สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 43 เหม็นจะตายแล้ว

        ในฐานะสมาชิกของสำนักการแพทย์แผนจีนสมัยใหม่ ไม่ว่าจะอย่างไรซูจิ่นซีก็เคยสวมเครื่องแบบทหารมาก่อนเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงการฝึกขั้นพื้นฐานของกองกำลังทหารป้องกันประเทศ ไม่ได้เรียนศิลปะการต่อสู้ ทว่าก็ไม่ได้ถึงกับว่าอ่อนแอเสียจนเกินไป ไม่มีทางเสียเปรียบหญิงชราตรงหน้านี้ได้แน่นอน

        ซูจิ่นซีจับมือแม่นมไว้และจ้องมองอย่างโกรธเคือง “เจ้าต้องการจะทำสิ่งใด? ”

        “ทหาร! ซูจิ่นซีจะทุบตีคนแล้ว ซูจิ่นซีกำลังจะทุบตีคนที่วังวั่นโซ่วแล้ว! โรคโง่ของซูจิ่นซีกำเริบอีกแล้ว! ”

        แม่นมไม่สามารถเอากำลังเข้าสู้เพื่อก่อให้เกิดผลลัพธ์อันใดต่อร่างกายของซูจิ่นซีได้เลย นางต่อสู้ดิ้นรนอยู่สองครั้งแต่ก็ไม่สามารถดิ้นหลุดจากมือของซูจิ่นซีไปได้ ดังนั้นจึงเริ่มเปิดปากร้องตะโกนโวยวาย

        แม่นมนางอื่นที่เหลืออยู่จึงทำการถกแขนเสื้อขึ้น เดินเข้าใกล้ซูจิ่นซีที่ละก้าวๆ ด้วยหน้าตาน่าสะพรึงกลัวมากยิ่งขึ้น ซูจิ่นซีสามารถรับมือกับคนคนเดียวได้ ทว่าไม่สามารถรับมือกับคนเป็นกลุ่มได้ไหวอย่างแน่นอน

        ดังนั้นเมื่อคนที่เหลือกำลังจะเข้ามาใกล้ นางจึงพลิกมือตบหน้าแม่นมที่โหวกเหวกโวยวายไปหนึ่งทีอย่างรุนแรง

        “ทาสที่เป็นเพียงสุนัขรับใช้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามโยวอ๋องก็เป็นอ๋องผู้เดียวที่ฮ่องเต้พระองค์องค์ก่อนพระราชทานยศถาบรรดาศักดิ์ให้ ข้าผู้นี้เป็นพระชายาที่ท่านอ๋องรับเข้ามาในจวนด้วยตนเอง ฐานะและคุณสมบัติก็มิอาจซักถามหรือสงสัยได้โดยง่าย ชื่อเสียงเรียงนามของข้าผู้นี้เป็นชื่อที่ทาสรับใช้ต่ำต้อยอย่างเจ้าจะมาพูดซี้ซั้วก็ได้อย่างนั้นหรือ? ”

        แม่นมนางนั้นคาดไม่ถึงอย่างแน่นอนว่าซูจิ่นซีจะกล้าลงมือต่อหน้าไทเฮาในวังวั่นโซ่ว นางถูกซูจิ่นซีตบเข้าที่หน้าจนเวียนหัวเล็กน้อย ทว่าไม่นานก็รู้สึกตัวขึ้นมา

        “ซูจิ่นซี เจ้ากล้ามาก เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร? ถึงกล้าดีอย่างนี้… ”

        “ยังกล้าเรียก? ในเมื่อเจ้าไม่เคยเรียนว่าควรเรียกชื่อพระชายาอย่างไร วันนี้พระชายาอย่างข้าจะสอนเจ้าเอง”

        “เพี๊ยะ! ” ซูจิ่นซีตบหน้าแม่นมอีกครั้ง จนหน้าหันไปมาหลายรอบแล้วล้มลงกับพื้น

        คนที่เหลือก็เหมือนกับแม่นม ล้วนไม่คาดคิดว่าซูจิ่นซีจะลงมือ ทั้งยังหวาดกลัวจะพ่ายแพ้ให้กับน้ำมือของซูจิ่นซี พวกนางล้วนยืนอยู่ห่างจากซูจิ่นซีสองเมตรอย่างเงียบเชียบเพื่อรอโอกาส ไม่กล้าที่จะก้าวไปข้างหน้า

        ไม่เคยมีผู้ใดกล้าที่จะลงมือในวังวั่นโซ่วนี้เลย และไม่เคยมีผู้ใดกล้าที่จะทรยศขัดคำสั่งไทเฮา สีหน้าของไทเฮามืดสนิท โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก พระองค์นั่งบนบัลลังก์มองดูทุกอย่างด้วยสายตาเย็นชา

        “พวกข้ารับใช้ไม่ได้ความ แม้แต่เรื่องแค่นี้ก็ยังทำไม่ได้”

        บรรดาแม่นมต่างสั่นสะท้านเมื่อถูกไทเฮาตำหนิ

        จากบทเรียนของแม่นมคนก่อนหน้านี้ ไม่เกิดผลดีใดๆ เลยที่พวกนางจะประจันหน้ากับซูจิ่นซี

        แม่นมหนึ่งในนั้นกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “พวกเราเข้าไปพร้อมกัน! ”

        รวมๆ ทั้งหมดมีเจ็ดคน เมื่อดูก็รู้แล้วว่าพวกนางเป็นนางกำนัลที่มีฝีมือในวัง เมื่อบุกเข้าพร้อมกัน ซูจิ่นซีก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกนางอย่างแน่นอน ซูจิ่นซีทำได้เพียงระมัดระวังตัวให้มากขึ้นกว่าเดิม นางถูกประชิดเข้ามุมกำแพงทีละก้าวๆ เพียงแค่พลาดในชั่วพริบตาเดียว ซูจิ่นซีก็จะถูกพวกนางจับกุม แล้วก็หักแขนหักขา วันนี้จะตายเช่นไรก็ยังไม่รู้

        น่ากลัวเหลือเกิน!

        หญิงสาวกลับมาแข็งแกร่งกล้าหาญขึ้นอีกครั้งภายใต้สถานการณ์ที่หวาดกลัวเช่นนี้ นางหวาดกลัวจนแข้งขาเริ่มอ่อนแรง ใจสั่นสะท้านอยู่ตลอดเวลา เหงื่อออกที่ฝ่ามือและแผ่นหลัง ทว่าต่อหน้ากลับกัดฟันแน่น กล้าหาญอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใด

        “ไทเฮา ท่านคิดดีแล้วหรือเพคะ? ท่านส่งคนไปยังจวนโยวอ๋องเพื่อรับข้าเข้ามาในวังด้วยตัวของท่านเอง หากวันนี้ข้าตายที่นี่ ท่านวางแผนที่จะอธิบายกับโยวอ๋องของข้าว่าอย่างไรเพคะ? ”

        ข้อต่อรองที่ใหญ่ที่สุดของซูจิ่นซีในวันนี้ คนที่เป็นที่พึ่งได้มากที่สุดนั่นก็คือเยี่ยโยวเหยา ดังนั้นนางต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อนำไพ่ตายอย่างเยี่ยโยวเหยามาบัญชาการให้ได้มากที่สุด นางตั้งใจลงน้ำหนักว่า “ท่านอ๋องของข้า” ทั้งสี่คำนี้

        ทว่าไม่คิดว่าไทเฮาจะชื่นชมสีเล็บอันหรูหราบนมือของตนเอง โดยไม่สนใจข้อต่อรองของซูจิ่นซีแม้แต่น้อย

        “ในวังมีผู้ที่มีอุบายมากมาย หลายปีมานี้พวกนางล้วนทุ่มเทความรักให้กับโยวอ๋องแต่กลับไม่สำเร็จ มีสตรีนับไม่ถ้วนที่ต่างริษยาซูจิ่นซีจนกลายเป็นปีศาจ ซูจิ่นซี เจ้าตายแน่ ยังจะมีผู้ใดสามารถพิสูจน์ให้โยวอ๋องเห็นว่าตัวข้าเป็นคนฆ่าเจ้า? ”

        จิตใจอำมหิต วิธีการช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก

        ซูจิ่นซีได้เปิดประสบการณ์แล้ว ‘ราชวังเป็นสถานที่ที่กินคนแล้วไม่คายนี่เอง’

        สมองของนางคิดอย่างรวดเร็วถึงแผนการรับมือ ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาหัวเราะเสียงดังลั่น “ฮ่าฮ่าฮ่า”

        “เจ้าหัวเราะอะไรของเจ้า? ”

        รอยยิ้มที่ชั่วร้ายของซูจิ่นซีทำให้ไทเฮารู้สึกราวกับว่าแม้แต่เยี่ยโยวเหยาที่เย็นชายังต้องล่าถอยให้ ใจของพระองค์สั่นเทาโดยไม่มีเหตุผล

        “ไทเฮา แน่นอนว่าข้าหัวเราะเยาะคนโง่เขลาเช่นท่าน! ท่านมีเป็นพันๆ วิธีที่จะทำให้ข้าตาย ทว่ามีเหตุผลเดียวที่จะฆ่าข้า ท่านคิดว่าการลงมือฆ่าข้าที่วังวั่นโซ่วในวันนี้ หลังจากนั้นจะโยนความผิดให้ผู้อื่นเป็นตัวตายตัวแทนท่าน ก็ไม่มีผู้ใดสามารถบอกความจริงกับโยวอ๋องได้ใช่หรือไม่? โยวอ๋องเป็นคนเช่นไร? ท่านประเมินเขาต่ำเกินไปแล้วกระมัง? ”

        โยวอ๋องผู้บ้าคลั่ง มีวิธีการป่าเถื่อน ไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นไทเฮา แม้แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ก็ยังหวาดกลัวโยวอ๋องไม่น้อยเลย

        คำพูดของซูจิ่นซีเป็นการเตือนไทเฮาอย่างไม่ต้องสงสัย อันที่จริงไทเฮาก็กลัวเขาอยู่แล้ว ทว่าก็เกลียดชังซูจิ่นซียิ่งนัก คาดไม่ถึงว่านางจะสามารถรักษาขาของเฉินไท่เฟยหญิงสารเลวนั่นให้หายได้

        ต้องรู้ก่อนว่า ครั้งนั้นเพื่อที่จะได้เป็นคนโปรดปรานของฮ่องเต้พระองค์ก่อน เพื่อที่จะจัดการกับเฉินไท่เฟยหญิงสารเลวนั้นได้ เพื่อที่จะทำให้ลูกชายของตนเองได้นั่งบนบัลลังก์ นางใช้สติปัญญาไปไม่น้อย

        ถึงแม้ว่าหลายปีที่ผ่านมาเฉินไท่เฟยจะมีแผนการซ่อนอยู่ลึกๆ ทว่าเนื่องจากขาที่พิการทั้งสองข้าง ทำให้นางก้าวเดินไม่ถนัด นางจึงไม่สามารถก้าวข้ามคลื่นลูกใหญ่ [1] ไปได้ ดังนั้นจึงเป็นการรักษาไว้ซึ่งสมดุลภายนอกระหว่างวังวั่นโซ่วกับหนานย่วน

        ทว่าซูจิ่นซีรักษาขาของเฉินไท่เฟยให้หายดีแล้ว ไทเฮาเกลียดที่สุด! ฉะนั้นเพื่อให้เข้าใจถึงความโกรธแค้นในใจนาง วันนี้นางจะต้องกำจัดซูจิ่นซีให้ได้

        สำหรับโยวอ๋องนั้น… รอฆ่าซูจิ่นซีเสร็จแล้ว นางค่อยหาวิธีทำให้เขาสงบ นางไม่เชื่ออยู่แล้วว่าโยวอ๋องจะเย็นชาและไร้ความรู้สึก จากที่ไม่เคยเข้าใจว่าการอ่อนโยนทะนุถนอมต่อสตรีคือสิ่งใด ทว่าเพื่อสตรีเพียงผู้เดียว เขาจะสามารถปฏิบัติกับไทเฮาอย่างไร

        “พวกไร้ค่า เหตุใดจึงยังไม่รีบลงมืออีก! ”

        ไทเฮาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

        แม่นมทั้งเจ็ดคอยจ้องหาโอกาสเข้าหาซูจิ่นซีช้าๆ อีกครั้งอย่างคนโฉดชั่ว “แคว่ก” หนึ่งในแม่นมนั้นฉีกหงหลิงออกมาจากแขนของนางหนึ่งผืน บนหงหลิงใช้เข็มปักลายอย่างละเอียดบางๆ ติดแน่นอยู่บนเส้นขีดแดง มันส่งแสงระยิบระยับไปทั่วทำให้วังที่มืดสลัวสว่างสุกใสเป็นประกายอย่างมาก

        ซูจิ่นซีทราบดีว่าสิ่งนั้นมีไว้สำหรับทำสิ่งใด เพียงแค่เอามารัดรอบคอของคน เข็มก็จะปักเข้าที่คออย่างแน่นอน ตายได้ในชั่วพริบตา

        โตมาขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ซูจิ่นซีรู้ว่าที่แท้เข็มเย็บผ้าก็น่ากลัวได้ถึงเพียงนี้ นางหรี่ตาลงเล็กน้อย มือทั้งสองกำแน่น ตามองนักฆ่าทั้งเจ็ดที่ยิ่งเข้าใกล้ตนเองมากขึ้น ผีทวงชีวิตทั้งเจ็ดนับวันก็ยิ่งเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ

        ทว่า ทันใดนั้น…

        “ปู้ด… ปู้ดปู้ด… ปู้ดปู้ดปู้ด… ”

        “ป้าด… ป้าดป้าด… ป้าดป้าดป้าด… ”

        นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

        ลมเริ่มแรงแล้ว?

        ฟ้าร้องแล้ว?

        ไม่! ไม่! ไม่!

        เป็นแม่นมทั้งเจ็ดคนนั่นเอง!

        ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทันทีที่กำลังจะลงมือจัดการกับซูจิ่นซี หลังจากที่พวกนางผายลม คาดไม่ถึงว่าแต่ละคนก็ต่างพากันอุจจาระราด

        “โอ้ย เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร? ”

        “โอ้ย… ”

        “โอ้ย โอ้ย… ”

        “โอ้ย โอ้ย โอ้ย… ”

        แม่นมทั้งเจ็ดวิ่งกระจัดกระจายหน้าตั้งในห้องโถง ดูยุ่งเหยิงวุ่นวาย พวกนางผายลมและปัสสาวะราดไปตามๆ กันเป็นระลอก

        ไทเฮารักความสะอาดเป็นอย่างยิ่ง และยังมีนิสัยรักความสะอาดที่มากเกินไปด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นจะมีตระกูลผู้ดีคนใดที่ทนให้เหล่าข้ารับใช้ทำอย่างนี้ต่อหน้าตนเองได้ นางรับไม่ได้เป็นที่สุด

        “โอ้ย พวกเจ้ากำลังทำอันใด? พวกเจ้า… พวกเจ้าช่างน่าขยะแขยงเสียจริง เหม็นจะตายอยู่แล้ว… ”

        “ไทเฮาเพคะ หม่อมฉัน หม่อมฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นเพคะ! โอ้ย… ทนไม่ไหวแล้ว ทนไม่ไหวแล้ว… ”

        “ปู้ด… ป้าด… ”

        “ออกไป ออกไป ออกไปให้พ้นจากตัวข้า รีบออกไป…  ทหาร เรียกคนมาลากตัวออกไปสังหาร สังหารให้หมด! ”

        ไทเฮายกมือปิดจมูก หลบซ่อนอยู่หลังเก้าอี้ ขยะแขยงเป็นอย่างมาก

        พระองค์ออกคำสั่งเสียงเย็น เหล่าองครักษ์กว่าสิบนายที่แข็งแรงและทรงอำนาจก้าวเข้าประตูมา ถึงแม้ว่าหน้าของแต่ละนายจะเต็มไปด้วยความรังเกียจและสะอิดสะเอียน ทว่าก็ไม่กล้าที่จะแสดงออกมา ไม่กล้าแม้แต่จะปิดจมูก พวกเขาลากแม่นมทั้งเจ็ดออกไปอย่างคล่องแคล่ว

        เสียงผายลม เสียงจากการกลั้นอุจจาระไม่อยู่และเสียงวิงวอนร้องขอความเมตตาดังระงมไปทั่ว

        ไทเฮาไม่อาจทนเหม็นกลิ่นที่น่าสะอิดสะเอียนในห้องโถงได้ จึงไม่สนใจเรื่องที่จะฆ่าซูจิ่นซี พระองค์หมุนตัวเข้าไปห้องด้านในทันที

        ซูจิ่นซีปิดปากปิดจมูกแน่นยืนอยู่ตรงมุมห้อง นางมองไปรอบๆ โดยไม่มีผู้ใดสนใจและเดินออกไปนอกประตูที่อยู่ใกล้อย่างระมัดระวัง

        เดิมทีซูจิ่นซีนึกว่าจะย่องออกไปจากวังได้ ทั้งยังสามารถหลบหนีออกไปได้อย่างราบรื่น ทว่า…

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset