สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 52 เจ้ายังมีหน้ากลับมา

        เถ้าแก่วางกำไลข้อมือลงในกล่อง แล้วจึงพูดว่า “ที่เรียกว่ากำไลข้อมือยอมรับเจ้าของก็คือ เมื่อสวมกำไลข้อมือนี้ ข้อต่อของกำไลจะติดอยู่บนข้อมือของเจ้าของเพื่อปิดผนึกไว้ และไม่มีทางที่จะถอดออกได้อีก เว้นแต่บุคคลนั้นจะตาย คุณชายผู้นี้สามารถถอดกำไลออกมาได้เมื่อสวมมันลงไปบนข้อมือ แสดงว่ากำไลนี้ยังไม่ยอมรับเจ้าของอย่างไรเล่า! ”

        “กระไรนะ? มีเรื่องอันใดแบบนี้ด้วยหรือ? เถ้าแก่ ท่านพูดหยอกพวกเราเล่นใช่หรือไม่? ”

        “นั่นสิ เรื่องเช่นนี้มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ”

        “เถ้าแก่ ท่านจะต้องให้คำอธิบายเรื่องวันนี้กับพวกเรา มิเช่นนั้นพวกเราไม่ยินยอม”

        “นั่นสิ พวกเราไม่ยอมรับอย่างแน่นอน”

        โรงประมูลยุ่งเหยิงวุ่นวายขึ้นมาในทันที

        “เถ้าแก่ กำไลข้อมือวงนี้คุณชายของข้าต้องการมันมาก ราคาตามแต่ท่านจะเรียก”

        เมื่อเยี่ยโยวเหยาก้าวลงจากเวทีและกลับมานั่งยังตำแหน่งของเขาด้วยบุคลิกเฉพาะตัวแล้ว ฉินเทียนก็เอ่ยขึ้น

        “ข้าพูดไปแล้วว่ากำไลข้อมือหนึ่งล้านตำลึงนี้จะมอบให้เพียงผู้ที่มีวาสนา ผู้ที่ไม่มีวาสนาแม้จะให้ราคาเทียมฟ้าก็ไม่อาจขายให้ได้”

        “ไม่มีสิ่งใดในโลกที่คุณชายของข้าต้องการแล้วจะไม่ได้ ในเมื่อเถ้าแก่พูดเช่นนั้นจริง แม้วันนี้ข้าจะต้องทำลายกฎตลาดมืด คุณชายของข้าก็ต้องได้กำไลข้อมือวงนี้” พูดแล้ว ทันใดนั้นฉินเทียนก็ราวกับเงาดำที่เคลื่อนย้ายไปยังบนเวทีอย่างรวดเร็ว และเริ่มแย่งของที่อยู่ในมือของเถ้าแก่ต่อหน้าเจ้าตัว

        ในเมื่อที่นี่เป็นตลาดมืด แต่ใช่ว่าจะยอมกันได้ง่ายๆ เช่นนี้ ใบหน้าของเถ้าแก่มืดครึ้มลงในทันที เขากอดกล่องใส่กำไลข้อมือปี่อั้นแล้วเดินถอยหลังไปสองก้าว จากนั้นก็มีมือสีดำขนาดใหญ่จำนวนมากพุ่งออกมาจากด้านหลังของเขา เข้าเผชิญหน้ากับฉินเทียน

        การต่อสู้บนเวทียังไม่ทันได้เริ่ม

        ด้านล่างเวทีก็วุ่นวายตื่นตระหนกไปหมด ผู้คนต่างหนีตายกันอย่างสับสนอลหม่าน

        ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาดำขลับ เขานั่งอย่างเย็นชาในตำแหน่งเดิม ดวงตาที่แหลมคมจ้องไปยังการเคลื่อนไหวบนเวที

        ทันใดนั้น เยี่ยโยวเหยาก็ไปปรากฏตัวต่อหน้าเถ้าแก่ด้วยความเร็วที่แทบจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หนาวเหน็บและโกรธเล็กน้อย “เอากำไลข้อมือนั้นมาให้ข้า แล้ววันนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ”

        จากประสบการณ์ เถ้าแก่ก็รู้ได้ทันทีว่าความยิ่งใหญ่ของพลังที่แผ่ออกมาและมีฝีมือของเยี่ยโยวเหยานั้น เขาจะต้องเป็นคนที่มีความสามารถ มีที่มาไม่ธรรมดาเป็นแน่

        “ท่านมาจากที่ใดกัน โรงประมูลตลาดมืดของข้าไม่มีความแค้นเคืองใดๆ ต่อท่านทั้งในอดีตและรวมถึงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ด้วย ในเมื่อกำไลข้อมือปี่อั้นกับท่านไม่มีวาสนาต่อกัน เหตุใดต้องดึงดันด้วยเล่า? ”

        “ชื่อของข้านั้นเจ้าไม่คู่ควรที่จะรู้ กำไลข้อมือปี่อั้นนี้ วันนี้ข้าต้องได้มัน! ”

        ขณะที่พูด เยี่ยโยวเหยาก็ก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว และโจมตีกล่องที่อยู่ในอ้อมแขนของเถ้าแก่ด้วยตนเอง

        มีเพียงไม่กี่คนที่จะสามารถต่อสู้กับเยี่ยโยวเหยาได้ ในเมื่อเถ้าแก่ผู้นี้สามารถรับมือเยี่ยโยวเหยาได้หลายกระบวนท่าเพียงนี้ ฝีมือจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

        เพียงแต่ว่าทันใดนั้น สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น

        เมื่อโรงประมูลถูกปกคลุมด้วยชั้นของความเงียบสงัดอย่างแท้จริง กำไลข้อมือปี่อั้นที่เถ้าแก่ปกป้องภายใต้อ้อมกอดของเขาก็ส่องแสงเปล่งประกาย สว่างไปทั่วโรงประมูลทันที

        ทุกคนตกตะลึงจนหยุดทุกการเคลื่อนไหว

        เห็นเพียงว่ากำไลข้อมือในกล่องนั้นขยับสองสามทีและ ลอยขึ้นมากลางอากาศอย่างเชื่องช้า ลวดลายอีกด้านของกำไลข้อมือนั้นงดงามและโปร่งแสง ทุกตารางนิ้วล้วนส่องแสงระยิบระยับแผ่ขยายออกไป ทำให้ผู้คนแสบตาจนยากที่จะลืมตาขึ้นได้

        ฝูงชนพบว่าทิศทางที่สร้อยข้อมือกำลังเคลื่อนไปนั้น คาดไม่ถึงว่าจะเป็นตำแหน่งที่ซูจิ่นซียืนอยู่พอดี

        “ท่านอ๋อง หรือว่าให้ข้า… ”

        ฉินเทียนกำลังจะถามว่าให้ตนไปหยุดกำไลปี่อั้นนั้นหรือไม่ ทว่ากลับถูกเยี่ยโยวเหยายกมือหยุดไว้เสียก่อน

        ในคราแรกสีหน้าของเถ้าแก่โรงประมูลนั้นราวกับไม่ได้สนใจอันใด ทว่าต่อมากลับค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้งขึ้น

        ทีละน้อย… ทีละน้อย… คาดไม่ถึงว่ากำไลนั้นจะขยับมาถึงข้อมือขวาของซูจิ่นซี ได้ยินเพียงเสียง “กึก” ช่างเป็นเสียงที่คมชัด กระจ่างใส บัดนี้กำไลนั้นติดแน่นอยู่บนข้อมือของซูจิ่นซีเสียแล้ว

        “นี่… นี่มันเรื่องอันใดกัน? ”

        เมื่อครู่ซูจิ่นซีเพียงเฝ้าดูเยี่ยโยวเหยาและฉินเทียนต่อสู้เพื่อชิงกำไลข้อมือปี่อั้นนั้นอย่างเงียบๆ ในขณะที่กำไลข้อมือปี่อั้นเริ่มส่องแสงนั้น นางรู้สึกว่าร่างกายตนเองร้อนผ่าวขึ้นมา ราวกับว่ามวลอากาศในร่างกายของนางกำลังจะระเบิดออก และแล้วสติของนางก็ดับวูบไป ทว่าเมื่อฟื้นคืนสติขึ้นมาก็พบว่ากำไลข้อมือปี่อั้นนั้นได้สวมลงบนข้อมือของนางแล้ว ไม่ว่านางจะพยายามถอดอย่างไรก็ไม่สามารถถอดมันออกมาได้

        เถ้าแก่โรงประมูลยิ้มแล้วเดินไปตรงหน้าซูจิ่นซี “สตรีท่านนี้ ท่านอยากจะถอดก็ไม่สามารถถอดมันออกได้ กำไลข้อมือปี่อั้นระบุว่าท่านเป็นเจ้าของมันแล้ว ขอแสดงความยินดีกับคุณผู้หญิงด้วย ขอแสดงความยินดี”

        “ทว่า ข้าไม่ได้อยากได้กำไลข้อมือนี้นี่! มีวิธีไหนที่สามารถถอดมันออกได้หรือไม่? ”

        คนที่ต้องการกำไลข้อมือนี้คือเยี่ยโยวเหยา ไม่ใช่นาง

        เถ้าแก่ส่ายหัวไม่ได้พูดอันใด

        ซูจิ่นซีมองอย่างรู้สึกผิดไปทางเยี่ยโยวเหยาซึ่งกำลังเดินมาหานางด้วยใบหน้าที่มืดครึ้ม “ท่านอ๋อง หม่อมฉัน… หม่อมฉันจะต้องคิดหาวิธีถอดมันออกมาให้ท่านให้ได้เพคะ! ”

        ทว่าคาดไม่ถึงว่าเมื่อเยี่ยโยวเหยาเดินมาถึงด้านข้างซูจิ่นซีแล้ว กลับพูดขึ้นมาในทันใด “ไม่ต้อง กำไลข้อมือนี้ให้เจ้าก็แล้วกัน! ”

        ให้นางหรือ?

        เหตุใดเยี่ยโยวเหยาจึงกล่าวเช่นนั้น?

        เจ้ากำไลนี้ลอยมาที่ข้อมือของซูจิ่นซีเองนะ! ยังไม่ทันได้เป็นของเยี่ยโยวเหยาเลยด้วยซ้ำ เหตุใดจึงพูดว่าเขาให้ซูจิ่นซีเล่า?

        หรือว่ากำไลข้อมือวงนี้จะเกี่ยวข้องอันใดกับเยี่ยโยวเหยา?

        ซูจิ่นซีไม่มีเวลาที่จะมาคิดเรื่องพวกนี้ เพราะว่าเยี่ยโยวเหยาได้เดินออกไปจากโรงประมูลแล้ว และยังตะโกนมาจากประตูว่า “ซูจิ่นซี ยังไม่ไปอีก? ”

        “ไปแล้ว ไปแล้วเพคะ! ท่านอ๋อง รอหม่อมฉันก่อนสิเพคะ! ” ซูจิ่นซีรีบส่งเสียงตอบกลับในทันที จากนั้นนางก็ยกข้อมือของตนที่สวมกำไลข้อมือปี่อั้น แล้วบอกกับเถ้าแก่โรงประมูลว่า “เถ้าแก่ สิ่งนี้… ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ของสิ่งนี้ข้าขอเอาไปก่อน เงินหนึ่งล้านตำลึงนั้น วันหลังท่านไปเอาที่จวนของท่านอ๋องก็แล้วกัน! ”

        พูดจบซูจิ่นซีก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ตามหลังเยี่ยโยวเหยาออกไป

        “ซูจิ่นซี? ”

        เถ้าแก่ครุ่นคิดอยู่นานก่อนที่จะนึกได้ว่าผู้ใดคือซูจิ่นซี  “ในเมื่อนางคือซูจิ่นซี เช่นนั้น ท่านอ๋องผู้นั้นก็คือ… โยวอ๋องหรือ? ”

        เถ้าแก่สะดุ้งตกใจในทันใด

        โชคดีที่วันนี้ไม่ได้มีเรื่องราวอันใดใหญ่โต แม้จะกล่าวว่าตลาดมืดเป็นองค์กรที่ใหญ่มาก แทบจะไม่มีผู้ใดกล้าที่จะต่อกรกับตลาดมืดเลย ทว่าโยวอ๋องแห่งจงหนิงก็ไม่ใช่คนที่ตลาดมืดจะสามารถรับมือได้

        ระหว่างทางกลับ ซูจิ่นซีย้ำอย่างรู้สึกผิดว่านางจะต้องหาทางถอดกำไลออกมาให้กับเยี่ยโยวเหยาให้ได้ ทว่านางก็ไม่กล้าถามเยี่ยโยวเหยาว่าเขาต้องการกำไลข้อมือนี้ไปทำอันใด

        ตลอดทางเยี่ยโยวเหยานิ่งเงียบไม่พูดจา หลังจากพาซูจิ่นซีส่งถึงหน้าประตูวังก็จากไปทันที

        ซูจิ่นซีรู้สึกหดหู่เล็กน้อยที่ต้องเข้าไปในวังด้วยตนเอง ทว่าเมื่อก้าวเข้ามาในประตูวังได้ไม่นานนัก ก็ถูกองครักษ์จับตัวไป

        “พวกเจ้าทำอันใด? ข้าคือพระชายาโยวอ๋อง ข้าเข้ามาในวังเพื่อรักษาโรคของฮองเฮาตามพระราชโองการของฝ่าบาท หากทำให้การรักษาฮองเฮาล่าช้าออกไป พวกเจ้ารับผิดชอบไหวหรือ? ”

        “พระชายา ล่วงเกินแล้ว ข้าน้อยไม่กล้าขัดคำสั่ง หากพระชายามีสิ่งใดก็ขอให้ท่านพบฝ่าบาทก่อนแล้วค่อยเอ่ยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

        พวกเขาไม่ได้กลัวซูจิ่นซี ทว่ากลัวที่จะล่วงเกินเยี่ยโยวเหยาต่างหาก

        ดังนั้น ซูจิ่นซีจึงถูกพาไปที่ตำหนักจ้งหวาโดยองครักษ์

        ในตำหนักจ้งหวา มีเพียงอวิ๋นจิ่นเท่านั้นที่อยู่ ผู้อื่นไม่รู้ว่าไปที่ใดแล้ว และซูจิ่นซีก็ไม่เห็นฮ่องเต้ที่รับสั่งให้จับตัวนางมาด้วยเช่นกัน

        เมื่อเห็นว่าอวิ๋นจิ่นได้เตรียมการทั้งหมดเพื่อที่จะรักษาฮองเฮาแล้ว ซูจิ่นซีก็พูดในใจตนเองเงียบๆว่า ‘อวิ๋นจิ่น ทำได้ดี! ’

        ในเวลาเดียวกันนั้นความไว้วางใจในตัวอวิ๋นจิ่นก็เพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว

        “ซูจิ่นซี เจ้าไปที่ใดมา? ยังกล้ามีหน้ากลับมาอีก! ”

        ทันใดนั้นนางได้ก็ยินเสียงของเฉินไท่เฟย ซูจิ่นซีหันมองไปทางประตูตำหนัก ฮ่องเต้ เยี่ยเซิน เฉินไท่เฟย เว่ยเหม่ยเจียต่างก็เดินออกมาจากประตูในเวลาเดียวกัน เฉินไท่เฟยชี้นิ้วตรงไปที่ซูจิ่นซีและเริ่มด่าทอต่อว่า

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset