สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 42 มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

        “ให้เจ้าไปหยิบเจ้าก็ไปหยิบ จะพูดจามากความให้ได้อันใด? ”

        เว่ยเหม่ยเจียตกใจ เฉินไท่เฟยไม่เคยพูดกับนางด้วยน้ำเสียงที่ดุดันเช่นนี้มาก่อน

        นางพูดพร้อมน้ำตา “แต่ว่าเสด็จป้า ท่านเคยเอ่ยว่า… ”

        “แล้วอย่างไร? ข้าแก่แล้ว ป่วยแล้ว ก็เริ่มเรียกใช้เจ้าไม่ได้แล้วใช่หรือไม่? หรือว่าจะให้ข้าไปหยิบเอง? ”

        “ไม่… ไม่ใช่นะเพคะ เสด็จป้า หม่อมฉันจะไปเดี๋ยวนี้! ”

        เว่ยเหม่ยเจียพูดทั้งน้ำตา เหลือบมองซูจิ่นซีอย่างขุ่นเคือง แล้วไปหาปิ่นหงส์ที่เฉินไท่เฟยเอ่ยถึง

        งานฝีมือของปิ่นหงส์นั้นประณีตมาก สามารถที่จะพูดได้ว่าเป็นงานฝีมือที่ประณีตบรรจง

        หากเป็นสมัยปัจจุบัน มันก็เป็นเพียงของเก่าโบราณ ทว่าสำหรับซูจิ่นซีผู้ซึ่งคุ้นเคยกับรูปแบบที่หรูหราทันสมัย เรียบง่าย แม้ไม่อาจสวมใส่ได้ เพียงแต่เก็บไว้ก็ไม่เลวเช่นกัน

        หลังจากซูจิ่นซีและเฉินไท่เฟยล่ำลากันอย่างหวานซึ้งอยู่ครู่หนึ่ง เว่ยเหม่ยเจียที่กำลังเจ็บปวดก็ได้แต่มองซูจิ่นซีกลับจวนโยวอ๋องด้วยมือที่ถือปิ่นหงส์พร้อมกับอารมณ์ที่มีความสุขเป็นอย่างมาก

        หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ทุกวันซูจิ่นซีจะไปหนานย่วนเพื่อฝังเข็มให้เฉินไท่เฟยอย่างตรงเวลา

        ด้วยความเย้ายวนของวิธีการเสริมความงามที่หลากหลาย ระหว่างนี้ซูจิ่นซีและเฉินไท่เฟยเข้ากันได้ดีเลยทีเดียว อย่างน้อยก็ไม่ได้เพิ่มปัญหายุ่งยากให้กับนาง

        เว่ยเหม่ยเจียเมื่อเห็นก็รู้สึกไม่มีความสุข บางครั้งนางก็อยากจะฆ่าซูจิ่นซีด้วยคำพูดไม่กี่คำ ทว่าต่อหน้าของซูจิ่นซี นางราวกับถูกลิขิตไว้ว่าคำพูดของนางจะถูกกำหนดให้ไม่เกิดผลประโยชน์อันใด และทุกครั้งล้วนถูกซูจิ่นซีเอาคืนเสมอ

        วันที่เจ็ด ซูจิ่นซีฝังเข็มให้เฉินไท่เฟย นางอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่งดั่งเช่นทุกวัน

        “เสด็จแม่ วันนี้เป็นวันสุดท้าย พิษที่หลงเหลือในร่างกายของท่านถูกขจัดหมดแล้ว เนื่องจากท่านนั่งเป็นเวลานานทางเดินของเลือดลมในร่างกายของท่านจึงมีความยืดหยุ่นน้อยกว่าคนทั่วไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่อไปนี้ จำเป็นต้องอาศัยให้ท่านออกกำลังกายตามวิธีที่หม่อมฉันได้สอนท่านไว้ก่อนหน้านี้นะเพคะ ไม่เกินหนึ่งเดือน จิ่นซีรับรองว่าเสด็จแม่จะสามารถเดินได้อย่างผู้คนทั่วไปแน่นอนเพคะ”

        เฉินไท่เฟยจับมือของซูจิ่นซี “จิ่นซีเอ๋ย! ลำบากฝีมือที่สูงส่งของเจ้าแล้วจริงๆ แม่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชั่วชีวิตนี้ตนเองจะสามารถยืนขึ้นได้อีกครั้ง”

        ซูจิ่นซียิ้มอวดฟันขาวเป็นแถวราวกับอยู่ท่ามกลางแสงแดด

        “อ้อ ใช่สิ จิ่นซี! ยารักษาจุดด่างดำบนใบหน้าที่เจ้าให้แม่มานั้นใช้ดีมาก ยังมียาเสริมหน้าอกอีก เจ้าสามารถออกใบสั่งยาให้กับแม่โดยตรงได้นะ! แม่จะหาหมอหลวงจัดมาให้สักสองสามชุด ทุกครั้งที่ทำให้เจ้าลำบาก แม่เห็นแล้วปวดใจยิ่งนัก! ”

        “ไม่เป็นไรเพคะเสด็จแม่ เป็นหน้าที่ของจิ่นซีที่เป็นลูกสะใภ้ในการแบ่งเบาความกังวลของเสด็จแม่ และอีกอย่างเรื่องของสตรีอย่างเราเช่นนี้มีแค่พวกเราเท่านั้นที่เข้าใจ! ถึงแม้ว่าจะให้พวกหมอหลวงมารับใบสั่งยานี้และจัดเตรียมยาได้ตลอดเวลา ทว่าจะปรุงยาอย่างไร พวกเขาก็คงไม่เข้าใจ เช่นนั้นก็ให้จิ่นซีเป็นคนจัดการให้กับเสด็จแม่ด้วยตนเองเถิดเพคะ! ”

        เมื่องานสำเร็จแล้วเฉินไท่เฟยก็คิดจะสังหารบุคคลที่เป็นกำลังสำคัญ ซูจิ่นซีเข้าใจดี

        สิ่งของอย่างอื่นสามารถมีได้ ทว่าสูตรลับของอาชีพเก่าต้องจับให้แน่นอยู่ในมือ ซูจิ่นซีตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะไม่ให้รั่วไหลออกไปภายนอก โดยเฉพาะสิ่งที่สามารถควบคุมเฉินไท่เฟยได้อยู่หมัด

        ถูกซูจิ่นซีพูดเช่นนั้น เฉินไท่เฟยก็ไม่รู้จะหาเหตุผลอันใดแล้ว เลยพักที่จะคิดหาทางเอาสูตรยามาจากซูจิ่นซีไว้ชั่วคราวก่อน

        ยังมีโอกาสวันข้างหน้าอีกยาวไกล

        ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาซูจิ่นซีไปที่หนานย่วนตลอด เมื่อเห็นความใกล้ชิดของเฉินไท่เฟยกับซูจิ่นซี เว่ยเหม่ยเจียก็ริษยาไปเสียหลายรอบ ใบหน้าของนางขมวดคิ้วมุ่นตลอดเวลา ไม่เคยได้ผ่อนคลายอย่างสบายใจเลย

        หลังจากที่ซูจิ่นซีจากไป เฉินไท่เฟยก็จับมือเว่ยเหม่ยเจียอย่างนุ่มนวลทันที “ป้ารู้เจ้าคิดสิ่งใด ไม่กี่วันมานี้ให้เจ้ากล้ำกลืนฝืนทน เพียงแต่เหม่ยเจีย! สิ่งใดที่เป็นของเจ้า ก็ยังเป็นของเจ้าอยู่วันยังค่ำ ผู้อื่นอยากจะแย่งไปก็แย่งไปไม่ได้”

        เว่ยเหม่ยเจียไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป น้ำตาไหลลงมาราวกับน้ำพุ “แต่ว่าเสด็จป้า ท่านถึงขนาดมอบปิ่นหงส์นั้นให้กับพี่สะใภ้ไปแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่เต๋อฉือไทเฮาประทานให้ท่านเชียวนะเพคะ”

        เฉินไท่เฟยเช็ดน้ำตาเว่ยเหม่ยเจียอย่างทุกข์ใจ “เด็กโง่ ป้าเคยบอกเจ้าไปกี่รอบแล้ว จะต้องใช้สายตามองให้ยาวหน่อย แค่ปิ่นหงส์นั่นนับเป็นสิ่งใดได้? ในวังของล้ำค่าถมเถไป ป้าจะต้องให้ของที่ดีกว่านี้แก่เจ้า แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา รอจนถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว ป้าจะต้องส่งให้เจ้าถึงมือด้วยมือของป้าเอง”

        สิ่งที่ดีกว่าปิ่นหงส์?

        คืออะไรหรือเพคะ?

        เว่ยเหม่ยเจียคิดจนสติแตกก็คิดไม่ออก มองเฉินไท่เฟยอย่างสงสัย

        ที่แท้เฉินไท่เฟยเป็นหมาป่าผู้หิวโหยที่ให้อย่างไรก็ไม่พอ

        เพียงแต่ว่าซูจิ่นซีไม่ได้คาดหวังว่าเฉินไท่เฟยจะปฏิบัติต่อนางอย่างจริงใจ ตราบใดที่สามารถรักษาความสงบต่อไปได้ก็เพียงพอแล้ว

        ตอนนี้ซูจิ่นซีคิดเพียงแค่อยากกลับเรือนชิงโยวให้เร็วที่สุด กลับมาที่ที่ตนเองปลูกดอกไม้จำนวนมากไว้เต็มห้อง แล้วอาบน้ำร้อน นอนแช่อยู่ในนั้น ดื่มชาชั้นดีและสนุกไปกับมัน เพียงแต่ว่า ในฐานะเด็กสาวที่ข้ามภพมาเช่นเดียวกับในนิยายออนไลน์และละครออนไลน์หลายๆ เรื่อง นางต้องการใช้เวลาว่างธรรมดาสองสามวันนี้ให้สบายใจ ทว่าพระเจ้า! แม้แต่ช่องทางล้วนไม่เหลือไว้ให้

        ไม่นะ! ปัญหามาอีกแล้ว

        ซูจิ่นซีพึ่งจะมาถึงเรือนอวิ๋นไค แม่นมฮวาที่ต้มน้ำแกงไก่เสร็จแล้ว นางก็พึ่งจะดื่มไปได้ครึ่งเดียว พ่อบ้านก็มาบอกว่า มีคนจากสำนักราชวังมา อยากให้ซูจิ่นซีเข้าวัง ทั้งยังส่งรถม้ามาด้วย ตอนนี้รออยู่ที่หน้าประตูจวน

        ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้วที่เฉินไท่เฟยเรียกตัวซูจิ่นซี ในครั้งนี้ซูจิ่นซีไม่มีเวลาขอความช่วยเหลือจากเยี่ยโยวเหยาอีกต่อไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นพ่อบ้านก็ไม่รู้ ล้วนไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าเยี่ยโยวเหยาอยู่ที่ใดในเวลานี้

        ครึ่งชั่วยามต่อมา ซูจิ่นซีสวมชุดทางการสำหรับเข้าวังที่สง่างามและสูงส่งภายใต้การดูแลอย่างพิถีพิถันของแม่นมฮวาและลวี่หลี นางเข้าไปในวังด้วยรถม้าที่ไทเฮาส่งมาให้

        เดิมทีซูจิ่นซีคิดอยากจะให้แม่นมฮวาไปด้วย เพราะว่าแม่นมฮวาก่อนหน้านี้อยู่ในวังมาก่อน หากเจอเรื่องอันใดเข้าก็จะรีบแก้ไขได้ทันท่วงที ทว่าคนที่มาเอ่ยบอกว่าไทเฮาทรงรับสั่งกำชับมาว่ามีเพียงซูจิ่นซีเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในวัง และไม่อนุญาตให้พาผู้ใดมาด้วย ดังนั้นซูจิ่นซีจึงต้องลุยเดี่ยวเผชิญหน้าด้วยตนเองเสียแล้ว

        ในวังวั่นโซ่ว สตรีที่เรียบร้อยและสง่างามนั่งอยู่บนตำแหน่งที่สูงส่ง นั่นก็คือไทเฮาองค์ปัจจุบัน

        ตลอดทางซูจิ่นซีได้จำไว้ในหัวหมดแล้วว่าจะต้องทำอย่างไรเมื่อพบกับไทเฮา ต้องแสดงกิริยามารยาทท่าทางอย่างไรกับฮ่องเต้ ดังนั้นซูจิ่นซีก็จะปฏิบัติตามนั้น

        ไทเฮายังคงเป็นสตรีที่บำรุงรักษาสุขภาพอย่างดีเช่นเคย เทียบกับเฉินไท่เฟยแล้วก็สูสีพอกัน แต่พลาอนุภาพอาวุโสและความสง่างามสุภาพเยือกเย็นนั้นมากกว่าเฉินไท่เฟยหลายเท่า

        “ชื่อเสียงไม่เท่าไหร่ ทว่าเรียนรู้กฎระเบียบมาอย่างดีทีเดียว ลุกขึ้นเถิด! ”

        ซูจิ่นซีลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง นางไม่รู้ว่าไทเฮาเรียกนางมาด้วยเหตุอันใด ดังนั้นนางจึงไม่กล้าพูดอันใดให้มากความ

        ไทเฮามองซูจิ่นซีตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูเหมือนจะประหลาดใจกับซูจิ่นซีและข่าวลือเรื่องใบหน้าที่สวยงามของนาง เป็นเวลานานที่ไม่ยอมเพิกถอนสายตาออกมา

        ผ่านไปครู่หนึ่ง แม่นมที่อยู่ข้างๆ นางเตือนด้วยเสียงต่ำๆ ก่อนที่นางจะกลับมารู้สึกตัว

        “ซูจิ่นซี เจ้ามีความกล้ามากนะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะถูกลงโทษอย่างไร? ”

        “เรียนไทเฮา ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าตนเองทำผิดอันใดจึงโดนลงโทษ ขอไทเฮาทรงโปรดชี้แนะให้กระจ่างแจ้งทีเพคะ”

        ซูจิ่นซีรู้สึกสับสน

        “เยี่ยมมาก! ซูจิ่นซี เจ้าอาศัยที่โยวอ๋องรักและโปรดปรานเจ้า จึงกล้าที่จะเอ่ยวาจายอกย้อนข้าแล้วใช่หรือไม่? ทหาร! ลากเจ้านี้ออกไปโบย โบยจนกว่านางจะรู้ว่าตนเองผิดอันใด! ”

        เมื่อไทเฮาออกคำสั่ง เหล่าแม่นมร่างท้วมรีบเข้ามาจากด้านนอก แล้วก็ลงมือกับซูจิ่นซี

        มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย พูดยังไม่ทันไรก็ให้ลากออกไปโบย นางเคยไปกวนประสาทผู้ใดไว้หรือไม่เล่า

        “ไทเฮาเพคะ หม่อมฉันไม่ยอมรับ”

        ซูจิ่นซีประท้วง

        “กล้ามากนะซูจิ่นซี ต่อหน้าไทเฮาเจ้ายังกล้าอวดดี ไม่เชื่อฟัง! ”

        แม่นมคนหนึ่งด่าทออย่างรุนแรง ยกมือขึ้นแล้วเหวี่ยงไปยังทิศทางใบหน้าของซูจิ่นซี

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset