สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 50 ท่านอ๋องห้าสองศูนย์หมายความว่าอย่างไร

        “หนึ่งล้านห้าแสนตำลึง! ”

        “หนึ่งล้านห้าแสนห้าหมื่นตำลึง! ”

        “หนึ่งล้านหกแสนตำลึง! ”

        ราคายังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซูจิ่นซีกังวลราวกับมดบนหม้อไฟ

        หากไม่มีเงินก็ยากที่จะเป็นบุรุษที่กล้าหาญเสียจริง

        ซูจิ่นซีกำมือแน่น ฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ นางนึกถึงโรคของฮองเฮาที่หากไม่มีจื่อจู นางก็ไม่มีทางรักษาให้หายได้ นึกถึงทั้งจวนโยวอ๋องและหนานย่วนที่ถูกนางเดิมพันเอาไว้ และยังนึกถึงว่าหากนางรักษาฮองเฮาไม่หายละก็ ไม่ต้องพูดถึงหน้าตาและศักดิ์ศรีเลย แม้กระทั่งซับในนางและทุนที่จะตั้งมั่นในภพนี้ก็ล้วนหมดสิ้นแล้ว

        นี่เป็นครั้งแรกที่ซูจิ่นซีเกลียดตนเองที่ไม่ใช่เศรษฐีที่ร่ำรวยขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน นางเคียดแค้นชิงชังเสียจนลำไส้ล้วนมีสีคล้ำดำเขียวไปหมด [1]

        “จะให้ข้าช่วยเรื่องเงินก้อนนี้กับเจ้าก็ได้ เพียงแต่… ”

        “จริงหรือเพคะ? ”

        ซูจิ่นซีพอได้ยินเยี่ยโยวเหยาเปิดปากพูดว่าเขาจะจ่ายเงินแทนนาง ดวงตาที่ตื่นเต้นของนางก็วาววับทันที

        “เพียงแต่ ข้ามีเงื่อนไขอย่างหนึ่ง”

        “เงื่อนไขอันใดหรือเพคะ ท่านอ๋องรีบพูดออกมาเถิด ขอเพียงหม่อมฉันซูจิ่นซีสามารถทำได้ จะไม่บ่ายเบี่ยงเลยเพคะ”

        ซูจิ่นซีเห็นด้วยในทันที นางขอเพียงสามารถถอนพิษให้ผู้อื่นได้ เพราะนอกจากความสามารถถอนพิษที่เป็นจุดเด่นแล้ว นางก็รู้ด้วยใจจริงว่าตนเองไม่มีความสามารถอื่นใดที่จะทำให้ผู้คนนึกถึงเลย

        สายตาที่ดำมืดลึกล้ำของเยี่ยโยวเหยาจ้องมองไปยังซูจิ่นซีอยู่นาน ภายในใจมองเพียงซูจิ่นซีด้วยดวงตาที่ไม่สามารถคาดเดาได้เลยแม้แต่น้อย ไม่นานเยี่ยโยวเหยาก็ถอนสายตาออกมาและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างแผ่วเบาว่า “ข้ายังคิดไม่ออก รอข้าคิดออกเมื่อไรจึงจะบอกเจ้า ติดไว้ก่อน”

        “ได้เพคะ! ”

        แม้ว่าซูจิ่นซีจะยอมรับแล้ว ทว่าเสียง “ได้” นี้ไม่มีองค์ประกอบที่มั่นใจ กล้าได้กล้าเสียอยู่เลย เพราะนางรู้สึกว่าสายตาของเยี่ยโยวเหยามองนางแปลกๆ ทว่าไม่สามารถอธิบายได้ว่าแปลกที่ใด ทำให้นางรู้สึกว่าการตกลงตามเงื่อนไขที่ไม่ทราบนี้อาจเป็นหลุมพราง

        เยี่ยโยวเหยามองไปที่ฉินเทียน

        ฉินเทียนรีบหยุดแสดงสีหน้าที่น่าเหลือเชื่ออย่างรวดเร็วและยกป้ายในมือขึ้น

        “สามล้าน! ”

        เกิดความเงียบขึ้นทันทีในสนามด้านหน้า ทุกคนหันศีรษะมองมาทางเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซี

        ผู้ใดกัน?

        มีเงินมากมายถึงเพียงนี้?

        การประมูลล่าสุดพึ่งจะแค่หนึ่งล้านแปดแสนห้าหมื่น ไม่คิดว่าจะมีคนขึ้นราคาถึงสามล้าน นี่คือจังหวะที่บดขยี้ผู้อื่นโดยตรง!

        กฎของการเล่นนี้ไม่ใช่เล่นเพื่อความสนุกหรอกหรือ! แม้ว่าจะมีผู้มั่งคั่งที่สนใจการประมูลสมบัติอยู่บ้างในบางครั้งและไม่ลังเลที่จะเสนอราคาเพื่อให้ได้สมบัติล้ำค่าไป ทว่าไม่มีทางที่จะคว่ำราคาเพิ่มเป็นสองเท่าอย่างจริงจังเช่นนี้

        “ดี! คุณชายท่านนี้เสนอสามล้านตำลึง! ยังมีผู้ใดให้มากกว่านี้อีกหรือไม่? ”

        เถ้าแก่หายจากอาการตกตะลึงแล้วพูดออกมา

        เงินสามล้านนี้ ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถจ่ายได้  คงไม่มีผู้ใดกล้าที่จะต่อสู้กับเยี่ยโยวเหยาแล้วละ!

        “สามล้านตำลึงครั้งที่หนึ่ง…”

        “สามล้านตำลึงครั้งที่สอง…”

        ทั้งสนามยังคงเงียบ

        “สามล้านตำลึง…”

        “ข้าให้สี่ล้านตำลึง! ”

        สี่ล้านตำลึง?

        คุณพระ!

        ผู้ใดกัน?

        ยังจะมีคนกล้าที่จะสู้กับเยี่ยโยวเหยาอีกหรือ?

         ดวงตาที่ตกตะลึงเบิกกว้างของทุกคนกำลังจะตกพื้น ผู้คนต่างหันศีรษะและมองไปยังทิศทางของเสียง

        คนผู้นั้นนั่งอยู่ตรงข้ามเยี่ยโยวเหยา

        ซูจิ่นซีไม่เคยเห็นผู้ชายที่มีลักษณะเฉพาะตัวราวกับเซียนเช่นเขามาก่อน เขามีรูปลักษณ์ที่เปรียบได้กับเยี่ยโยวเหยา ทว่ารูปลักษณ์ของเขาดูสง่างามราวกับมีรัศมีจางๆ แผ่ออกมา ลักษณะเฉพาะของเขาเหมือนดั่งเมฆลมที่พัดอย่าแผ่วเบา เสื้อผ้าสีขาวราวกับหิมะที่ปราศจากฝุ่น ดั่งเทพผู้อยู่เหนือธรรมชาติ ซึ่งไม่เข้ากันกับบรรยากาศของตลาดมืดแห่งนี้เลย เขานั่งอยู่ตรงนั้น ทว่ากลับไม่มีผู้ใดรู้สึกถึงความผิดปกติ

        เมื่อเยี่ยโยวเหยาเห็นสายตาของซูจิ่นซีที่จ้องไปที่ชายชุดขาว ไม่รู้ว่าเหตุใดใบหน้าของเขาจึงเปลี่ยนเป็นสีดำชั่วครู่ และความหนาวเย็นในร่างกายของเขาก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า

        ซูจิ่นซีเหมือนว่าจะถูกลมหายใจที่เย็นเฉียบเรียกสติกลับมาได้

        นางพึ่งจะหันกลับมา ไม่รู้ว่าเหตุใดเยี่ยโยวเหยาจึงโกรธเกรี้ยวกะทันหัน นางได้ยินเขาตะโกนออกมาด้วยความเย็นชาและโกรธเกรี้ยวว่า “ห้าล้านสองแสนตำลึง! ”

        ห้าล้านสองแสนตำลึง?

        หัวใจของซูจิ่นซีเต้นแรง ยืนขึ้นทันที

        บริเวณโดยรอบแทบจะไม่มีเสียงสิ่งใดเลย แม้ว่าเข็มเงินจะตกลงมาที่พื้นในเวลานี้ ทว่าระยะทางก็อาจยาวนานราวกับตกลงมาจากท้องฟ้าก็เป็นได้

        เถ้าแก่สถานที่จัดงานประมูลใช้เวลานานกว่าจะได้สติขึ้นมา เสียงของเขาสะดุดเล็กน้อย

        “คุณชายท่านนี้เพิ่มราคาอีกครั้ง และตอนนี้ราคาของจื่อจูก็เพิ่มขึ้นเป็นห้าล้านสองแสนตำลึง ยังมีผู้ใดให้ราคาอีกหรือไม่? ”

        “ห้าล้านสองแสนตำลึงครั้งที่หนึ่ง… ”

        “ห้าล้านสองแสนตำลึงครั้งที่สอง… ”

        “ห้าล้านสองแสนตำลึงครั้งที่สาม… ”

        “ตุบ” เสียงค้อนเหล็กตีสรุปราคา ห้าล้านสองแสนตำลึงตกลงขาย

        ซูจิ่นซีไม่ได้ยินเสียงผู้คนโดยรอบแม้แต่น้อย นางเห็นเพียงว่ามีคนนำจื่อจูมามอบให้ โดยภายใต้คำสั่งของฉินเทียนมันจึงถูกส่งมายังมือของนาง ทว่าดวงตาของนางยังคงจับจ้องไปที่ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาตั้งแต่ต้นจนจบ

        เมื่อครู่นี้ นางมีความคิดสงสัยว่าเยี่ยโยวเหยาจะใช่ผู้ที่ข้ามภพมาจากอีกโลกหนึ่งเช่นเดียวกับนางหรือไม่

        ไม่ใช่ว่านางคิดเล็กคิดน้อยที่จับผู้ใดก็สงสัยว่าเป็นผู้ที่ข้ามภพมาแบบนาง เพียงแต่เมื่อสองสามวันก่อน หากคำนวณตามวันเวลาของโลกที่นางจากมา จะพบว่าวันนี้เป็นวันแห่งความรักของจีน!

        เยี่ยโยวเหยา เขาไม่ได้ข้ามมาจากโลกนั้นจริงๆ ใช่หรือไม่? เหตุใดเลขสองตัวนี้จึงบังเอิญเกินไปเช่นนี้

        เมื่อได้จื่อจูมาแล้ว จะอยู่ประมูลต่อเพื่ออันใด เดิมทีเยี่ยโยวเหยาก็ไม่ได้สนใจสิ่งใดอยู่แล้ว เขาจึงลุกขึ้นเตรียมเดินออกไป ทว่าเมื่อเดินผ่านด้านข้างของซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาก็พูดขึ้นว่า “ซูจิ่นซี เจ้าติดข้าห้าล้านสองแสนตำลึง! ”

        ซูจิ่นซีมองดูรูปร่างสง่างามที่ชนะทุกสิ่งบนโลกของเยี่ยโยวเหยา ทันใดนั้นนางก็ตะโกนกลับไป “เยี่ยโยวเหยา ท่านทราบหรือไม่เพคะ ว่าห้าสองศูนย์มีความหมายว่าอย่างไร? ”

        เยี่ยโยวเหยาหยุดเดินและหันกลับมา เขามองนางด้วยความสงสัย แฝงไปด้วยความโกรธเล็กน้อยและเย็นชา ทว่าไม่มีข้อมูลใดที่จะพิสูจน์ได้ว่าเขาจะตอบคำถามของซูจิ่นซี

        หัวใจของซูจิ่นซีเต้น “ตุบตุบ ตุบตุบ” อย่างไม่เป็นจังหวะ นางใช้กำลังบังคับทุกอารมณ์ภายในใจและพยายามยิ้มแบบที่ทำให้ผู้คนสบายใจออกไป “ไม่… ไม่มีอันใดเพคะ ท่านอ๋องพวกเรารีบกลับไปกันเถิดเพคะ! ”

        เยี่ยโยวเหยาหันหลังกลับอย่างเงียบเชียบปละเดินนำไปข้างหน้า ซูจิ่นซีจึงถือกล่องที่มีจื่อจูเดินตามอยู่ด้านหลัง

        ขณะที่ทั้งสองกำลังจะเดินออกจากสนามประมูลนั้น ข้างหลังของพวกเขาก็มีเสียงเถ้าแก่บอกให้เริ่มการประมูลของล้ำค่าชิ้นที่สาม

        “ทุกท่าน วันนี้สิ่งที่จะนำมาประมูลชิ้นที่สาม มันคือของล้ำค่าชิ้นสุดท้ายของการประมูลครั้งนี้ นั่นก็คือสร้อยข้อมือของอาณาจักรฉินที่ยิ่งใหญ่ แม้ว่าอายุของมันจะสั้นกว่าเล็กน้อย ทว่ากล่าวกันว่ากำไลข้อมือนี้มีลักษณะพิเศษบางอย่าง”

        เยี่ยโยวเหยาที่กำลังเดินอยู่ด้านหน้าหยุดชะงักทันที เขาหันหลังกลับช้าๆ และมองไปยังกำไลข้อมือที่วางไว้บนแท่น

        “ท่านอ๋อง อยากจะให้ข้าน้อยนำกำไลนั้นมาให้หรือไม่? ”

        ฉินเทียนพูด

        ซูจิ่นซีจึงหันศีรษะไปเหลือบมองกำไลข้อมืออีกสองสามครั้ง

        เห็นว่ากำไลข้อมือที่ประกาศต่อหน้าทุกคนนั้นดูเหมือนจะเป็นแค่กำไลข้อมือทองแดงเท่านั้นเอง

        ซูจิ่นซีไม่รู้วิธีทำและไม่เข้าใจความเป็นเอกลักษณ์ของสมบัติชิ้นนี้เช่นกัน เพียงแต่รู้สึกว่ากำไลข้อมือนี้ไม่ได้แวววาวเหมือนทอง และไม่สง่างามเท่ากำไลข้อมือหยก ดูเหมือนเป็นแค่กำไลข้อมือธรรมดาเท่านั้น ทว่ากลับให้ความรู้สึกดึงดูดอย่างไรก็ไม่ทราบ โดยเฉพาะลวดลายของดอกปี่อั้น [1] ที่สลักไว้บนกำไลข้อมือนั้น ยิ่งช่วยเพิ่มสีสันที่ลึกลับให้กับกำไลข้อมือ

        โดยไม่มีสาเหตุ ทว่าซูจิ่นซีต้องการลองสวมกำไลนั้นบนข้อมือของนาง เหมือนว่านางมีความรู้สึกชอบอย่างอธิบายไม่ถูกกับกำไลข้อมือนี้

        แต่เมื่อฟังที่ฉินเทียนถามเยี่ยโยวเหยาเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าเยี่ยโยวเหยาจะสนใจกำไลข้อมือนี้มาก เขาเป็นชายร่างใหญ่ แต่กลับสนใจกำไลข้อมือของสตรีไปทำไมกัน?

        ต้องการจะมอบให้นาง? เป็นไปไม่ได้หรอก!

        ซูจิ่นซียังไม่หลงตนเองถึงเพียงนั้น

        หรือว่าเยี่ยโยวเหยามีคนที่ชอบแล้ว และต้องการจะประมูลกำไลข้อมือนี้ให้กับคนที่ชอบ?

        ซูจิ่นซีอดไม่ได้ที่จะมองเยี่ยโยวเหยาด้วยความสงสัย

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset