จื่อจูที่โตเต็มที่จะมีประสิทธิภาพในการทำให้เลือดแข็งตัว ทว่าหากเป็นผลที่ยังไม่โตเต็มที่ก็จะถูกทิ้งไป เนื่องจากผลการแข็งตัวของเลือดไม่ดีเท่ากับยาเม็ดชนิดพวกหนิงเสี่ย หญ้าเสินเซียน และยาเออเจียวธรรมดา
ซูจิ่นซีมองดูโลหิตที่ไหลออกมาจากส่วนล่างของฮองเฮามากขึ้นเรื่อยๆ นางคิดเพียงว่ามันช่างบาดดวงตาทั้งสองเสียจนแทบจะเป็นลมอยู่แล้ว
การแข็งตัวของเลือดก็คือการห้ามเลือดที่เรียกกันในสมัยปัจจุบัน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากหลังจากใช้เข็มเงินเพื่อขับโลหิตออกจากร่างกาย หากหยุดเลือดไม่ทันเวลา ฮองเฮาจะต้องสิ้นพระชนม์อย่างไม่ต้องสงสัย
จิตใจของซูจิ่นซีหวนนึกถึงคำพูดของฮ่องเต้ที่ยกเอาหนานย่วนและจวนโยวอ๋องมาข่มขู่นางก่อนจะจากไป อีกทั้งยังมีทุกคนที่รอหัวเราะเยาะนางว่าเป็นขยะทางการแพทย์
ยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่าหากช่วยชีวิตฮองเฮาไม่ได้ ฮ่องเต้จะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ตอนนี้สิ่งที่นอนอยู่ตรงหน้าก็คือหนึ่งชีวิต! ซูจิ่นซีจะทนดูพระนางสิ้นพระชนม์ได้อย่างไรเล่า?
ทว่าแม้ทนไม่ได้แล้วจะทำอย่างไรได้ สมัยโบราณนี้ไม่มียาแผนตะวันตก เลือดที่ไหลออกมามากมายเช่นนั้น แม้ว่าเทพเซียนต้าหลัวจะเสด็จลงมาก็ช่วยอันใดไม่ได้ นอกจากนี้ หากซูจิ่นซีไม่ได้วินิจฉัยผิดละก็ ตามวิธีการของแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว ฮองเฮามีเกล็ดเลือดน้อยมากที่จะทำให้เลือดแข็งตัวได้ สภาพการณ์ของผู้ป่วยนี้ แม้ว่าจะเช็ดจนผิวหนังถลอกก็ยังหยุดเลือดได้ยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสถานการณ์ตอนนี้เลย
“พระชายา ตอนนี้…ตอนนี้ทำเช่นไรดี? ท่านรีบคิดหาวิธีเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ”
อวิ๋นจิ่นใกล้จะร้องไห้แล้ว หากฮองเฮาสิ้นพระชนม์ละก็ เขาไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างแน่นอน
“หมอหลวงอวิ๋น ท่านออกไป หยิบยาทุกชนิดในวังที่ช่วยให้เลือดแข็งตัวมาให้ข้า เช่น หญ้าเสินเซียน ยาเม็ดหนิงเสี่ย เออเจียวทั้งหมดนี้เอากลับมาให้ข้า เร็ว! ”
ซูจิ่นซีไม่สนใจอันใดแล้ว นางสั่งให้อวิ๋นจิ่นทำสิ่งต่างๆ อย่างจริงจังราวกับว่าสั่งลูกน้องของตนเองจริงๆ นางลืมไปตั้งนานแล้วว่าในวังนี้ อวิ๋นจิ่นยังคงมีฐานะเป็นหมอหลวง
“ทว่าพระชายา สถานการณ์ของฮองเฮาตอนนี้ ยาธรรมดาที่ทำให้เลือดแข็งตัว ไม่มีผลอันใดเลยนะพ่ะย่ะค่ะ! ”
“จะเอ่ยกระไรไร้สาระให้มากความ ข้าให้เจ้าไป เจ้าก็ไป! ”
ซูจิ่นซีเอ่ยเสียงดุและจริงจังมากเช่นกัน
นางไม่มองไปที่อวิ๋นจิ่นเลยแม้แต่น้อย ทำการปิดม่านและฉีกผ้าฝ้ายเกือบทั้งหมดในห้องออกเพื่อนำมาใช้หยุดเลือดให้ฮองเฮา
ทั้งห้องเต็มไปด้วยเลือด อวิ๋นจิ่นถูกสภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้กลัวจนสูญเสียตัวตนไปแล้วครึ่งหนึ่ง ทว่าในฐานะหมอ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นหมอหลวงอีกด้วย แม้ต่อหน้าผู้ป่วยกับพญายมก็ทนไม่ไหวที่จะตื่นตระหนก เขารีบออกไปหายาที่ทำให้เลือดแข็งตัวตามที่ซูจิ่นซีร้องขอ
ไม่ทราบว่าฮ่องเต้และคนอื่นๆ กลับเข้ามาที่ด้านนอกประตูตั้งแต่เมื่อใด เมื่ออวิ๋นจิ่นออกจากประตูไป ฮ่องเต้ก็เอ่ยทักขึ้นมา
“อวิ๋นอ้ายชิง [1] ฮองเฮาเป็นอย่างไรบ้าง? ”
เวลานี้อวิ๋นจิ่นไม่มีเวลาจะอธิบายให้ผู้อื่นฟังมากนัก
“ฝ่าบาท สถานการณ์เร่งด่วนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่มีเวลาอธิบายกับฝ่าบาท กระหม่อมต้องรีบไปหายาพ่ะย่ะค่ะ! ”
พูดจบก็รีบเดินออกไปด้านนอกตำหนักจ้งหวา
แม้แต่สีหน้าของหมอหลวงอวิ๋นก็จริงจังและรีบร้อน เป็นเพราะสถานการณ์ของฮองเฮาวิกฤตมากใช่หรือไม่? ฮ่องเต้เป็นห่วงสถานการ์ของฮองเฮามาก ทว่าไม่ได้ทำการขัดขวางแต่อย่างใด
ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจิ่นแทบจะให้คนยกยาช่วยการแข็งตัวของเลือดจากสำนักหมอหลวงมาทั้งหมด ทว่ายังไม่ทันจะได้ส่งเข้าไปให้ซูจิ่นซีที่รออยู่ด้านในห้องของฮองเฮา คาดไม่ถึงว่าจะถูกคนที่อยู่ที่ประตูตำหนักจ้งหวาขวางเอาไว้
คนที่ขวางอวิ๋นจิ่นไม่ใช่ผู้ใด นั่นก็คือบิดาแท้ๆ ของซูจิ่นซี ซึ่งตอนนี้ยังเป็นหัวหน้าสำนักหมอหลวงอีกด้วย
“หมอหลวงอวิ๋น ท่านรีบร้อนให้คนนำยาช่วยการแข็งตัวของเลือดมากมายเพียงนี้ไปทำสิ่งใดกัน? ”
“ท่านหัวหน้าสำนักหมอหลวง พระชายาโยวอ๋องกำลังรักษาโรคของฮองเฮา ตอนนี้สถานการณ์เร่งด่วน ต้องการยาช่วยการแข็งตัวของเลือดปริมาณมาก ขอให้ท่านหัวหน้าสำนักหมอหลวงหลีกทางด้วย! ”
“อะไรนะ? ที่เจ้าพูดถึงใช่ซูจิ่นซี ลูกอกตัญญูของข้าหรือไม่? ฮ่าฮ่าฮ่า… ” ซูจ้งเงยหน้าหัวเราะเสียงดังสองครั้ง “หมอหลวงอวิ๋น เจ้ามิใช่ว่าหยอกข้าเล่นกระมัง? ซูจิ่นซีเป็นขยะทางการแพทย์ที่พวกเราสกุลซูตั้งให้ นางรักษาโรคให้ฮองเฮา? เจ้าไม่ได้พูดผิดหรือ? ”
“หัวหน้าสำนัก ท่านกับข้าล้วนเป็นหมอหลวง เชื่อว่าท่านในฐานะหัวหน้าสำนักจะเข้าใจเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของชีวิตมากกว่าข้านะ ข้าน้อยไม่มีเวลามาคุยอันใดกับท่านให้มากความ รบกวนหลีกทางด้วย! ”
อวิ๋นจิ่นใช้ร่างกายดันซูจ้งที่ขวางอยู่ออกไป และเดินเข้าไปยังตำหนักจ้งหวา เขาเดินตรงเข้าไปยังประตูห้องด้านใน แม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่สนใจ และส่งยาให้กับซูจิ่นซี
“พระชายา ยาที่ท่านต้องการทั้งหมด กระหม่อมนำมามอบให้ท่านแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้อวิ๋นจิ่นตกใจมาก
บนเตียง บนพื้น และผ้าม่านล้วนเต็มไปด้วยเลือด ซูจิ่นซีเกือบจะกลายเป็นมนุษย์เลือด นางไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไรแล้ว ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความว่างเปล่าและสิ้นหวัง นางนั่งลงข้างเตียงของฮองเฮา
หรือว่า… ฮองเฮาสิ้นพระชนม์แล้วอย่างนั้นหรือ?
อวิ๋นจิ่นรีบตรงไปที่แท่นบรรทมทันทีเพื่อตรวจดูลมหายใจและชีพจรของฮองเฮา
ตกใจแทบแย่!
ยังดี แม้ว่าชีพจรจะเบาบางไปเสียหน่อย ทว่าก็ถือว่าโชคดีที่ยังมีลมหายใจอยู่
“พระชายา ยาที่ท่านต้องการข้าน้อยนำมาให้ท่านทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ”
อวิ๋นจิ่นพูดเบาๆ กลัวว่าจะทำให้ซูจิ่นซีที่เหม่อลอยนั้นตกใจ
สายตาของซูจิ่นซีดูราวกับคนสิ้นหวัง นางมองตรงไปด้านหน้าแล้วส่ายหัว “ไม่มีประโยชน์แล้ว ไม่มีประโยชน์แล้ว… ข้าช่วยอันใดนางไม่ได้ ไม่มีประโยชน์แล้ว… ”
อวิ๋นจิ่นไม่รู้ว่าช่วงที่เขาไม่อยู่ซูจิ่นซีประสบกับสิ่งใด นางใช้วิธีใดเพื่อหยุดเลือดของฮองเฮา เขารู้ดีว่าซูจิ่นซีนั้นแข็งแกร่งเพียงใด ครั้งแรกที่พบกันคือที่หนานย่วน ในเวลานั้นทุกคนที่อยู่ตรงหน้าล้วนกลั่นแกล้งนางอย่างไร้เหตุผล ทว่าซูจิ่นซีก็ไม่ท้อถอย คนเช่นนี้จะไม่ยอมแพ้ให้กับความยากลำบากง่ายๆอย่างแน่นอน ทว่าซูจิ่นซีที่มีท่าทางราวกับทำสิ่งใดไม่ถูกเช่นนี้ อวิ๋นจิ่นรู้ได้ในทันทีว่าซูจิ่นซีไม่มีวิธีรักษาฮองเฮาแล้ว
“ฝ่าบาท ท่านอย่าได้เชื่อซูจิ่นซีเด็ดขาด ซูจิ่นซีเป็นบุตรสาวของกระหม่อม กระหม่อมทราบดียิ่งกว่าผู้ใด นางไม่มีความเข้าใจทักษะการแพทย์เลย แล้วจะรักษาโรคของฮองเฮาได้อย่างไร? เมื่อสักครู่หมอหลวงอวิ๋นมีท่าทางเร่งรีบที่จะนำยาช่วยให้เลือดแข็งตัวจำนวนมากเข้าไป ด้านในจะต้องเกิดเรื่องอันตรายมากอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ โรคของฮองเฮากระหม่อมรับผิดชอบมาโดยตลอด กระหม่อมขอให้ฝ่าบาททรงอนุญาตให้กระหม่อมเข้าไปรักษาฮองเฮาด้วยอีกแรง”
เสียงของซูจ้งดังมาจากนอกประตู
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ! เสด็จพ่อ ลูกคิดว่าหัวหน้าสำนักหมอหลวงซูพูดมีเหตุผล แท้จริงแล้วเรื่องที่ซู… เสด็จอาไม่เข้าใจทักษะการแพทย์ทุกคนต่างก็รู้ดี แม้ว่าเสด็จอาจะสามารถรักษาโรคของไท่เฟยได้ นั่นเป็นเพราะประการแรกซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยหากคนที่เกิดมาในตระกูลแพทย์ บางครั้งก็มักได้เรียนวิชาแพทย์อย่างลับๆ ประการที่สองอาจเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ พระวรกายของเสด็จแม่สำคัญยิ่ง แท้จริงแล้วพวกเราไม่ควรกดดันให้เสด็จอารับไว้แต่ผู้เดียว หัวหน้าสำนักหมอหลวงซูเป็นบิดาของเสด็จอา ฝีมือจะต้องดีกว่าเสด็จอาเป็นแน่ มิเช่นนั้นก็ให้หัวหน้าสำนักหมอหลวงซูเข้าไปเถิด ให้ไปช่วยเสด็จอารักษาเสร็จแม่เถิดพ่ะย่ะค่ะ! ”
เยี่ยเซินพูดให้ฮ่องเต้คล้อยตาม
ผ่านไปนานก็ไม่ได้ยินเสียงฮ่องเต้ตอบกลับ
ฮ่องเต้ดึงเวลายืดยาวเสียนาน ยิ่งไม่ยอมพูด ยิ่งชัดเจนว่าพระองค์กำลังสงสัยสถานการณ์ด้านในอยู่ และกำลังลังเลพระทัย
ทว่าฉากที่อยู่ตรงหน้า จะสามารถให้คนภายนอกรู้ได้อย่างไร จะสามารถให้คนที่โต้แย้งเรื่องทุกอย่างของซูจิ่นซีอย่างซูจ้งและเยี่ยเซินเห็นได้อย่างไร
อวิ๋นจิ่นมองท่าทีของซูจิ่นซีแล้วรู้สึกกังวลเล็กน้อย
“พระชายา ท่านรีบคิดหาวิธีเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ”
ซูจิ่นซีนั่งลงบนพื้นและยังไม่ยอมพูด
“ฝ่าบาท พระองค์ให้กระหม่อมเข้าไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ! หากสายเกินไป เกรงว่าจะไม่ทันกาลแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ”
“เสด็จพ่อ ท่านให้หัวหน้าสำนักหมอหลวงซูเข้าไปเถิด! หรือว่าท่านไม่เชื่อถือฝีมือของหัวหน้าสำนักหมอหลวงซู แล้วพ่ะย่ะค่ะ? ”
ด้านนอกประตู ซูจ้งกับเยี่ยเซินยังคงพยายามขอร้องฮ่องเต้
“เอาเถิด! ซูอ้ายชิง เจ้าเข้าไปเสีย! หากรักษาโรคของฮองเฮาไม่ได้ เจ้ากับสองคนด้านในนั้นจะต้องรับโทษร่วมกัน! ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท! ”
คาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะตอบรับคำขอของซูจ้งจริงๆ
ฟังเสียงฝีเท้าของซูจ้งที่เข้าใกล้ห้องด้านในมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องพูดถึงอวิ๋นจิ่นเลย แม้แต่หัวใจของซูจิ่นซีก็ยังเต้น “ตุบตุบตุบ” อย่างไม่เป็นจังหวะราวกับค้อนหนักทุบลงมาอย่างรวดเร็วจนหายใจไม่ออก
“ทำอย่างไรดี? หัวหน้าสำนักหมอหลวงซูจะเข้ามาแล้ว? หากเขาเห็นทุกอย่างตรงหน้า พระชายาพ่ะย่ะค่ะ วันนี้หัวของพวกเราสองคนจะต้องหลุดจากบ่าเป็นแน่แล้ว หากมีเยี่ยโยวเหยาอยู่ก็ดีสิ หากเขาอยู่ด้วยจะต้องขวางหัวหน้าสำนักหมอหลวงซูได้อย่างแน่นอน”
เยี่ยโยวเหยา?
……
เชิงอรรถ
[1] อ้ายชิง หมายถึง ขุนนางอันเป็นที่รัก คำสรรพนามที่ฮ่องเต้ใช้เรียกขุนนางคนโปรด