นางยังคงมีความสุขมากเหลือเกิน ฝ่าบาทผู้นี้ ในที่สุดก็รู้ว่าสิ่งใดคือดอกไม้ไฟแห่งโลกมนุษย์ [1] !

        หลังจากตื่นนอนในเช้าวันรุ่งขึ้น ซูจิ่นซีทานอาหารเช้าและขอให้พ่อบ้านเตรียมรถม้าไปที่หนานย่วนเพื่อฝังเข็มให้กับเฉินไท่เฟย

        อาการป่วยของเฉินไท่เฟยยังไม่หายดี ร่างกายยังอ่อนแอ กำลังล้มหมอนนอนเสื่อ เว่ยเหม่ยเจียกำลังปรนนิบัติให้พระนางดื่มชายามเช้า พ่อบ้านก็เข้ามารายงานว่าซูจิ่นซีมาถึงแล้ว

        เฉินไท่เฟยแสดงออกชัดเจนว่าเบื่อหน่าย “นางมาทำอันใด? ”

        ด้านข้างที่เป็นนางกำนัลสาวผู้มีความประทับใจต่อซูจิ่นซีพูดขึ้น “ไท่เฟย ทรงจำไม่ได้แล้วหรือเพคะ? เมื่อวานก่อนที่พระชายาจะไปได้บอกไว้ว่า เจ็ดวันต่อจากนี้นางจะมาฝังเข็มให้ท่านทุกวันเพคะ! และเจ็ดวันหลังจากนี้ท่านจะสามารถลงจากเตียงเดินได้แล้วนะเพคะ”

        “พระชายา? ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าเรียกนางเช่นนั้น? ”

        นางกำนัลก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว นางไม่กล้าพูดสิ่งใดอีกแม้แต่ประโยคเดียว

        เดิมทีเฉินไท่เฟยรู้สึกรังเกียจเป็นอย่างยิ่งที่ซูจิ่นซีได้เป็นลูกสะใภ้ของนาง แม้ว่าเยี่ยโยวเหยาจะต้อนรับซูจิ่นซีเข้ามาในจวนโยวอ๋อง คำเล่าลือภายนอกเผยแพร่ไปทั่วว่าท่านอ๋องโปรดปรานซูจิ่นซีอย่างไร ทว่าเฉินไท่เฟยก็ยังคงไม่เต็มใจที่จะยอมรับซูจิ่นซีผู้นี้เป็นลูกสะใภ้

        เว่ยเหม่ยเจียรู้สึกยินดีปรีดาในความโชคร้ายของซูจิ่นซี

        “เสด็จป้าเพคะ ตอนนี้กระดูกในร่างกายของท่านยังอ่อนแออยู่ โมโหง่ายเช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ หากท่านไม่อยากพบพี่สะใภ้ เหม่ยเจียจะส่งคนไปพูดกับพี่สะใภ้เอง ให้นางมาวันหลังแทนดีหรือไม่เพคะ? ”

        เฉินไท่เฟยลังเลเล็กน้อย

        ซูจิ่นซีพูดว่าเจ็ดวันหลังจากฝังเข็มนางจะสามารถลองพยายามลุกจากเตียงและเดินได้ ซึ่งเป็นสิ่งล่อใจสำหรับเฉินไท่เฟยผู้ซึ่งพิการมากว่ายี่สิบปี แม้ว่าในใจจะเชื่อว่าซูจิ่นซีเป็นเพียงขยะทางการแพทย์ ทว่าหลังจากที่ซูจิ่นซีทำการรักษาให้ตน ยิ่งไปกว่านั้นนางยังได้ยินผู้คนพูดไม่น้อยเลยว่าแม้แต่หมอหลวงฉู่ก็พ่ายแพ้ต่อซูจิ่นซี หากปล่อยให้ซูจิ่นซีไปเช่นนี้ นางก็ยังไม่เต็มใจเสียเท่าไร

        เมื่อเห็นว่าเฉินไท่เฟยไม่ได้ตอบ  เว่ยเหม่ยเจียก็กลัวว่าเฉินไท่เฟยจะเปลี่ยนใจอย่างฉับพลัน นางจึงตัดสินใจคิดเองโดยพลการ

        สั่งข้ารับใช้ที่อยู่ด้านข้างว่า “ไปบอกกับพี่สะใภ้ว่าร่างกายของเสด็จป้ารู้สึกไม่สบายเล็กน้อย ไม่สะดวกเจอพี่สะใภ้ หากเสด็จป้าสบายดีขึ้นแล้ว จะส่งคนไปที่จวนบอกท่านว่าให้มาอีกที”

        ข้ารับใช้รับคำสั่ง ทว่าเดินไปถึงประตูแล้ว เฉินไท่เฟยก็พูดขึ้นมาในทันทีทันใด “อย่างไรก็ให้นางเข้ามาเถิด! ที่สุดแล้วอย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกันแม้จะเพียงผิวเผิน หากให้นางกลับไป ข้าก็จะดูเหมือนแม่สามีที่ใจแคบนะสิ”

        เว่ยเหม่ยเจียไม่เต็มใจ ทว่านางก็ไม่กล้าแสดงออกบนใบหน้า “เพคะ! ”

        หลังจากนั้นก็ให้ข้ารับใช้ไปเชิญซูจิ่นซีเข้ามา

        ซูจิ่นซีสวมใส่กระโปรงสีห่านเหลืองสวย สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย พร้อมกับสะพายกระเป๋าแพทย์ไว้ที่ไหล่ ทันทีที่เดินเข้ามานางก็ยิ้มราวกับฤดูใบไม้ผลิเดือนสามที่สดใส

        “เสด็จแม่ ดูท่าจะฟื้นตัวได้ดีนะเพคะ! วันนี้ดูเหมือนว่าสีหน้าราศีก็ไม่เลวเลยเพคะ! ”

        เฉินไท่เฟยจงใจแกล้งทำเป็นไม่รู้เบื้องหลังรูปการของซูจิ่นซี

        “เจ้ามาทำอันใด? ”

        ซูจิ่นซียังคงยิ้ม “เสด็จแม่ลืมแล้วหรือเพคะ? เมื่อวานที่หม่อมฉันพูดก่อนจะจากไป แม้ว่าท่านจะเสวยยาไปแล้ว ทว่าร่างกายยังคงมีพิษกระดูกหลงเหลืออยู่และยังจะต้องได้รับการฝังเข็มอีกสองถึงสามครั้งเพื่อถอนพิษออกให้หมดเพคะ อนาคตไม่กี่วันต่อจากนี้ไป หม่อมฉันล้วนมาเพื่อฝังเข็มให้เสด็จแม่เพคะ”

        “พิษกระดูก? ”

        เฉินไท่เฟยไม่เข้าใจว่าตนเองได้รับพิษอันใด

        ซูจิ่นซีกำลังจะอธิบาย เฉินไท่เฟยก็ให้นางหยุดกะทันหัน และไล่ข้ารับใช้ทั้งหมดในห้องออกไป เหลือเพียงเว่ยเหม่ยเจียและซูจิ่นซีสองนาง

        ซูจิ่นซีอธิบายขั้นตอนค้นพบพิษกระดูก ชนิดพิษของพิษกระดูก เวลาที่พิษอยู่ในร่างกายเฉินไท่เฟยนานเท่าใด รวมทั้งพูดถึงความร้ายแรงของร่างกายเฉินไท่เฟย แน่นอนว่านางละความรู้เกี่ยวกับระบบพิษไว้ เพียงพูดว่าเป็นตัวนางเองที่ตรวจชีพจรแล้วพบเข้า

        เฉินไท่เฟยกำผ้าห่มแน่นด้วยความโกรธ “อวิ๋นไชเยวี่ย ต้องมีสักวันหนึ่ง วังแห่งนี้จะคืนความเจ็บปวดที่เจ้าได้ก่อขึ้นให้วังแห่งนี้ คืนให้เจ้าร้อยเท่าพันเท่า! คืนให้เจ้าทั้งสิ้น! ”

        ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าอวิ๋นไชเยวี่ยคือผู้ใด ทว่านางเดาออกว่าต้องเป็นคนที่วางยาพิษกระดูกให้เฉินไท่เฟยในสมัยนั้นเป็นแน่

        ทว่าเว่ยเหม่ยเจียตกใจเป็นอย่างมาก ใบหน้าของนางซีดเล็กน้อย และไม่พูดอันใด

        “เสด็จแม่ เราเริ่มกันเถิดเพคะ! ”  ซูจิ่นซีหยิบเข็มเงินขึ้นมาวางแผ่อยู่บนโต๊ะด้วยทักษะที่คุ้นเคย

        “ซูจิ่นซี เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าจะสามารถรักษาโรคที่ขาของข้าได้? หากเจ้ารักษาไม่หายจะทำอย่างไร? ”

        ซูจิ่นซีไม่ได้พูดอะไร “รักษาไม่หายก็รักษาไม่หายเพคะ! ยังสามารถทำอันใดได้เล่าเพคะ? ”

        หมอก็เป็นมนุษย์เช่นกัน ไม่ใช่พระเจ้าเสียหน่อย แม้แต่หวาถัวกับเปี่ยนเชวี่ย ตอนนั้นก็พบกับอาการเจ็บป่วยที่ช่วยเหลือไม่ได้เช่นกัน

        “เจ้ามันก็เป็นแค่คนอวดดี” เฉินไท่เฟยยิ้มอย่างเย็นชา “ซูจิ่นซี ในเมื่อเจ้าเอ่ยมาเช่นนี้แล้ว หากเจ้ารักษาขาทั้งสองของข้าไม่หาย ถึงเวลานั้นก็ไสหัวกลับจวนโยวอ๋องไป มาทางไหนก็กลับไปทางนั้น ถอดถอนฐานะพระชายาอ๋องออกด้วย”

        เมื่อเว่ยเหม่ยเจียได้ยินเฉินไท่เฟยเตือนซูจิ่นซีว่าจะถอนฐานะชายาอ๋องออก ในหัวใจก็มีความสุขขึ้นมาฉับพลันทันใด นางระงับความตื่นเต้นที่ล้นในใจไว้ ขมวดคิ้วเพื่อเกลี้ยกล่อมซูจิ่นซี

        “พี่สะใภ้ ข้าว่าท่านอย่าพยายามเลยเพคะ อาการที่ขาเสด็จป้าของข้าเป็นมาหลายปีแล้ว หลายปีมานี้ข้าก็ได้เสาะแสวงหาแพทย์ที่มีชื่อเสียงทั่วทุกหนแห่ง ทว่าล้วนไม่สัมฤทธิ์ผล หากตอนนี้ท่านถอดใจยังทันนะเพคะ”

        “ถอดใจตอนนี้? มีลูกศรไหนย้อนกลับมาที่คันธนูหรือไม่? ซูจิ่นซีหากเจ้ายอมรับว่าปอดแหกตอนนี้ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ต้องถอดฐานะชายาอ๋อง และออกไปจากจวนโยวอ๋องก็เท่านั้นเอง ข้าจะนึกเสียว่าหลายวันมานี้เจ้าใช้ปัญญาเพื่อรักษาข้า ข้าจะระงับข่าวลือภายนอกให้ เพื่อจะได้ไม่น่าเกลียดมากนัก”

        เฉินไท่เฟยพูดอย่างเย็นชา

        ซูจิ่นซีอยากจะโกรธเสียจริง

        แม้ว่านางจะมุ่งเรียนเฉพาะสาขาวิชาถอนพิษ ทว่าครึ่งหนึ่งของนางก็ยังถือว่าเป็นหมอรักษา หลังจากอยู่สายแพทย์มาหลายปี นางไม่เคยเห็นผู้ป่วยที่หยิ่งผยองเช่นนี้มาก่อน คาดไม่ถึงว่าการรักษาจะต้องมีเงื่อนไขกับหมอด้วย รู้สึกว่าเฉินไท่เฟยจะทำตนเป็นสุนัขจับหมู [2] เสียจริง

        เพียงแต่นางก็รู้ด้วยว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะล่วงเกินเฉินไท่เฟย

        นางยิ้มแห้งๆ ที่มุมปาก “เสด็จแม่ เราเริ่มกันเถิดเพคะ! ”

        ซูจิ่นซีหยิบเข็มเงิน เมื่อนางกำลังจะลงเข็มให้เฉินไท่เฟย ทันใดนั้นนางก็นึกถึงบางสิ่งและหันไปหาเว่ยเหม่ยเจีย “น้องหญิง ตามหลักการรักษาของข้า ขอเชิญให้เจ้าออกไปรอด้านนอกก่อน”

        “พี่สะใภ้ การลงเข็มของท่านยังต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีกหรือ? เป็นไปได้ไหมว่ามีบางอย่างที่ปิดบังอยู่ในนั้นเพคะ?”

        “ออกไป! ”

        ซูจิ่นซีดุขึ้นมากะทันหัน

        เว่ยเหม่ยเจียมองไปยังเฉินไท่เฟย เห็นเฉินไท่เฟยที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ไม่ได้ตั้งใจจะพูดเพื่อตนเอง สีหน้าของเว่ยเหม่ยเจียดูไม่พอใจเล็กน้อย นางเม้มริมฝีปากและเดินออกไปอย่างหมดกำลังใจ

        ซูจิ่นซีมีความสุขมากที่พบจุดฝังเข็มบนร่างกายของเฉินไท่เฟย จึงเริ่มลงเข็ม

        ไม่ใช่ว่ามีสิ่งใดไม่ดีแล้วปิดบังไม่ให้ผู้อื่นมองเห็น และไม่ใช่ว่าจำเป็นจะต้องให้เว่ยเหม่ยเจียออกไปเช่นกัน

        เพียงแต่ว่าเจ้าเด็กผู้นี้ปากชอบพูดจาเลอะเทอะ เพียงแค่เปิดปากก็สร้างปัญหาให้ซูจิ่นซียุ่งยากใจ นางเพียงแค่ถือโอกาสพูดให้เว่ยเหม่ยเจียรู้สึกไม่สบายใจเท่านั้น

        ซูจิ่นซีไม่สามารถบอกว่าเฉินไท่เฟยเป็นอย่างไร แล้วยังจะให้เว่ยเหม่ยเจียลงมือก่อนได้หรือ?

        นางเพียงต้องการเพิ่มความอึดอัดใจให้เว่ยเหม่ยเจียสักหน่อย ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ เพียงเท่านั้นอารมณ์ของซูจิ่นซีก็ดีขึ้นไม่รู้เท่าใดแล้ว

        ทว่า…

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset