สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 56 ความผิดพลาดที่โง่เขลา

        ซูจ้งเป็นผู้รับผิดชอบรักษาโรคของฮองเฮามาโดยตลอด เขารู้ดีที่สุดว่าอาการป่วยของฮองเฮานั้นค่อนข้างจัดการยาก หากสามารถรักษาได้ เขาคงรักษาให้หายไปนานแล้ว

        ตอนที่อยู่ตระกูลซู ซูจ้งไม่เคยถ่ายทอดความรู้ทักษะการแพทย์ให้กับซูจิ่นซีเลย ซูจิ่นซีนั้นโง่เขลาและไม่เคยได้สัมผัสตำราการแพทย์ใดๆ มาก่อนเช่นกัน แล้วโรคของฮองเฮา นางจะสามารถรักษาให้หายได้อย่างไร?

        เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด!

        ซูจ้งรีบเข้าไปในห้องของฮองเฮาด้วยใบหน้าที่ยากจะเชื่อถือ ต้องการดูเสียหน่อยว่าแท้จริงแล้วมันเกิดอันใดขึ้นกันแน่

        ทว่าเขายังไม่ทันได้ก้าวเข้าไป ก็ถูกนางกำนัลข้างพระวรกายของฮองเฮาขวางไว้ก่อน

        “หัวหน้าสำนักหมอหลวงซู นี่เป็นด้านในห้องของฮองเฮา ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามาโดยที่ไม่ได้เรียกพบ ท่านโปรดหยุดอยู่ตรงนั้น! ”

        ซูจ้งไม่เต็มใจ เขามองไปที่ซูจิ่นซีด้วยความโกรธเคือง

        ซูจิ่นซีเหลือบมองไปที่ซูจ้งอย่างได้ใจและทั้งดูหมิ่นดูแคลน ก่อนจะหันหลังกลับเข้าห้องชั้นในของฮองเฮา

        รอจนจัดการเก็บกวาดคราบเลือดให้เรียบร้อย ซูจิ่นซีที่หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสก็เดินออกมาอย่างอารมณ์ดี และเชิญให้ฮ่องเต้เข้าไปตรวจดู

        ในเวลานี้ฮองเฮาได้ทรงฟื้นขึ้นมาแล้ว เมื่อได้ยินเสียงฮ่องเต้และฮองเฮาสนทนากันอยู่ด้านใน ซูจิ่นซีก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที

        นางบิดขี้เกียจอย่างแรงคราหนึ่ง

        ทุกครั้งที่ได้เห็นคนไข้หายป่วยด้วยมือของตนเอง ซูจิ่นซีก็อยากเป็นหมอขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่านางจะมีความสุขมาก ทว่าร่างกายก็เหนื่อยมากเช่นกัน จากนี้ความรู้สึกเหนื่อยทั้งกายและใจกำลังจะหมดไป

        หลังจากทำการรักษามาเป็นเวลานานถึงเพียงนี้ ในที่สุดนางก็จะได้กลับไปแช่ตัวชำระร่างกาย และพักผ่อนได้อย่างเต็มที่

        ซูจิ่นซีอาบน้ำและเดินออกไปนอกตำหนักจ้งหวาท่ามกลางแสงแดดอันอบอุ่น อวิ๋นจิ่นวิ่งตามมาจากทางด้านหลัง และเอ่ยถามอย่างสุภาพนอบน้อม “พระชายา ข้าน้อยมีเรื่องบางอย่างที่ไม่เข้าใจ อยากจะขอคำแนะนำจากพระชายาพ่ะย่ะค่ะ! ”

        ซูจิ่นซียังไม่ได้ยินที่อวิ๋นจิ่นพูดว่าจะขอคำแนะนำเรื่องอันใด ก็ปฏิเสธไปทันที “หากจะถามเรื่องเกี่ยวกับการรักษาโรคของฮองเฮา เจ้าก็ไม่ต้องพูดแล้ว นั่นเป็นความสามารถเฉพาะบุคคล ศิลปะฝีมือที่ยอดเยี่ยมเฉพาะบุคล ไม่สามารถเปิดเผยได้! ”

        “พระชายา ข้าน้อยไม่ได้จะถามคำถามนี้พ่ะย่ะค่ะ”

        “อ่าว? เช่นนั้นเจ้าอยากถามสิ่งใด? พูดมาเถิด! ”

        “ข้าน้อยอยากขอคำแนะนำจากพระชายา หากจื่อจูยังเติบโตไม่เต็มที่ ประสิทธิผลก็จะไม่ดี สมุนไพรที่ใช้ห้ามเลือดทั่วไปไม่มีประโยชน์ต่อฮองเฮา ทว่าพระชายา ท่านห้ามเลือดของฮองเฮาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? ”

        “หมอหลวงอวิ๋น สองคำถามนี้แตกต่างกันหรือไม่? ”

        ซูจิ่นซีค้นพบแล้วว่า อย่ามองความอบอุ่น อ่อนโยน และลักษณะที่ซื่อสัตย์ของอวิ๋นจิ่นเพียงภายนอก เพราะความจริงแล้วภายในเขาก็ชั่วร้ายอยู่เหมือนกัน ทว่ายังมีบางสิ่งที่นางมีเส้นแบ่งที่ชัดเจนอยู่ หากไม่สามารถพูดได้ก็จะไม่พูด

        “พูดแล้วว่าเป็นความสามารถเฉพาะบุคคลก็คือเป็นความสามารถเฉพาะบุคคล หมอหลวงอวิ๋น เจ้าละทิ้งความคิดนี้ออกไปจากหัวเถิด! แม้เจ้าจะไม่ยกโทษให้ ข้าก็บอกไม่ได้อยู่ดี! ”

        ใบหน้าของอวิ๋นจิ่นมีแต่ความสงสัย ซูจิ่นซีแอบยิ้มที่มุมปากอย่างชั่วร้าย นางฮัมเพลงแล้วเดินออกไปอย่างอิ่มอกอิ่มใจ

        ทว่าความจริงแล้ว การลำพองใจเร็วเกินไปก็เป็นจุดจบที่ไม่ดี

        “ซูจิ่นซี ท่านจงหยุดอยู่ตรงนั้น!”

        ซูจิ่นซียังไม่ทันเดินออกจากตำหนักจ้งหวา ก็ถูกเยี่ยเซินสั่งให้องครักษ์มาขวางไว้

        “ไท่จื่อ นี่ท่านกระทำสิ่งใด? ”

        ใบหน้าร่าเริงของซูจิ่นซีราวกับถูกราดด้วยน้ำเย็น หายวับไปในชั่วพริบตา

        “คิดจะทำสิ่งใด? ซูจิ่นซี ท่านปิดบังหลอกลวงฮ่องเต้ สร้างอุบายลอบปลงพระชนม์ทายาทฮ่องเต้ นี่เป็นความผิดที่ไม่ว่าจะตายเป็นสิบครั้งก็มิอาจชดเชยได้ เรียกคนจับตัวนางมาให้ข้า นี่เป็นคำสั่งของฮ่องเต้ หากกล้าขัดขืน ให้ฆ่าทิ้งทันที! ”

        ฝ่าบาท?

        นี่เป็นคำสั่งของฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ?

        ซูจิ่นซีไม่อยากที่จะเชื่อ คาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ตรัสแล้วตระบัดสัตย์ เป็นผู้ที่ข้ามฟากได้แล้วก็ถีบเรือส่ง [1]

        เหล่าทหารองครักษ์เมื่อได้รับคำสั่ง ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อจับกุมซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซีก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว อาศัยมุมของกำแพงยืนอยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างจะปลอดภัย “ฝ่าบาทเล่า? เยี่ยเซิน ข้าต้องการพบฝ่าบาท จงพูดให้ชัดเจน ว่าแท้จริงแล้วมันเกิดอันใดขึ้น? ”

        “ซูจิ่นซี เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะฟังคำพูดให้ร้ายของเจ้าหรือ? ในท้องของฮองเฮาก็เห็นชัดเจนว่าเป็นทายาทฮ่องเต้ เจ้ากล้าดีอย่างไรลอบปลงพระชนม์ทายาทฮ่องเต้ นังทรยศ ยังไม่ยอมรับโทษอีกอย่างนั้นหรือ? ”

        ซูจ้งเดินออกมาจากด้านหลังเยี่ยเซิน แล้วพูดด้วยเสียงอันดัง

        “ถุย ในท้องของฮองเฮาเป็นพิษตัวกู่อย่างแน่นอน ซูจ้ง ท่านตรวจชีพจรอย่างไร แม้แต่อาการของโรคเช่นนี้ก็ยังวินิจฉัยผิดได้? ” ซูจิ่นซีกล่าว

        นางเคยเจอพ่อเลี้ยงที่ใจร้าย ทว่าซูจิ่นซีก็ไม่เคยเจอบิดาแท้ๆ ให้ร้ายบุตรสาวโดยไม่ไว้หน้านางเลยสักนิดเช่นกัน

        “พูดจาเหลวไหล! คนแก่อย่างข้าเป็นหมอมาเกือบทั้งชีวิต ชีพจรคนท้องคือชีพจรที่ปกติที่สุด แล้วจะวินิจฉัยผิดได้อย่างไร? ซูจิ่นซี เป็นเจ้าที่ความชำนาญในการรักษาไม่ดี ลอบปลงพระชนม์ทายาทฮ่องเต้ เจ้ายังจะเล่นลิ้นกลับคำราวกับตัวหวง [2] อีกหรือ? หรือเป็นเพราะหมอหลวงทุกคนในสำนักหมอหลวงของข้ามีทักษะทางการแพทย์ไม่เทียบเท่ากับเจ้า ทำความผิดพลาดโดยการนำพิษตัวกู่มาสลับให้กลายเป็นชีพจรที่เต้น ราบรื่นไม่ติดขัดอย่างนั้นหรือ? ”

        ในเวลานี้ฮ่องเต้กำลังเสด็จออกมาจากห้องชั้นในของฮองเฮา ซูจิ่นซีไม่มัวเปลืองน้ำลายกับซูจ้ง อธิบายกับฮ่องเต้โดยตรง

        “ฝ่าบาท ในท้องของฮองเฮาความจริงแล้วคือพิษตัวกู่ หม่อมฉันมีหมอหลวงอวิ๋นเป็นพยาน ไม่ได้ทรงตั้งครรภ์อย่างแน่นอนเพคะ! ”

        พอซูจิ่นซีเริ่มพูด อวิ๋นจิ่นก็รีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ฝ่าบาท ข้าน้อยเป็นพยานได้พ่ะย่ะค่ะ ในท้องของฮองเฮามีพิษตัวกู่จริงๆ และไม่ได้ทรงตั้งครรภ์แต่อย่างใดพ่ะย่ะค่ะ”

        “หมอหลวงอวิ๋น ท่านสมรู้ร่วมคิดกับซูจิ่นซีด้วยอย่างนั้นหรือ? ก่อนหน้านี้ท่านและซูจิ่นซีรักษาโรคให้ฮองเฮาเพียงลำพัง หลังจากนั้นข้าได้เข้าไปขัดขวาง ทว่ากลับไม่ยอมให้ข้าเข้าไปดูอาการของฮองเฮา ผู้ใดจะรู้ว่าพวกท่านสองคนร่วมมือกันทำสิ่งใดกับทายาทของฮ่องเต้ ท่านยังมีหน้ามาเป็นพยานให้ซูจิ่นซีอีกหรือ? ท่านจะพูดความจริงหรือไม่? ”

        “หัวหน้าสำนักหมอหลวงซู ท่านไม่สามารถพูดใส่ร้ายผู้อื่นโดยไม่มีหลักฐานเช่นนี้! ”

        “ฝ่าบาทรวมถึงไท่จื่อ อีกทั้งยังมีคนในตำหนักจ้งหวาล้วนกำลังเฝ้าดูและรักษาความปลอดภัยอยู่ข้างนอกห้องของฮองเฮาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังเห็นด้วยตาตนเองว่าท่านและซูจิ่นซีมีบางอย่างปิดบังทุกคนอยู่ข้างใน หมอหลวงที่เหลือของสำนักที่เคยตรวจอาการของฮองเฮาล้วนสามารถเป็นพยานได้ว่าฮองเฮาทรงมีพระครรภ์ หมอหลวงอวิ๋น พยานเหล่านี้ เพียงพอแล้วหรือไม่? ”

        “หัวหน้าสำนักหมอหลวงซู ท่านไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย หากฮองเฮาทรงพระครรภ์จริงๆ เหตุใดจึงใช้เวลาได้ถึงสองปีเล่า การตั้งครรภ์นานกว่ายี่สิบเดือนล้วนไม่นับว่าเป็นการตั้งครรภ์แล้ว ใช่หรือไม่? ”

        “แปลกอันใด? ในปีที่พระมารดาของฮ่องเต้ทรงพระครรภ์ พระองค์ใช้เวลาถึงยี่สิบสี่เดือนจึงจะคลอด ยิ่งกว่านั้นมารดาของข้าตั้งครรภ์แปดสิบเอ็ดปีจึงจะมาเกิดบนโลกมนุษย์ ในท้องของฮองเฮาเป็นครรภ์ที่ประเสริฐ ย่อมมาเกิดเหมือนคนธรรมดามิได้”

        “หัวหน้าสำนักหมอหลวงซู ท่านช่างไม่มีเหตุผล ที่พูดออกมาเช่นนี้ ตัวท่านเองเชื่อหรือไม่? ”

        “หมอหลวงอวิ๋น ต่อหน้าความจริงท่านถึงกับพูดไม่ออกเลยหรือ?”

        ……

        อวิ๋นจิ่นและซูจ้งยังคงโต้เถียงกัน ทว่าซูจิ่นซีกลับมองดูฮ่องเต้อย่างเงียบๆ นัยน์ตาที่สว่างไสวราวเปลวไฟของทั้งสอง ต่างกำลังครุ่นคิด

        เดิมทีซูจิ่นซีคิดว่า ซูจ้งที่คอยดูแลอาการป่วยของฮองเฮา แต่เนื่องจากอาการป่วยนั้นค่อนข้างจัดการยาก เขาจึงไม่สามารถรักษาให้หายได้มาโดยตลอด ทว่าในระหว่างนั้นกลับถูกสตรีที่ตนเองไม่เคยเห็นค่า ทำการรักษาให้หายได้ในระยะเวลาไม่นาน ซูจ้งที่หน้าหนาจนดึงไม่ออก จึงตั้งใจยุยงสร้างความบาดหมางให้กับฮ่องเต้

        ทว่าหลังจากที่มองดูฮ่องเต้อยู่นาน ซูจิ่นซีก็เข้าใจได้ในทันทีว่าความเป็นจริงมันไม่ง่ายเพียงนั้น

        ไม่ว่าจะเป็นพิษตัวกู่ในท้องของฮองเฮาก็ดี การตั้งครรภ์ก็ดี ในพระทัยของฮ่องเต้ที่มองซูจิ่นซีว่าปิดบังหลอกลวงพระองค์ ได้มีโทษตัดสินว่านางเป็นฆาตกรฆ่าทายาทของฮ่องเต้ปักไว้บนแผ่นเหล็ก มัดตัวไว้อย่างหนาแน่นแล้ว

        ฮ่องเต้คิดจะถอนรากถอนโคลนเยี่ยโยวเหยาตั้งนานแล้ว พระองค์ต้องการยืมโอกาสนี้ฆ่าเยี่ยโยวเหยาให้ตาย กำจัดอำนาจของหนานย่วนและจวนโยวอ๋องให้สิ้น!

        ที่แท้ก็ต่อหน้าทำอีกอย่างลับหลังทำอีกอย่าง

        ไม่แน่ว่า ที่ฮ่องเต้เรียกนางให้มารักษาฮองเฮานั้นคือเรื่องหลอกลวง พระองค์ถือโอกาสนี้ทำให้นางติดกับดัก หลอกใช้นางรับมือกับเยี่ยโยวเหยา นั่นถึงจะเป็นเรื่องจริง

        นางโง่เสียจริง โง่เง่าเสียจริง!

        กว่าจะรู้ว่าถูกวางกับดักก็โสายเกินไปแล้ว อยากตบปากตัวเองให้ได้

        ทว่าตอนนี้เสียใจไปก็ไม่ได้ประโยชน์อันใด?

        นางติดกับดักเรียบร้อยแล้ว!

        ไม่รู้ว่าเยี่ยโยวเหยามองเห็นเล่ห์อุบายของฮ่องเต้หรือไม่

        นางควรจะทำอย่างไรดี?

        จะชดเชยความผิดพลาดที่โง่เขลาของตนเองได้อย่างไร?

……

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset