ใบหน้าของตาแก่ซูจ้งนิ่งงัน มองซูจิ่นซีด้วยความไม่เชื่อ ทว่าชั่วครู่เท่านั้นเขาก็ลืมไปว่าเท้าของตนที่จะยกถีบเมื่อสักครู่ยังคงค้างอยู่กลางอากาศ
ซูจิ่นซียิ้มอย่างเย็นชาที่มุมปากของตนและพลิกซูจ้งลงกับพื้นด้วยร่างของนางเพียงคนเดียว
เสียงที่เย็นชาตำหนิแม่นมจางเสียงเข้ม “มัวงงอยู่ทำไม? ยังไม่รีบช่วยแก้มัดข้าอีกหรือ? ”
แม่นมจางยืนอยู่ที่ประตูถูกเสียงดุของซูจิ่นซีเรียกสติ แต่ก็ไม่กล้าจะทำตามคำสั่งที่ซูจิ่นซีพูด ถึงอย่างไรคุณหนูใหญ่ก็เป็นคนสั่งให้มัดนาง แม่นมจางที่กำลังลำบากใจเป็นอย่างยิ่งมองไปทางซูเซียนฮุย
ซูเซียนฮุยตกตะลึงนิ่งค้างไปเหมือนกับคนอื่นๆ มองด้วยความยากที่จะเชื่อ ปกติน้องเจ็ดผู้โง่เขลาอย่างซูจิ่นซีจะต้องถูกกดขี่รังแก เดิมทีไม่เคยเห็นสักครั้งจะร้องขอให้แม่นมจางลำบากใจ
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง “ทำไมละ? แม่นมจาง… เวลานี้คุณหนูอย่างข้าถึงขนาดที่ว่าบ่าวไพร่ยังเรียกใช้ไม่ได้แล้วสินะ? หรือว่าอยากให้ข้าไปร้องเรียกคนที่จวนไท่จื่อแก้มัดให้แทน? ”
ในบรรดาทุกคนซูเมิ่งเหยาบุตรสาวคนที่สี่ของสกุลซู มีปฏิกิริยาตื่นจากอาการตะลึงเร็วที่สุดและสามารถเข้าใจเหตุการณ์ได้อย่างทันท่วงที นางรีบเดินไปที่ด้านหลังของซูจิ่นซีแล้วแก้มัดให้อย่างรวดเร็ว
“น้องเจ็ดอย่าพึ่งโกรธไป ไม่ใช่ว่าแม่นมจางไม่ฟังคำสั่งของเจ้า นางเพียงแค่ตกใจที่อาการป่วยของเจ้าหายแล้วกระมัง มาเถิดพี่จะแก้มัดให้เจ้าเอง! ”
เมื่อพูดจบ จากนั้นนางก็ปลดเชือกที่อยู่บนตัวของซูจิ่นซี อีกทั้งเอียงซ้ายมองขวาตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ไหนน้องเจ็ดให้พี่ดูหน่อยสิ ถ้าอาการป่วยของเจ้าดีแล้ว เช่นนั้นก็คงไม่เป็นเหมือนเช่นเดิม”
ซูเมิ่งเหยาคนนี้เดิมทีเกิดในจวนของอนุ มารดาของนางด่วนจากไปเร็ว ทว่าด้วยซูเมิ่งเหยาที่ยังใช้ชีวิตผู้เดียวมาตลอด คนเช่นนี้แน่นอนว่ายากที่จะมองด้วยสีหน้าและความรู้สึกออก
ซูจิ่นซีเพียงยิ้มให้นางแต่ก็ไม่เอ่ยวาจาหรือเข้าใกล้มากจนเกินไป
ตอนนี้ผู้คนส่วนใหญ่ในห้องโถงเริ่มรู้สึกตัวจากคำพูดสองประโยคของซูเมิ่งเหยาที่เรียกสติขึ้นมาบ้างแล้ว
ซูเซียนฮุ่ยพูดขึ้นทันที “น้องเจ็ด ในเมื่ออาการป่วยของเจ้าหายดีแล้วก็ควรที่จะไปบอกฝ่าบาทให้ทราบเรื่องการตายของท่านพี่สักหน่อย แม้ว่าอนาคตเจ้าจะเป็นพระชายาของไท้จื่อ ทุกคนล้วนเท่าเทียม ท้ายสุดไม่แน่ว่าฝ่าบาทอาจจะมีโทษไปกับเจ้าด้วย”
แม้ว่าด้วยเวลานี้นางเองก็มีสัมพันธ์กับไท้จื่อ ยิ่งไม่ควรพูดถึงซูจิ่นซีในฐานะอนาคตพระชายาองค์รัชทายาท ทว่าเวลานี้ดีที่สุดก็เห็นจะมีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่สามารถนำมาต่อรองเพื่อโยนความผิดให้ซูจิ่นซีได้ ซูเซียนฮุยกล่าวอย่างไม่เต็มใจพร้อมกับกำหมัดแน่นด้วยความเกลียดชัง
ทุกเมื่อเชื่อวันอนุซุนแห่งสกุลซูที่เข้าไปตีสนิทใกล้ชิดกับฮูหยินฮั่วซื่อและซูเซียนฮุยเพื่อจะประจบประแจงพวกนาง และเมื่อสบโอกาสจึงเริ่มใส่ไฟซูจิ่นซีทันที
“ข้าว่านะ! คุณหนูเจ็ดที่ปกติก็เล่นสนุกสนานบ้าๆ บอๆ ไปทั่ว ทว่านางก็ไม่มีความกล้าพอที่จะฆ่าใครหรอก เดิมทีไม่ใช่ว่าป่วยอยู่หรือ? จะฆ่าใครสักคน คนปกติต่างหากที่สามารถฆ่าได้ อีกทั้งยังต้องมีความกล้าหาญมากเสียด้วย! ”
“แต่จะเป็นไปได้อย่างไร! ไม่เพียงแต่จะกล้าฆ่าคน ยังกล้าลักลอบคบชู้ด้วย! คาดไม่ถึงว่าจะเกลี่ยกล่อมเก่งจนถึงหลานชายของฮูหยิน เฮ่อ… หากแต่จะเป็นไปได้ว่าแสร้งโง่มานานแล้ว แท้จริงนั้นนางอดทนรอคอยเวลานี้มาตลอด”
อนุสกุลซูอีกคนรีบกล่าวเสริมขึ้น
ซูเซียนฮุยได้ยินท่านน้าทั้งสองพูดคล้ายคล้อยตาม ริมฝีปากยิ้มขึ้นอย่างชอบใจ
“ท่านพ่อ ท่านน้าทั้งสองพูดไม่ผิด เมื่อก่อนน้องเจ็ดโง่เง่า บ้าๆ บอๆ แม้ทำเรื่องให้สกุลซูของเราเสื่อมเสียอยู่บ้างทว่าเวลานั้นนางป่วยเราจึงไม่สามารถกล่าวว่านางได้ แต่ตอนนี้นางได้ทำสิ่งนั้นออกมาด้วยความเห็นแก่ตัวไม่รู้จักรักตนเอง นัดพบผู้อื่นส่วนตัวในยามวิกาล แถมยังฆ่าใครบางคนในภายหลัง หากท่านพ่อไม่จัดการเรื่องนี้อย่างเป็นกลาง วันหลังถ้าข่าวนี้แพร่ออกไปนอกจวน ไม่เพียงแต่เสียหน้าท่านพ่อ ยังจะเสื่อมเสียถึงสกุลซูทั้งสิบแปดรุ่นของเราด้วย”
“เซียนฮุย อย่าพูดจาไร้สาระ จิ่นซีไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นน้องสาวของเจ้า นางอาจผิดบ้าง ก็เพราะว่าขาดวินัยการอบรมสั่งสอน! ”
ซูจิ่นซีระบายสีหน้าแสดงความสะใจเงียบๆ แต่ภายในใจกลับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ท่านพี่ฮั่วซื่อช่างมีเมตตาเสียจริง กระทั่งตอนนี้ยังจะปกป้องลูกวัวตัวนี้อีก เวลาที่นางฆ่าหลานชายของท่าน นางยังจำได้หรือไม่ว่าท่านเป็นแม่ของนาง ประมุขซูเป็นบิดาของตน นางเคยคิดถึงความกรุณาของท่านกับท่านพี่ซูจ้งบ้างหรือไม่เล่า”
อนุซุนเผยธาตุแท้ของตนและใส่ความซูจิ่งซีอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่นางพูดก็ค่อยๆ มองไปที่สีหน้าของซูจ้ง เมื่อเห็นใบหน้าของซูจ้งจึงรู้ทันทีว่าแท้จริงคำพูดของนางเปรียบเสมือนคลื่นใต้น้ำที่รอปะทุฝั่ง จึงคิดจะใส่ความให้มากขึ้นกว่าเดิม
“จะต้องใช้คำพูดนี้อีกแล้วสินะ อนาคตคนของเราจะเป็นถึงชายาขององค์รัชทายาท! เมื่อครู่พึ่งพูดเองไม่ใช่หรือว่า คิดทำร้ายคนของราชวงศ์มีโทษอาญาที่สกุลซูไม่อาจชดใช้ได้ เช่นนี้แล้วท่านพี่ซูจ้งจะกล้าทำนางได้อย่างไร”
คำพูดสองคำนี้ของอนุซุน แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าซูจ้งที่เป็นประมุขตระกูลจะโกรธเกรี้ยวขึ้นมามากเท่าใด
“ซูจิ่นซี เจ้าดีขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเก็บงำไว้ไม่พูด”
คาดไม่ถึงว่าจะเรียกซูจิ่นซีชื่อนี้ออกมา ดูเหมือนว่าเขาจะเชื่อคำพูดของคนเหล่านั้นทั้งหมดโดยที่ไม่แสวงหาความจริงใดๆ จากเจ้าตัว และในเมื่อเป็นเช่นนี้สำหรับคำว่า ‘ท่านพ่อ’ ของซูจิ่นซีแล้วก็ไม่มีความหมายอะไร
“ในเมื่อจิ่นซีหายดีแล้ว เหตุใดจะกล้าเอาเปรียบท่านพี่หญิงได้ลงคอล่ะ!”
ซูจิ่นซีพูดขึ้นและมองไปที่ซูเซียนฮุยด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
รอยยิ้มนั้นทำให้ใจซูเซียนฮุยไม่สงบเอาเสียเลย แต่นางก็พยายามระงับเรื่องภายในใจเอาไว้แล้วกล่าวอย่างหนักแน่นว่า
“ซูจิ่นซี เจ้าอย่าได้ทำตัวเหมือนหมาจนตรอกแล้วมาแว้งกัดข้า! ”
ซูจิ่นซีไม่สนใจแล้วพูดต่อ “ถ้าไม่ใช่เพราะพี่หญิงใหญ่ทำเพื่อไท่จื่อแล้วให้ข้ากินยาสลบไป ข้าจะถูกคนใหญ่คนโตช่วยไว้ทันได้อย่างไร กระทั่งต้องใช้กำลังภายในพยายามขับพิษออกจากร่างกาย บังเอิญไปเจอจุดหนึ่งในร่างกายเลยทำให้ข้าฟื้นขึ้นมาได้ หรือว่าเรื่องนี้ข้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณพี่ใหญ่กันเล่า”
อนุซุนและคนอื่นๆ ไม่แม้แต่จะสนใจเรื่องพวกนี้ ทว่าซูจิ่นซีพูดอย่างชาญฉลาด ซูเซียนฮุยกับพวกแม่นมทั้งหลายที่เอายากรอกปากให้นางดื่ม แท้ที่จริงคือยาปลุกกำหนัดแต่นางก็เลี่ยงพูดว่าเป็นยาสลบ เพื่อจะยุติเรื่องยุ่งยากที่จะตามมาไม่จบสิ้น
แน่นอนว่าซูเซียนฮุยทำเรื่องพวกนี้ ฮั่วซื่อทราบดีทั้งหมด เมื่อฟังซูจิ่นซีเล่าเรื่องที่คาดไม่ถึงเช่นนี้ออกมาก็ไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด ทั้งยังตะคอกกลับว่า
“ซูจิ่นซี เจ้าเด็กโง่ หยุดพล่ามวาจาไร้สาระเสียที! ”
ถึงแม้จะเป็นภาพหน้าซื่อใจคดที่นางแสร้งทำเมื่ออยู่ต่อหน้าฝูงชน ทว่าฮั่วซื่อก็ไม่อาจอดทนสงบจิตใจของตนต่อไปได้ นางตะโกนใส่ซูจิ่นซีแล้วยังเรียกนางโดยไม่ใช้ชื่อแซ่ นับว่าเป็นเรื่องที่อัปยศต่อภาพลักษณ์ของฮูหยินอย่างนางที่สุดในชีวิต ยิ่งกว่านั้นยังทำตัวเช่นคนชั้นต่ำที่ชอบกล่าวว่าผู้อื่นลับหลัง
พอรู้สึกตัวอีกที ทุกคนที่ได้ยินคำพูดพวกนั้นไปหมดจะแก้ตัวก็ไม่ทันเสียแล้ว นางแทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองตายให้รู้แล้วรู้รอด
เสแสร้งอย่างที่คาดคิดไว้ไม่มีผิด…
“ทำไมกัน ท่านแม่ไม่เชื่อข้า หรือว่าอยากให้จิ่นซีเล่าด้วยว่าท่านพี่หญิงใช้วิธีอะไรบ้างหลอกล่อว่าที่พระสวามีของข้าหลังจวนสกุลซูนี่ ใช้วิธีอะไรที่แบกว่าที่พระสวามีของข้าให้ข้าดื่มยาสลบ แล้วใช้วิธีอะไรส่งข้าไปที่ห้องของฮั่วหยูที่ถูกยาปลุกกำหนัดเช่นเดียวกันกับข้า จะต้องให้ข้าพูดต่อหน้าผู้คนที่ละคนๆ ดีหรือไม่”
ซูจิ่นซีมองไปที่ฮั่วซื่อด้วยความเกลียดชัง
เมื่อซูจิ่นซีเลือกที่จะพูดเรื่องราวเหล่านี้ออกมาว่าเรื่องทั้งหมดซูเซียนฮุยเป็นคนทำ เมื่อเรื่องราวกลับตาลปัตรไม่เป็นไปดั่งใจหมาย นางเองก็ไม่สามารถหาเหตุผลใดมาหักล้างได้เลย และในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นด้วยความอับอายเมื่อเรื่องราวทุกอย่างถูกเหมือนเปิดโปงต่อหน้าผู้คนมากขนาดนี้
ซูจ้งไม่อยากจะเชื่อเลย เพราะในความทรงจำของตนตลอดมาซูเซียนฮุยคือลูกสาวที่สมบูรณ์แบบ ไม่คิดเลยว่าจะกล้ากระทำเรื่องเช่นนี้ “จิ่นซี เรื่องทั้งหมดที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือ”