สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา
ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี
“ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด”
ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น
หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก
สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ”
แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา
“พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…”
ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
“หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ”
ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา
“เสี่ยวเซียงกง [1] ช่วยข้าด้วย ฮือฮือ…เสี่ยวเซียงกง! ”
“พอได้แล้ว! ”
ชายหนุ่มตวาดเสียงดัง ซูจิ่นซีตกใจกลัวปิดปากลงทันทีทั้งที่น้ำตาคลอและร่างกายสั่นไปหมด
“เจ้าถามนางตั้งสองชั่วยามแล้ว ถามต่อไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก ดูเหมือนว่าหยกกิเลนอาจไม่ได้อยู่กับสตรีโง่นี่ ฉะนั้นเร่งมือจบเรื่องนี้เสีย! ”
ชายหนุ่มพูดแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกประตูไป
แม้ว่าสาวงามจะกลัวชายหนุ่มเช่นเดียวกับที่ซูจิ่นซีกลัว แต่ก็ยังพอมีความกล้าที่จะเดินตามประกบชิดชายหนุ่มสองสามก้าว
“ฝ่าบาท เรื่องการแต่งงานของท่านกับนาง…”
ชายหนุ่มหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองซูจิ่นซีที่ถูกมัดอยู่กับเสา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ และพูดออกมาด้วยความรำคาญใจว่า “นั่นมันเป็นเรื่องของข้า เจ้ารีบจัดการเรื่องนางเสีย ข้าไม่ชอบอะไรที่ยุ่งยาก”
“เพคะ! ”
หญิงสาวพยักหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย
เมื่อดวงตาทั้งสองข้างของชายหนุ่มประสบกับใบหน้าเพริศพริ้งของหญิงสาว สายตาแลเห็นร่องอกของนางพร้อมกับกระดูกไหปลาร้าที่ขาวราวกับหยก ใบหน้าขรึมจึงอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย เขาหันหลังเดินตรงมายังด้านหน้าสาวงาม
มือข้างหนึ่งหยุดอยู่ที่เอวคอด มืออีกข้างเชยคางขึ้นแล้วค่อยๆ จูบริมฝีปากแดงระเรื่อของนาง
“วางใจเถิด ในใจของข้ามีเพียงเจ้า ไม่ช้าก็เร็ว อย่างไรเสียข้าก็จะพาเจ้าเข้าตงกง [2] ! ”
พูดจบก็ผละออกจากร่างหญิงสาว พลิกตัวเดินหายไปในความมืด
หญิงสาวดีใจราวกับสัตว์เลี้ยงได้รางวัล
นางลูบริมฝีปากของตนเบาๆ แววตาเปล่งประกายไปด้วยอาการลิงโลด ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่สามารถระงับความตื่นเต้นในใจนี้ได้
หลังจากนั้นไม่นานแววตาของนางก็มืดแสงลงพร้อมตะโกนออกมาสุดเสียง “แม่นมจาง เอาของเข้ามา! ”
ทันทีที่ได้ยินเสียง หญิงร่างท้วมสี่ห้าคนก็เดินผ่านประตูเข้ามายืนเรียงแถวต่อหน้าหญิงสาว หนึ่งในนั้นถือชามหยกที่เต็มไปด้วยยาต้มสีดำเข้ม
“กรอกยาลงไป! ”
พอหญิงร่างท้วมทั้งสี่คนได้รับคำสั่งที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวจึงก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าซูจิ่นซีจะดิ้นรนแค่ไหนก็ไม่สามารถสู้แรงของหญิงร่างท้วมทั้งสี่ได้ และแล้วยาต้มนั้นก็ถูกกรอกเข้าปากนางไม่หยุด จนกระทั่งนางสำลักออกมา
……
ค่ำคืนอันมืดมิด ท้องนภาราวกับหมึกดำ
“อึก…เจ็บ…โอ้ยเจ็บจังเลย”
เมื่อซูจิ่นซี อัจฉริยะหมอพิษที่อายุน้อยและยอดเยี่ยมที่สุดแห่งสำนักหมอแผนจีนในศตวรรษที่ 21 ลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง เธอก็เห็นกางเกงชั้นในสีแดงสดลอยเด่นอยู่ต่อหน้าของเธอ ลอยไป…ลอยมา…
ต้นแขน เอวคอด กล้ามแขนได้มาตรฐานและสะโพกที่สมบูรณ์แบบ ร่างสูง…ชายหนุ่มรูปงาม! ซูจิ่นซีเมื่อได้พบเข้าแทบน้ำลายสอ
ทว่าในขณะที่ชายผู้นั้นค่อยๆ หันมา…
แย่ที่สุด! คาดไม่ถึงว่าจะเป็นตัวอ้วนหูกาง มองด้านหลังราวกับนักฆ่าอำมหิต เป็นอย่างที่ตนคิดไว้ไม่มีผิด
แต่ว่าไม่นาน ซูจิ่นซีก็ไม่มีเวลาว่างสนใจเรื่องพวกนี้
ปฏิกิริยาในหัวของเธอเร็วกว่าปฏิกิริยาของร่างกายเสียอีก ระบบถอนพิษในสมองของเธอมีเสียงเตือนดังขึ้น ‘ติ๊ดติ๊ดติ๊ด’ เป็นสัญญาณว่าเธอถูกวางยาและเป็นยาปลุกอารมณ์ที่มีส่วนผสมของกลิ่นชะมด
“น้องสาวตัวน้อย ผ่านคืนนี้ไป พี่ชายคนนี้จะรักน้องให้มาก ไหนมาให้จูบสักทีสิ จุ๊บ… ”
ปากยื่นของคนตรงหน้าสะท้อนให้เห็นใบหน้าหมูที่น่าขยะแขยง ค่อยๆ โน้มตัวลงมาหาซูจิ่นซี
ผิวเย็นของเขาสัมผัสกับร่างกายที่ร้อนราวกับถูกไฟเผาของซูจิ่นซี นั่นทำให้เธอรู้สึกเย็นสบายขึ้นมาเล็กน้อย ถึงขนาดที่ว่าเธอต้องการความใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นอย่างไร้เหตุผล
ทว่าซูจิ่นซีรู้ดี ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าฤทธิ์ของยาปลุกอารมณ์ที่ยังไม่หมดไป ถ้าไม่รีบหนีไป ตัวของเธออาจเป็นอันตรายได้
ซูจิ่นซีพยายามอย่างเต็มกำลังเพื่อพยุงร่างกายที่เจ็บปวดเสมือนว่ากำลังจะฉีกขาดออกจากกัน เธอผลักชายตรงหน้าออกสุดแรงแล้ววิ่งไปที่ประตูด้วยสติที่ยังลางเลือน
เสียงตวาดของชายหนุ่มดังมาจากด้านหลังว่า “อะไรกัน กล้าผลักข้าอย่างนั้นหรือ คิดว่าตัวเองวิเศษมาจากไหน ที่ข้าแตะต้องตัวเจ้าก็ถือเป็นบุญของเจ้าแล้ว”
ฤดูหนาวอันโหดร้าย หิมะโปรยปรายทั่วท้องฟ้า
การมาถึงของลมหนาวที่เย็นยะเยือกนั้น ทำให้จิตใจของซูจิ่นซีมีสติและในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เธอหวนคำนึงถึงความทรงจำบางอย่างที่หลายหลากพลุ่งพล่านในใจของเธอ…
ตระกูลแพทย์ซูที่เก่าแก่และร่ำรวยบนผืนแผ่นดินเทียนเหอแห่งแคว้นจงหนิง ซูจิ่นซีหญิงสาวด้อยปัญญา คู่หมั้นของไท่จื่อ ลูกอนุ เกิดมาเพื่อเป็นที่รองรับให้ทุกคนรังแกและหลอกลวง ท้ายที่สุดก็ต้องพบกับความทุกข์ยากที่แสนสาหัส
ซูจิ่นซีตกใจกับข้อมูลที่ได้รับรู้และหยุดวิ่งในทันที
ข้ามภพหรือ?
หึๆ จะเป็นไปได้ยังไง ทำไมน้ำเน่าขนาดนี้?
ซูจิ่นซีตกใจจนเกือบจะล้มลง โชคดีที่มือจับกับบางสิ่งไว้ได้ทัน
ไม่ใช่ว่าเธอเดินทางไปกับนักวิจัยคนสำคัญในสาขาการแพทย์ของประเทศ H แล้วเที่ยวบินขากลับประเทศจีนขาดสัญญาณติดต่อหรือ? เธอเพียงแค่อยู่ในอาการโคม่าเนื่องจากขาดน้ำและอาหารเป็นเวลานานเท่านั้น หรือว่าเธออาจตายแล้ว!? ไม่เพียงยังข้ามภพมาเท่านั้นแถมยังข้ามภพมาเป็นหญิงสาวน่าเวทนาเสียด้วย
เรื่องนี้มันไม่ไร้สาระมากไปหน่อยหรือไง?
ทว่าอย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่สามารถแยกแยะออกถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันนี้ อีกทั้งยังรู้สึกว่าบรรยากาศทั่วร่างกายของเธอที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมาก
เธอหันหน้าไปช้าๆ และตระหนักได้ว่าสิ่งที่เธอถือไว้ในมือกลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิต ยิ่งกว่านั้นยังเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง รังสีรอบกายเปล่งออกมาด้วยความโกรธดั่งเพลิงกาฬและอากาศที่เย็นขึ้นอย่างน่าหวาดกลัว
“รนหาที่ตาย! ”
อยู่ๆ ซูจิ่นซีก็ถูกชายผู้นั้นกระชากคอ
เมื่อความเย็นกระทบผิวหญิงสาวอีกครั้งอย่างไม่ทันตั้งตัว กระตุ้นร่างกายของเธอให้ตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้งและทำให้ความปรารถนาของเธอพุ่งสูงขึ้น
ร่างกายของเธอเหมือนจะทนไม่ไหว เธอคว้าข้อมือของชายผู้นั้นและในขณะเดียวกันก็แตะถูกชีพจรของเขาเข้าพอดี
เหตุใดชายผู้นี้ถึงมีลมปราณอ่อนแอมาก ได้รับบาดเจ็บรุนแรงมาอย่างเห็นได้ชัดแถมยังได้รับพิษอีกด้วย
“พี่ชาย ท่าน… ท่านรีบปล่อยข้าไปเถิด! ข้าไม่ต้องการใช้ประโยชน์นี้พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสนะ”
ซูจิ่นซีพยายามหักห้ามอารมณ์ความปรารถนาที่พุ่งสูงขึ้นนี้
เมื่อคนผู้นั้นได้ยินที่ซูจิ่นซีเอ่ย ไม่เพียงแค่ไม่จากไป ในทางตรงกันข้าม ความโกรธที่ถูกระงับไว้กลับแย่ลงไปอีก ลมหายใจที่เย็นยะเยือกพ่นออกมารุนแรงขึ้นทุกที สำหรับซูจิ่นซีแล้วนั้น การกระทำนี้เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยุ
ทันใดนั้นโคมไฟก็ลอยไปทั่วท้องนภา ควันจางๆ ของมันทำให้เธอไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้ ทว่านัยน์ตาที่ดำสนิทและมีเสน่ห์คู่นั้น ทำให้ซูจิ่นซีไม่สามารถละสายตาจากเขาได้อีกต่อไป
ริมฝีปากของซูจิ่นซีแห้งผากไปชั่วขณะ ยิ่งตัวเธออยู่ไม่นิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแผดเผาความปรารถนาในร่างกายของตัวเธอเองให้รุนแรงยิ่งขึ้นไปเท่านั้น
“บังอาจ! ”
ซูจิ่นซีกร่นด่าตัวเองอยู่ในใจ ขณะกำลังหาทางระงับความปรารถนาในร่างกายของเธอที่ปะทุขึ้นก่อนจะหนีไป
แต่คาดไม่ถึงว่า ร่างที่อ่อนแอของชายผู้นั้นจะเดินโซเซมาสลบลงบนไหล่บางของซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีไม่สามารถรับน้ำหนักที่ประชิดมาอย่างกะทันหันได้ เธอจึงผงะถอยหลัง เพียงไม่กี่ก้าวก็กระทบเข้ากับต้นดอกเหมยด้านหลังของเธอ
“อึก… เจ็บจังเลย… ”
แผ่นหลังของซูจิ่นซีกดทับกิ่งก้านของต้นดอกเหมยจนความเจ็บปวดก่อเกิดขึ้นอย่างรุนแรง เธอยังหายใจไม่ทั่วท้องจากอาการเจ็บปวด ร่างที่เย็นเฉียบของชายผู้นั้นแนบสนิทกับร่างกายที่ร้อนผ่าวของเธอ
กลิ่นของดอกเหมยจางๆ และความหนาวเหน็บที่รุกราน
ซูจิ่นซีไม่สามารถควบคุมเสียงในใจได้อีกต่อไป ร่างกายของเธอไม่ยอมเชื่อฟัง ในสมองของเธอมีเพียงคำพูดไม่กี่คำที่วนเวียนไปมาอยู่อย่างนั้น
“ช่วยด้วย… ข้าต้องการ… ไม่ไหวแล้ว… ”
……