สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 60 ท่านอ๋องคิดลึกแล้วกระมัง?

        “ยาสมุนไพรทั้งหมดที่เจ้าต้องการอยู่ตรงนั้น! ”

        เสียงของเยี่ยโยวเหยาเย็นเฉียบ เหลือบไปยังโต๊ะที่อยู่ห่างไกล

        ซูจิ่นซีมองตามสายตาของเยี่ยโยวเหยา ก็เห็นกองยาขนาดใหญ่วางอยู่จริงๆ

        เมื่อครู่ตอนเข้ามานางรู้สึกตึงเครียด แม้ว่าระบบถอนพิษจะตรวจพบว่ามียาสมุนไพรมากมายที่นี่ ทว่าซูจิ่นซีก็ไม่ได้คิดอย่างละเอียดเลย ที่แท้เยี่ยโยวเหยาได้เตรียมยาสมุนไพรที่นางต้องการทั้งหมดไว้พร้อมแล้ว เขาเรียกนางมาเพื่อให้มาปรุงยาถอนพิษ

        เพียงแต่ การปรุงยาถอนพิษไม่จำเป็นต้องรีบร้อนถึงเพียงนี้กระมัง?

        “ท่านอ๋อง ที่แท้ก็เรื่องนี้เองหรือเพคะ? ท่านให้คนนำยาสมุนไพรไปส่งที่เรือนอวิ๋นไคก็ได้แล้ว เมื่อหม่อมฉันปรุงยาถอนพิษเสร็จก็จะส่งมาให้ท่าน เหตุใดจะต้องพยายามถึงขั้นเสียเวลาดึกดื่นถึงเพียงนี้ด้วยเล่าเพคะ? ”

        ซูจิ่นซีพูดไปด้วยพร้อมกับตรวจสมุนไพรไปด้วย

        แม้ว่าระบบการถอนพิษจะตรวจสอบว่าวัตถุดิบยาทั้งหมดนั้นใช้ได้ ทว่าซูจิ่นซีก็ยังต้องตรวจสอบด้วยตนเองอีกครั้ง

        ประการแรก เพื่อป้องกันในกรณีที่ระบบเกิดความผิดพลาดเนื่องจากอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด อีกประการหนึ่งก็เป็นเพราะความเคยชินของมืออาชีพเช่นกัน

        “ก็ปรุงเสียที่นี่! ”

        เยี่ยโยวเหยายังคงเล่นหมากรุกผู้เดียว ตั้งแต่ต้นจนจบสายตาของเขาจับจ้องอยู่บนกระดานหมากรุกด้านหน้าตลอด

        “อะไรนะ? ท่านอ๋อง ท่านไม่ได้พูดเล่นใช่หรือไม่เพคะ? ตอนนี้มันยามสามแล้วนะเพคะ ให้ปรุงยาถอนพิษตอนนี้? พิษในร่างกายของท่านไม่ใช่ว่าพึ่งจะได้รับมาในวันสองวันนะเพคะ เวลาเพียงเล็กน้อยก็ไม่ทำให้ถึงกับชีวิตท่านหรอก จำเป็นต้องรีบใช้อันใดเพียงนั้นหรือ? หากข้านำยาสมุนไพรกลับไป พรุ่งนี้ปรุงเสร็จแล้วค่อยส่งกลับมาให้ท่าน ก็ไม่ได้ทำให้มันล่าช้าเลยนะเพคะ เหตุใดจะต้องรีบร้อนด้วย! ”

        “ข้าบอกว่าตอนนี้ก็ต้องตอนนี้! ”

        เยี่ยโยวเหยากล่าวอย่างใช้อำนาจ ไม่ง่ายเลยที่ซูจิ่นซีจะปฏิเสธ

        เป็นบ้าหรืออย่างไร?

        ดึกเพียงนี้แล้วยังไม่ให้คนพักผ่อน?

        ก่อนหน้านี้เป็นเรื่องอาการป่วยของเฉินไท่เฟย กอปรกับเรื่องอาการป่วยของฮองเฮาในวังหลวง ตอนนี้ยังมีคดีที่ถูกบีบบังคับให้ทำภายในหนึ่งเดือน นางต้องหาผู้ร้ายตัวจริงที่วางยาพิษร้ายแรงนี้ให้กับฮองเฮา ร่างกายและจิตใจของซูจิ่นซีอ่อนล้าเกินพอแล้ว เวลานี้กลางดึกยังไม่ยอมให้นางพักผ่อนดีๆ อีก ซูจิ่นซีชักจะหงุดหงิดจริงๆ เสียแล้ว

        ทว่าความฉลาดทางอารมณ์ของซูจิ่นซีนั้นสูงมาก นางรู้ว่าที่นี่ นางไม่สามารถที่จะแสดงอาการโกรธและระเบิดอารมณ์ออกมาได้ นางจึงระงับความโกรธในใจไว้

        ซูจิ่นซีอธิบายกับเยี่ยโยวเหยาด้วยความอดทนเป็นอย่างมาก “ท่านอ๋อง ตอนนี้ดึกมากแล้ว เมื่อคนอ่อนล้า เวลาทำงานก็ง่ายที่จะทำผิดพลาด หากยาถอนพิษที่ทำขึ้นภายใต้สภาพร่างกายเช่นนี้เกิดข้อผิดพลาด มันคงไม่ดีต่อท่านใช่หรือไม่? ท่านว่า… ”

        คำพูดสุดท้ายของซูจิ่นซียังไม่ทันได้พูดจบ ดวงตาที่เย็นชาของเยี่ยโยวเหยาก็กวาดมาทางนางราวกับใบมีดคม ซูจิ่นซีตกใจสั่นไปทั้งตัว ไม่ทันได้เอ่ยคำใด คำพูดนั้นก็ทะเลาะกับปลายลิ้นของนางไปรอบหนึ่ง นางจึงกลืนมันกลับเข้าไป

        เออ!

        สามารถเล่นงานนางได้อย่างสง่างามเย็นชาเสียจริง?

        แม้แต่นายทุนที่ชั่วร้าย ก็ไม่มีการบังคับคนให้ทำงานล่วงเวลากระมัง?

        อยากจะกัดเขาสักครั้งเสียจริง

        ซูจิ่นซีทำได้เพียงพร่ำบ่นในใจกลับไปกลับมา ทว่าคำพูดที่รุนแรงเหล่านี้ ซูจิ่นซีไม่กล้าพูดเล่นออกไปแม้แต่คำเดียว ในความเป็นจริงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการใช้อำนาจบาตรใหญ่ของเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีก็ทำได้เพียงประนีประนอมและยอมจำนนเท่านั้น

        แก้มนางพองไปครึ่งวันแล้ว สุดท้ายซูจิ่นซีก็พูดขึ้น “เอาเถิด! ได้เพคะ! ถือว่าหม่อมฉันมีคุณธรรม อุทิศตนเพื่อสาธารณะประโยชน์สักครั้ง คืนนี้จะปรุงยาถอนพิษให้ท่านอ๋องก่อน ทว่าครั้งต่อไปจะไม่มีอีก หลังจากนี้หากหม่อมฉันต้องมาทำเรื่องราวนอกเวลากลางดึกเช่นนี้อีก หม่อมฉันจะไม่ทำแน่นอนเพคะ! ”

        พูดแล้วซูจิ่นซีก็เริ่มตำยาสมุนไพร

        อารมณ์ที่แสดงออกผ่านแววตาของเยี่ยโยวเหยาเปล่งประกายอย่างแปลกประหลาด ซูจิ่นซีบ่นเล็กน้อย พูดหลายสิ่งหลายอย่างในลมหายใจเดียว สิ่งใดคือการอุทิศตนเพื่อสาธารณะประโยชน์ สิ่งใดคือทำงานล่วงเวลา คำพูดประเภทนี้แม้ว่าเยี่ยโยวเหยาจะฉลาด ทว่าก็ยากจะเข้าใจ

        ซูจิ่นซีก้มหน้าก้มตาทำแล้วทำเล่าเป็นเวลานาน หลังจากผ่านไปสองชั่วยามการแสดงออกที่เคร่งขรึมและจริงจังของซูจิ่นซีก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย หางตาและคิ้วของนางค่อยๆ ปรากฏความเบิกบานใจ ซึ่งนั่นเป็นความสุขจากความสำเร็จ

        สุดท้ายยาถอนพิษก็ปรุงสำเร็จแล้ว

        ยามีทั้งหมดสามเม็ด ซูจิ่นซีเป็นเหมือนนางกำนัลตัวน้อยที่มีความสามารถ นางถือเม็ดยาสีดำอย่างจริงจัง ยื่นไปตรงหน้าของเยี่ยโยวเหยา

        “ท่านอ๋อง ได้ยาถอนพิษแล้วเพคะ โปรดวางใจและเสวยเถิดเพคะ! ”

        เยี่ยโยวเหยาไม่ได้รับยาถอนพิษในทันที ทว่ามองไปยังซูจิ่นซีด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์

        ซูจิ่นซียิ้มอย่างมั่นใจที่มุมปากของตน นางพยักหน้า และแสดงสีหน้ายืนยันให้เยี่ยโยวเหยา

        “ท่านอ๋อง ยาถอนพิษไม่มีปัญหาอย่างแน่นอนเพคะ”

        สุดท้าย เยี่ยโยวเหยาก็วางใจรับยาถอนพิษไว้

        ใบหน้าของซูจิ่นซีเต็มไปด้วยความภูมิใจ นางกุมมือประสานไว้ตรงหน้าด้วยความมั่นใจ คอยยืนเขย่งอยู่ข้างๆ เฝ้าดูเยี่ยโยวเหยากลืนยาทั้งหมดทีละเม็ด

        “ท่านอ๋อง ท่านกลั้นหายใจ แล้วเดินลมปราณเพื่อฟื้นฟูร่างกายดู สิ่งที่ติดขัดภายในบริเวณจุดตันเถียน [1] ลดลงบ้างหรือไม่เพคะ? ”

        เยี่ยโยวเหยาทำตามที่ซูจิ่นซีกล่าวมาทั้งหมด ในจุดตันเถียนราบรื่นกว่าเมื่อก่อนมาก ทว่าใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงความแปลกใจ เพียงพยักหน้าตอนที่ซูจิ่นซีถามเท่านั้น

        ซูจิ่นซีใบหน้าเต็มไปด้วยความเบิกบานใจ กล่าวว่า “เช่นนี้ก็ถูกต้องแล้วเพคะ! ท่านอ๋อง แสดงว่าหม่อมฉันจัดยาได้ตรงตามอาการของโรค ยาที่หม่อมฉันปรุงขึ้นได้ผลแล้วเพคะ เพียงแต่ผลลัพธ์ไม่เร็วนัก จะต้องค่อยๆ ดูดซึม รอให้ผ่านไปอีกสองถึงสามวัน ท่านจะพบว่าผลลัพธ์ดีกว่าตอนนี้แน่นอน! ”

        ซูจิ่นซีพูดไปด้วยแล้วก็หยิบถุงผ้าสีเทาอ่อนออกมาจากกระเป๋าเครื่องมือหมอ

        “มาเถิดเพคะ! ถอดเสื้อผ้า นอนลงบนเตียงดีๆ นะเพคะ! ”

        อะไรนะ?

        ใบหน้าน้ำแข็งที่เย็นเยียบของเยี่ยโยวเหยามืดมนลงทันที เขาจ้องมองนัยน์ตาของซูจิ่นซี ลมเร็วแรงดุดันพัดผ่านกะทันหัน

        ซูจิ่นซีตระหนักได้ในทันทีว่าตนเองพูดผิดไป นางปิดปากอมยิ้มขำ “พรืด” ซูจิ่นซีเขย่าถุงผ้าสีเทาหม่นในมือของนาง “ท่านอ๋อง คิดทะลึ่งแล้วกระมัง? ท่านคิดไปถึงที่ใดกันเพคะ? หม่อมฉันต้องการจะฝังเข็มให้ท่านเพคะ! แม้ว่าจะเสวยยาไปแล้ว ทว่าก็ยังมีสารพิษตกค้างในร่างกายอยู่เล็กน้อย เป็นไปไม่ได้ที่ยาจะขจัดออกจนหมด จำเป็นจะต้องใช้เข็มเพื่อระบายออกถึงจะดีเพคะ”

        คาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขาวางตัวหมากรุกในมือลงไม่ช้าไม่เร็วจนเกิดไป ก่อนจะเดินไปที่ข้างเตียง และเริ่มถอดเสื้อผ้าออกทีละตัว

        ซูจิ่นซีไม่มีความคืบหน้าเลย แม้ว่านางจะยืนอยู่ไกลออกมา ยิ่งกว่านั้นยังมีฉากกั้นห้องปิดไว้อยู่ ทว่าคาดไม่ถึงว่านางจะมองเห็นเงาร่างสีดำบนฉากนั้น มองแล้วยังทำให้สติหลุดไปอีก

        “ยังไม่เข้ามาอีก! ”

        ซูจิ่นซีฟื้นคืนสติทันทีเมื่อเสียงที่แสดงถึงการหมดความอดทนของเยี่ยโยวเหยาดังขึ้น นางกลืนน้ำลายลงลำคอที่แห้งผาก มือไม้อ่อนอยู่บ้าง ซูจิ่นซีรีบกำเข็มเงินและรวบห่อมันเข้าไปหลังฉากกั้น

        หลังจากผ่านฉากกั้นเข้ามา ฝีเท้าของซูจิ่นซีก็หยุดลงทันที เท้าทั้งสองข้างราวกับถูกราดด้วยตะกั่ว ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้แม้แต่ก้าวเดียว รูม่านตาสีดำสว่างส่องประกายแวววับราวกับถูกดูดด้วยแม่เหล็ก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย

        แสงเทียนนวลอ่อนพริ้วไหวแผ่วเบา เปล่งแสงสีเหลืองเต็มไปด้วยความหวานซึ้งเพ้อฝัน ม่านสีม่วงเข้มกลายเป็นพื้นหลังที่งดงามโดยมีบุรุษผู้นั้นหันหลังให้นางที่กำลังยืนอยู่ เสื้อคลุมถูกถอดออก เหลือเพียงชุดชั้นในสีขาวราวหิมะเพียงชุดเดียว เผยผิวสีน้ำผึ้งเย้ายวนใจ ผ้าไหมสีดำและสีน้ำเงินเข้มที่ถอดออกกระจัดกระจายอยู่ด้านหลังของเขา ทำให้รูปร่างยิ่งดูสูงใหญ่ ลึกลับ และไม่อาจขัดขืน แผ่นหลังกว้างใหญ่ตั้งตรง ยังมีกล้ามแขนที่แข็งแรงได้มาตรฐานนั่น ภาพที่อยู่ตรงหน้านั้นสมบูรณ์แบบเสียจนราวกับไม่ใช่เรื่องจริงอย่างไรอย่างนั้น

        นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซูจิ่นซีมองดูร่างกายของเยี่ยโยวเหยา ทุกครั้งที่มองนางล้วนเหมือนกับหญิงบ้าผู้ชาย เพียงแต่ในความเป็นจริงซูจิ่นซีไม่ได้บ้าผู้ชาย ต่อหน้าผู้ชายคนอื่นนางยังคงมีสติดี สถานการณ์นี้จะเป็นเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยโยวเหยาเท่านั้น เเพราะนางคิดไม่ถึงว่าจะมีผู้ชายที่หล่อเหลาเช่นนี้ในโลก ส่วนที่เป็นแก่นสำคัญของความงามเกือบจะครอบคลุมทั้งหมดบนพื้นพิภพแล้ว แทบจะถือได้ว่าเป็นบุรุษสมบูรณ์แบบที่ยังดำรงอยู่

        “มองพอแล้วหรือยัง? ”

        เยี่ยโยวเหยาพูดอย่างใจร้อนอีกครั้ง ฟุบนอนอยู่บนเตียง

        ซูจิ่นซีกลับมารู้สึกตัวและส่ายหัว แก้มของนางร้อนขึ้นมาในทันที

        ซูจิ่นซีพยายามหลีกเลี่ยงสายตาไม่ให้มองเยี่ยโยวเหยา นางหยิบเข็มเงินจากกระเป๋าแพทย์ออกมาแล้ววางไว้บนโต๊ะเล็กข้างเตียง

        ซูจิ่นซีค่อยๆ ยกผมยาวบนหลังของเยี่ยโยวเหยาออกอย่างระมัดระวัง เตรียมฝังเข็มให้กับเยี่ยโยวเหยา

        ทว่าเมื่อเห็นฉากตรงหน้า ดวงตาทั้งสองข้างของซูจิ่นซีก็เบิกกว้างขึ้นอีกครั้ง ร่างกายของนางหดเกร็ง

        สวรรค์…

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset