ครึ่งชั่วยามต่อมา ฮ่องเต้และซูจิ่นซีก็ออกมาแล้ว
ในเวลาเดียวกันที่พวกเขาสองคนออกมา ก็ยังมีฮองเฮาที่ถูกนางกำนัลข้าหลวงประคองออกมาด้วยเช่นกัน
คาดไม่ถึงว่าฮองเฮาจะทรงยืนยันด้วยพระองค์เองว่าซูจิ่นซีไม่ได้วินิจฉัยผิด และนางก็ไม่ได้ลอบปลงพระชนม์ทายาทเช่นกัน
“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน! ”
ซูจ้งไม่อยากจะเชื่อ เขามั่นใจว่าในท้องของฮองเฮาเป็นทารกอย่างแน่นอน
“ซูจ้ง หรือว่าเจ้ากำลังตั้งข้อสงสัยกับข้าอย่างนั้นหรือ? ”
ฮองเฮากริ้วขึ้นมาเล็กน้อย
“กระหม่อม… กระหม่อมไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ! ”
ซูจ้งรีบคุกเข่าลงบนพื้น
พระพักตร์ของฮองเฮาซีดเซียวไร้เรี่ยวแรง ไอติดต่อกันสองครั้ง จึงให้นางกำนัลประคองกลับเข้าไปในห้อง
“ซูจิ่นซี แม้ว่าฮองเฮาจะรับประกันด้วยตนเอง ทว่าผู้ต้องสงสัยอย่างเจ้าก็ยังไม่อาจหลุดพ้นไปได้”
ฮ่องเต้ตรัส
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วและมองไปยังฮ่องเต้
นางรู้แล้วว่าเรื่องนี้ไม่สามารถราบรื่นได้เพียงนี้
ความจริงทางประวัติศาสตร์นั้นชัดเจนแล้วว่า ฮ่องเต้ก็เปรียบเสมือนนวนิยายและละครโทรทัศน์ที่หน้าเนื้อใจเสือเหลี่ยมจัด ไม่ซื่อและไร้ยางอายเป็นอย่างมาก
ซูจิ่นซีไม่พูดอันใด รอเพียงคำพูดต่อไปของฮ่องเต้
“เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเจ้า พร้อมทั้งพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามที่เจ้าพูดไว้ว่าในท้องของฮองเฮาเป็นพิษตัวกู่ ซูจิ่นซี ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งเดือน เจ้าต้องหาตัวผู้ที่ทำความผิดฐานวางยาพิษตัวกู่ในตัวฮองเฮา ไม่เช่นนั้น… ”
สายพระเนตรของฮ่องเต้ที่มองไปทางเฉินไท่เฟยนั้นช่างอันตราย ทว่าเพียงพริบตาเดียวพระองค์ก็ปรับสายตาให้อ่อนโยนขึ้นแล้วพูดว่า
“ไท่เฟย เดือนหน้าก็จะเป็นวันครบรอบการสิ้นพระชนม์ของฮ่องเต้พระองค์ก่อนแล้ว วันนี้ในทุกปีจะต้องใช้เครื่องเซ่นไหว้ที่ไทเฮาทรงจัดการด้วยพระองค์เอง ทว่าช่วงเวลานี้ในวังมีภาระมากมายเหลือเกิน ไทเฮาผู้เดียวคงจัดการไม่ไหว ช่วงนี้ก็รบกวนไท่เฟยอยู่ในวังชั่วคราว ร่วมกันช่วยเหลือไทเฮาด้วยก็แล้วกัน”
ฮ่องเต้คิดจะกักตัวเฉินไท่เฟย เพื่อคุกคามซูจิ่นซีใช่หรือไม่?
ฮ่องเต้ทำได้ถึงเพียงนี้ ช่างไร้ยางอายไม่น้อยทีเดียว
“ฝ่าบาทเพคะ การสืบหาคดีเช่นนี้เป็นหน้าที่ของศาลต้าหลี่กระมัง? หม่อมฉันเป็นเพียงสตรีทั่วไป หากกระทำเรื่องเช่นนี้จะไม่เหมาะสมต่อการปรากฏตัวในวงสังคมหรือไม่เพคะ? ”
ซูจิ่นซีกล่าว
“ศาลต้าหลี่ต้องร่วมมือกับพระชายาโยวอ๋องเพื่อสืบสวนคดีอย่างเต็มที่อยู่แล้ว หากพระชายาโยวอ๋องบ่ายเบี่ยง แม้ฮองเฮาจะรับรองด้วยตนเอง และแม้ว่าข้ารวมถึงทุกคนที่นี่จะเชื่อว่าพระชายาโยวอ๋องไม่ได้ลอบปลงพระชนม์ทายาท ทว่าข้ากลัวจะห้ามปากของผู้อื่นไม่ได้ เมื่อถึงเวลาที่ข่าวลือแพร่ไปทั่ว เกรงว่าจะเป็นผลเสียต่อไท่เฟยและโยวอ๋อง”
ฮ่องเต้ตรัส พร้อมกับมองไปทางเฉินไท่เฟยด้วยสายพระเนตรราวกับคมมีด
นี่เป็นการเตือนซูจิ่นซีอย่างแท้จริง เฉินไท่เฟยยังคงอยู่ในกำมือของเขา
ซูจิ่นซีกำหมัดอย่างโกรธแค้น นางกัดฟันตอบ “ตกลงเพคะ เวลาหนึ่งเดือน หม่อมฉันจะพยายามสืบหาตัวผู้ที่กระทำผิดมาให้ได้ ช่วงนี้เสด็จแม่อยู่ในวังก็คงต้องรบกวนฝ่าบาทดูแล”
“ไท่เฟย เชิญเถิด! ”
ฮ่องเต้ทำท่าทางเชื้อเชิญให้เฉินไท่เฟยตามไป หลังจากนั้นพระองค์จึงเสด็จนำออกไปยังตำหนักจ้งหวา เฉินไท่เฟยไม่ต้องการนำเยี่ยโยวเหยามาพัวพัน ยิ่งไม่กล้าสร้างปัญหาให้กับเยี่ยโยวเหยา จึงต้องฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ซูจิ่นซี และเดินตามฮ่องเต้ไปอย่างเงียบเชียบ
เมื่อเดินเฉียดไหล่ซูจิ่นซี ฮ่องเต้ก็ทรงพระสรวลขึ้นมาทันที “พระชายาโยวอ๋อง ไม่ใช่พยายาม ทว่าต้องทำให้ได้! ฮ่าๆ… ”
เมื่อฟังเสียงอันอิ่มอกอิ่มใจและทรงพลังของฮ่องเต้ ซูจิ่นซีก็อยากจะแทงเขาสักเข็มสองเข็มเพื่อให้กลายเป็นใบ้ไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ จะได้ไม่สามารถเปิดปากหัวเราะออกมาได้อีก
ทว่านางทำไม่ได้
นี่คือสมัยโบราณ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นพระราชวังของฮ่องเต้ ชายผู้นั้นคือฮ่องเต้ที่ปกครองทุกสิ่งทุกอย่างในยุคนี้
เมื่อฮ่องเต้เสด็จไปแล้ว เยี่ยเซินและซูจ้งก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ พวกเขาเดินจากไปพร้อมกับฮ่องเต้ทันที
ก่อนออกจากวังหลวง ซูจิ่นซีได้นำผงยาแผนปัจจุบันที่บดละเอียดหนึ่งห่อและยาสมุนไพรจีนตามใบสั่งยาให้กับนางกำนัลของฮองเฮา ทั้งหมดนี้เพื่อใช้รักษาโรคฮวาหลิ่วในพระวรกายของฮองเฮา
ถึงแม้ว่าพิษตัวกู่ในพระวรกายของฮองเฮาจะได้รับการกำจัดแล้ว ทว่าอย่างไรก็ตามโรคฮวาหลิ่วนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในระยะเวลาอันสั้น ครานั้นที่ฮองเฮาเต็มพระทัยออกหน้าเป็นพยานให้ซูจิ่นซีในช่วงเวลาที่สำคัญ นั่นก็เป็นเพราะว่าตอนที่ซูจิ่นซีอ้างกับฮ่องเต้ว่านางลืมหยิบเข็มเงินออกจากพระวรกายฮองเฮา นางได้ใช้เงื่อนไขที่ตนเองสามารถรักษาโรคฮวาหลิ่วมาแลกเปลี่ยนกับพระนาง
โรคฮวาหลิ่วก็คือพิษเหมย
แม้ว่าจะสามารถรักษาได้ในยุคปัจจุบันก็ตาม ทว่าก็มีโอกาสน้อยมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังจัดการได้ยากอีกด้วย ไม่ต้องพูดถึงในยุคโบราณที่การแพทย์ยังไม่พัฒนาเท่าไรนัก เมื่อผู้ใดเป็นโรคนี้แล้ว เท่ากับต้องถูกตัดสินประหารชีวิต ฮองเฮาเองก็ทรงเข้าพระทัยเป็นอย่างดีว่าไม่มีทางที่จะรักษาได้เลย
ไม่ต้องพูดถึงฮองเฮาผู้ที่สง่าผ่าเผย ทว่ากลับติดโรคนี้อย่างไม่คาดคิด แม้หมอจะรักษาได้ แต่ก็ไม่กล้าทำการวินิจฉัยออกมา ยิ่งไม่กล้าแม้แต่จะสั่งยารักษาโรคนี้ให้เช่นกัน!
ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าซูจิ่นซีสามารถรักษาโรคฮวาหลิ่วของพระนางได้ ในคราแรกฮองเฮาก็ยังไม่ทรงเชื่อ ต่อมาจึงได้ถือเอาความคิดที่ว่ารักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็น [1] ออกหน้าช่วยเหลือซูจิ่นซี
เหตุผลที่ทำให้ซูจิ่นซีกล้าแลกเปลี่ยนกับฮองเฮา ว่านางสามารถรักษาโรคนี้ได้ ไม่ใช่เพราะว่าทักษะการแพทย์ของนางสูงส่ง ทว่าเป็นเพราะโรคฮวาหลิ่วในพระวรกายของฮองเฮานั้นไม่รุนแรงมากนัก หรือที่ผู้คนในยุคปัจจุบันพูดว่า ยังไม่อยู่ในระยะสุดท้ายและยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ระบบถอนพิษก็ได้วิเคราะห์คุณสมบัติที่ทำให้เกิดอาการป่วยของโรคชนิดนี้ให้ซูจิ่นซีแล้ว อีกทั้งวิธีการถอนพิษและรักษาโรค ซูจิ่นซีก็รู้อยู่เต็มอก ดังนั้นในสถานการณ์ที่มั่นใจว่าจะสามารถฉวยเอาไว้ได้ นางจึงทำการแลกเปลี่ยนเงื่อนไข
หลังจากส่งต่อยาแผนปัจจุบันและยาสมุนไพรจีนที่ใช้ในการรักษาโรคฮวาหลิ่วของฮองเฮาไว้แล้ว ซูจิ่นซีก็เดินออกจากตำหนักจ้งหวาด้วยอารมณ์ที่สับสนเล็กน้อย นางมุ่งหน้าเดินออกจากวังหลวงไป
เมื่อใกล้ถึงประตูวังหลวง ก็มีคนตะโกนเรียกนางมาจากทางด้านหลัง ซูจิ่นซีหันกลับไปก็พบว่าเป็นอวิ๋นจิ่นอีกแล้ว
“หมอหลวงอวิ๋น หากจะถามถึงวิธีห้ามเลือดให้ฮองเฮา ข้าแนะนำว่าเจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้าได้พูดไปชัดเจนแล้วว่ามันเป็นความสามารถเฉพาะบุคคล ไม่สืบทอดให้ผู้อื่น! ”
อวิ๋นจิ่นยิ้มอย่างอ่อนโยน “แท้จริงเป็นอย่างไรล้วนปิดบังไม่มิดหรอกพ่ะย่ะค่ะพระชายาโยวอ๋อง ในฐานะหมอ ข้าน้อยมีความประหลาดใจเล็กน้อย จากเหตุการณ์นั้นไม่สามารถที่จะหยุดเลือดได้อย่างแน่นอน ทว่าพระชายาโยวอ๋องทำได้อย่างไร? ”
“ความอยากรู้อยากเห็นทำให้แมวตาย [2] ! ”
ซูจิ่นซียิ้มให้อวิ๋นจิ่น นางยักคิ้วขึ้นอย่างมีชีวิตชีวา ก่อนจะหันหลังเดินออกจากประตูวังหลวงไปอย่างสง่าผ่าเผย
อวิ๋นจิ่นไม่ได้ขวางทางซูจิ่นซีไว้อีก ทว่ากลับยืนนิ่งอยู่กับที่ ดวงตามีแววครุ่นคิดเล็กน้อย เขามองไปยังแผ่นหลังของซูจิ่นซี และยิ้มที่มุมปากอย่างหลงใหล อ่อนโยนดั่งแสงตะวันในเดือนสาม
มองเพื่อนเก่าที่รู้จักกันมานานท่านหนึ่งอย่างโลภโมโทสัน
หลังจากกลับมาถึงจวนโยวอ๋อง ซูจิ่นซีก็รู้สึกสุขกายสบายอารมณ์ที่เหตุร้ายทั้งหลายได้กลายเป็นดี เรื่องทั้งหมดล้วนจบสิ้นลงแล้ว ทว่าในทางตรงกันข้ามซูจิ่นซีกลับยิ่งหนักใจ ร่างทั้งร่างเหนื่อยจนทรุดตัวลงบนเตียง นางเอาผ้าห่มคลุมหัวแล้วนอนหลับไป
แม่นมฮวาและลวี่หลีตะโกนเรียกหลายครั้งก็ไม่สามารถปลุกนางให้ตื่นขึ้นมาได้
แม้จะไม่ได้เข้าวังหลวง ทว่าเยี่ยโยวเหยาที่อยู่ในตำหนักฝูอวิ๋นก็คอยฟังฉินเทียนรายงานถึงสถานการณ์ภายในวังหลวงโดยตลอด เขารู้ทุกการเคลื่อนไหวของซูจิ่นซีที่อยู่ภายในวังหลวงอย่างชัดเจน รู้แม้กระทั่ง “ทักษะลับ” ที่ซูจิ่นซีใช้ในการห้ามโลหิตให้ฮองเฮา
เบื้องหลังผู้คนที่อยู่ในห้องโถงชั้นในล้วนไม่แพร่งพรายออกไป
หลังจากได้ฟังการรายงาน ใบหน้าที่เย็นชาของเยี่ยโยวเหยาก็มืดมัวลงไม่น้อย
เขาหยิบกิเลนและขวดแก้วสีฟ้าอ่อนที่ไม่รู้ว่ามีสิ่งใดอยู่ภายในออกมาอีกครั้ง
“โยวเหยา เลือดของซูจิ่นซีไม่เพียงแต่สามารถบรรเทาพิษดูดเลือดที่ไหลเวียนในร่างกายของท่านได้เท่านั้น ทว่ามันยังสามารถห้ามโลหิตของฮองเฮาได้อีกด้วย ดูเหมือนว่าสตรีผู้นี้จะไม่ธรรมดาเสียจริง หากนางมาจากที่นั่นจริง นางจะอยู่ที่นี่ไม่ได้อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งคนไป… ”
ฉินเทียนพูด พร้อมกับใช้มือขวาทำท่าทาง ‘ฆ่า’
ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาเย็นชา เงียบขรึมไม่พูดคำใด
“โยวเหยา ท่านหมายความว่าอย่างไร? หรือว่าท่านห่วงนางจริงๆ เสียแล้ว? ”
ฉินเทียนกังวลเล็กน้อย
ทันใดนั้นเยี่ยโยวเหยาก็วางกิเลนและขวดแก้วสีฟ้าอ่อนในมือลง เขาลุกพรวดขึ้น
“ห่วงนางเช่นนั้นหรือ? นางยังไม่มีความสามารถนั้น ที่ข้ายังเก็บนางไว้เพราะยังมีเรื่องสำคัญให้นางทำ หลังจากเสร็จเรื่องนี้ข้าจะจัดการนางเอง”
“ที่ท่านพูดคือจะให้นางถอนพิษให้ท่านอย่างนั้นหรือ? โยวเหยา ท่านอย่าลืมภารกิจของท่าน ฐานะของนาง ท่านแบกรับไว้ไม่ไหวหรอก เมื่อถึงเวลาหากท่านไม่ยอมลงมือ ข้า…ฉินเทียนจะแก้ปัญหาเรื่องนางเอง”
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้พูดสิ่งใด เบื้องหลังที่ทรงเกียรติน่าเกรงขาม ดุจดั่งเทพที่ไม่อาจเอื้อม เขาเดินจากไปอย่างเงียบสงัดในคืนอันมืดมิด
เป็นช่วงเวลาดึกดื่นค่อนคืนมากแล้ว เยี่ยโยวเหยากลับมายังจวนโยวอ๋อง ทว่าเขาไม่ได้กลับไปที่ตำหนักฝูอวิ๋น แต่กลับกระโดดเข้ามายังเรือนอวิ๋นไคของซูจิ่นซี
น้ำชากำลังเดือดอยู่บนเตาที่ชั้นหนึ่งของเรือน แม่นมฮวาและลวี่หลีต่างนอนหงายหลับสนิทอยู่ด้านข้าง
ซูจิ่นซีที่อยู่บนชั้นสองหลับสนิทราวกับหมูตายก็มิปาน
อากาศในฤดูร้อนช่างร้อนยิ่งนัก ยิ่งในยุคที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศและพัดลมด้วยแล้ว ซูจิ่นซีก็ยิ่งไม่สามารถทนอากาศร้อนได้ ปกตินางจะนอนเปลือยกายไม่ใส่ชุดนอน อีกทั้งท่านอนก็แสนจะแปลกประหลาดเป็นพิเศษ
……