ซูจิ่นซีมองซูจ้งด้วยสายตาเย็นชาแล้วพูดตอบไปอย่างหนักแน่น “แน่นอนว่าข้าพูดความจริง มิเช่นนั้นบาดแผลบนร่างกายของข้าจะอธิบายว่าอย่างไร ข้าจะทำร้ายตัวเองเพื่อเหตุใดกัน”
ทุกคนต่างก็พึ่งสังเกตเห็นรอยแผล ทั้งที่เดิมทีมันก็ปรากฏอยู่บนร่างกายของซูจิ่นซีนานแล้ว มันช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน แสดงให้เห็นว่าคนลงมือช่างมีจิตใจที่โหดร้าย
ซูเซียนฮุ่ยยืนกำมือแน่นเพียงลำพัง นางลอบมองดูสายตาที่ต่างไปจากเดิมของทุกคน
ทว่าอดทนได้เพียงไม่นานนางก็ตะโกนขึ้นว่า “ซูจิ่นซี ใครจะรู้ได้ว่ารอยแผลบนตัวเจ้าเกิดจากสิ่งใดหรือใครทำ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะทำมันขึ้นมาเองก็เป็นได้ เมื่อก่อนเจ้าไม่ได้มีสติสมประดี ข้าเพียงแค่เคยรังแกเจ้านิดหน่อยเท่านั้น ทว่าครานี้ เจ้าหายเป็นปกติดีแล้ว มาใช้วิธีที่น่ารังเกียจเช่นนี้ทำร้ายตัวเองแล้วใส่ความข้า เจ้าช่างชั่วช้าเสียจริง! ”
การต่อสู้ครั้งสุดท้ายอย่างสุนัขจนตรอก?
ซูเซียนฮุ่ยเอ๋ย สวรรค์ให้ข้ารอดมาได้เช่นนี้ ข้าก็ควรจะตอบแทนสวรรค์ที่เมตตา ด้วยการจัดการหญิงสารเลวอย่างเจ้าให้สิ้นซาก!
“แม้ว่าฮั่วอวี้จะถูกโยนลงไปในสระบัวจนจมน้ำตาย ทว่ายาปลุกกำหนัดในร่างกายหาใช่สิ่งที่น้ำจะสามารถชะล้างออกไปได้ ในห้องนี้มีผู้ที่เป็นแพทย์อยู่ไม่ใช่หรือ หากอยากตรวจสอบยาปลุกกำหนัดก็ล้วนตรวจสอบได้ เหตุใดไม่ลองตรวจดูให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียเล่า! ”
ซูจิ่นซียิ้มเยาะเย้ยข้างมุมปากพร้อมกับชี้มือไปที่ศพของฮั่วอวี้
ทันทีที่ซูจิ่นซีพูดเรื่องนี้ขึ้นมา สีหน้าของซูเซียนฮุ่ยและฮั่วซื่อก็ชาวาบขึ้นมาทันที
ดวงตาของซูจ้งเปล่งประกายด้วยความสงสัย ใบหน้าของเขาสงบนิ่ง ขณะเดินตรงไปยังศพของฮั่วอวี้อย่างใจจดใจจ่อเพื่อพิสูจน์มันด้วยตนเอง
ซูจิ่นซีมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยสายตาเย็นชา จิตใจของนางในตอนนี้สงบนิ่งดั่งสายน้ำ
แม้ไม่ต้องเข้าไปตรวจดูใกล้ๆ ซูจิ่นซีเองก็รู้อยู่แก่ใจว่า อย่างไรเสีย ในร่างกายของฮั่วอวี้จะต้องได้รับยาปลุกกำหนัดเช่นเดียวกับนางเป็นแน่
ไม่เพียงเท่านั้น ตอนที่ซูจิ่นซีข้ามภพมา ระบบถอนพิษของนางได้ตรวจพบว่าเบื้องหลังของไอ้งั่งฮั่วอวี้คือยาปลุกกำหนัดชนิดเดียวกันกับที่อยู่ในตัวของนางเอง
ถ้าเป็นไปตามที่ซูจิ่นซีคาดไว้แล้วละก็ ซูจ้งจะต้องตรวจพบยาปลุกกำหนัดในร่างกายของฮั่วอวี้อย่างแน่นอน
ทันใดนั้นก็เป็นไปตามที่ซูจิ่นซีคาดไว้ ซูจ้งที่กำลังโกรธเกรี้ยวเดินเข้าไปหาซูเซียนฮุ่ยหวังจะตีสั่งสอนนาง ทว่าฮั่วซื่อกลับตรงมาที่ด้านหน้าของซูจ้งแล้วจับมือของเขาไว้ “ท่านพี่ หรือว่าท่านจะเชื่อคำพูดโง่ๆ ของเด็กผู้นี้ ท่านไม่เชื่อเซียนเอ๋อร์ของเราหรืออย่างไร? เซียนเอ๋อร์เป็นลูกที่ท่านเลี้ยงมาด้วยตนเองตั้งแต่ตัวเท่าฝ่ามือนะเจ้าคะ! ”
“ฮูหยิน เจ้าหลบไป! วันนี้ถ้าข้าไม่ได้สั่งสอนละก็ วันหน้านางก็จะปีกกล้าขาแข็งเนรคุณมากขึ้นไปอีก ฉะนั้นเจ้าหลบไป! ” ซูจ้งพูดพร้อมกับเงื้อมมือจะตบลงบนหน้าของซูเซียนฮุ่ยด้วยความโกรธ
ทันใดนั้นสีหน้าของฮั่วซื่อก็มืดครึ้มลง นางส่งสายตาที่โกรธแค้นไปยังซูจ้ง “ซูจ้ง แล้วถ้าเป็นข้า ท่านจะยังกล้าตบหรือไม่? ”
เมื่อถูกฮั่วซื่อพูดเข้าเช่นนั้น ซูจ้งจึงจำต้องยับยั้งอารมณ์โกรธของตนไว้
ถึงแม้ซูจ้งจะเป็นประมุขของตระกูล ทว่าด้วยฐานะแล้ว สำหรับเขา ฮั่วซื่อเป็นสตรีที่แตกต่างจากผู้อื่น นางเกิดมาในตระกูลแพทย์ที่มีชื่อเสียง เกิดในสกุลสูงส่ง ซึ่งสกุลซูของเขาเทียบไม่ได้แม้เศษเสี้ยว นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมในหลายปีมานี้ ทั้งที่เขารู้ว่าฮั่วซื่อลงมือทำร้ายเลือดเนื้อแต่ละคนของเขา ซูจ้งก็ไม่แม้แต่จะกล้าถามถึงเหตุผล
ฮั่วซื่อพอใจอย่างมากที่ตนเองสามารถห้ามซูจ้งได้ ในเมื่อหางของจิ้งจอกถูกเปิดเผยแล้ว เช่นนี้ฮั่วซื่อก็ไม่จำเป็นต้องเก็บงำมันอีกต่อไป
นางชี้ไปทางซูจิ่นซีแล้วพูดว่า “พวกเจ้าจัดการจับนังเด็กไร้ยางอายนี่ไปขังไว้ในห้องมืดเสีย! ”
ห้องมืดหรือ?
เมื่อทุกคนได้ยินคำสั่งของฮูหยินแล้วก็ล้วนกลัวจนตัวสั่น
แม้แต่อนุซุนที่เคยหยิ่งผยองก่อนหน้านี้ก็ยังกลัวจนหัวหดไม่กล้าที่จะเอ่ยสิ่งใดออกมาอีก
ห้องมืด หรือก็คือห้องที่ฮั่วซื่อเอาไว้ใช้จัดการกับคนในจวนสกุลซู ไม่ว่าจะบุตรสาวหรือบ่าวรับใช้ที่ไม่เชื่อฟังคำสั่ง เครื่องมือทรมานที่อยู่ภายในนั้นช่างโหดร้ายเสียยิ่งกว่าศาลต้าหลี่ [1] เสียอีก
แต่ไหนแต่ไรมา คนที่เข้าไปในห้องนั้น ไม่มีใครสามารถรอดออกมาได้แม้แต่คนเดียว
ไม่ใช่ว่าทนไม่ได้จนปลิดชีวิตตนเอง ทว่าความจริงแล้วถูกฮั่วซื่อทรมานจนตาย
แม้ว่ากฎหมายของจงหนิงจะกำหนดว่า ภายในจวนไม่ว่าจะเป็นจวนของผู้ใดก็ตาม ไม่อนุญาตให้มีศาลเตี้ยและห้ามไม่ให้ทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต ทว่าฐานะอย่างฮั่วซื่อเล่า? อิทธิพลที่คอยหนุนหลังนาง มีหรือที่คนในจวนสกุลซูจะกล้าต่อกรด้วย ผู้ใดกล้าเปิดเผยสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องมืดนั้นเล่า?
แน่นอนว่าซูจิ่นซีรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นในห้องมืดนั่น และนางเองก็รู้ด้วยว่า ซูจ้งที่ถูกฮั่วซื่อควบคุมในเวลานี้ หรือแม้แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกผู้ทุกคน ล้วนตกอยู่ภายใต้น้ำมือของฮั่วซื่อทั้งหมดแล้ว
ซูจิ่นซีเอง ในเวลานี้เป็นเพียงผู้ที่ไม่รู้วิทยายุทธอันใดมากมาย แม้แต่ท่วงท่าในการต่อสู้ป้องกันตนเองยิ่งแล้วใหญ่ ที่สำคัญกว่านั้นคือนางไม่มีผู้มีอำนาจหนุนหลังที่สามารถช่วยเหลือให้รอดพ้นเงื้อมมือของผู้ชั่วร้ายนั่นสักนิด ท้ายที่สุดตัวนางเองก็ทำได้เพียงแค่เดินตามบ่าวรับใช้ด้วยความไม่สมัครใจ เรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อจากนี้เป็นต้นไปคงทำได้เพียงสอดส่องระวังภัยด้วยตนเอง ทุกย่างก้าวที่เดินจึงต้องคอยสังเกตสิ่งรอบตัวไปด้วย
ตอนที่ซูจิ่นซีถูกใครบางคนพยุงเดินออกมาจากห้องโถงใหญ่ ในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น บ่าวรับใช้ด้านนอกประตูก็รีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาราวกับเจอผี
“แย่แล้ว… แย่แล้ว… เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ… ”
ฮั่วซื่อที่กำลังโกรธจึงรีบตะคอกขึ้นโดยทันที “เจ้าตะโกนทำไม ยังไม่รีบพูดอีก เรื่องอะไรที่ว่าแย่”
ข้ารับใช้สติแตกกระเจิงเสียสิ้น จนไม่มีแม้แต่กะจิตกะใจจะสนใจเรื่องราวในห้องโถงใหญ่นี้รีบเอ่ยขึ้น “ฮูหยิน…คนในวัง…คนในวังมาเจ้าค่ะ! ”
ปัจจุบันด้วยฐานะของสกุลซูในด้านการเมืองการปกครองของแผ่นดิน นอกจากมารดาของซูจิ่นซีที่ได้เคยช่วยชีวิตไทเฮา [2] ไว้ พระองค์จึงได้หมั้นหมายซูจิ่นซีกับไท่จื่อแล้ว สกุลซูก็ไม่มีเรื่องอันใดเกี่ยวข้องกับคนในวังหลวงอีก ดังนั้นเมื่อมองเห็นคนจากในวังมาก็ตกใจว่าจะต้องเกิดเหตุไม่ดีเป็นแน่ หวั่นใจเสียจนอกสั่นขวัญแขวน
ดวงตาของฮั่วซื่อเหล่มองอย่างหงุดหงิด นางพยายามใช้สมองคิดว่าสกุลซูทำเรื่องราวใดไว้จนคนของวังหลวงต้องมาหาถึงที่นี่ ทว่ายามนี้ต้องพาทุกคนออกไปเพื่อต้อนรับคนเสียก่อน เรื่องในตระกูลไว้ค่อยจัดการในภายหลัง
ฮั่วซื่อส่งสัญญาณให้บ่าวรับใช้ที่กำลังพยุงซูจิ่นซี ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ด้วยตนเองว่าจะต้องรีบปล่อยตัวนางแล้วให้นางออกมาจากห้องมืดเสียก่อนที่จะเกิดเรื่องใหญ่ ทว่าคนที่กล่าวถึงยังไม่ทันออกมา คนจากในวังก็ก้าวเข้าจวนมาเสียแล้ว
ผู้คนที่มาก็คือขันที [3] ที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ เดินนำหน้ามาโดยไห่กงกงหัวหน้าขันทีของราชวงศ์เฉิง
เมื่อทุกคนได้เห็นเช่นนั้นก็ยิ่งคิดว่าการปรากฎตัวของคนในวังครานี้จะต้องเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน
ไห่กงกงนำราชโองการมาสองฉบับ
ราชโองการฉบับแรกคือ ยกเลิกการหมั้นหมายระหว่างซูจิ่นซีกับฝ่าบาทไท่จื่อ
ราชโองการฉบับที่สองคือ ให้ซูจิ่นซีแต่งงานกับโยวอ๋องในอีกสามวันข้างหน้า
โยวอ๋อง?
เมื่อถึงเวลาที่ไห่กงกงอ่านจบ ใบหน้าของทุกคนต่างตกตะลึงเสียยิ่งกว่าที่ได้ยินว่าฮั่วซื่อสั่งให้คนนำตัวซูจิ่นซีเข้าไปในห้องมืดกว่าร้อยเท่าพันเท่า
โยวอ๋องหรือนามว่าเยี่ยโยวเหยานั้น เป็นบุคคลที่อำมหิตผิดมนุษย์เสียยิ่งกว่าเหยียนลั่วหวาง! ได้ยินมาว่าวิธีการฆ่าคนของเขาช่างพิสดารและโหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง ในปีที่ผ่านมามีผู้หญิงสามคนถูกฮ่องเต้บังคับให้เข้าพิธีแต่งงานกับโยวอ๋อง ทว่าไม่มีสตรีใดเลยที่จะมีชีวิตผ่านคืนวันอภิเษกสมรส
“ซูจิ่นซี เจ้ามัวยืนนิ่งอึ้งทำอันใดอยู่ ยังไม่รีบรับราชโองการอีก? ”
ไห่กงกงพูดอย่างไม่สบอารมณ์
ซูจิ่นซีที่เพิ่งจะเข้ามาอยู่ในร่างเจ้าของเดิมที่เคยโง่เขลามาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นในจิตใต้สำนึกของนางก็ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับการกระทำของโยวอ๋อง นางจึงไม่รู้เรื่องใดเกี่ยวกับบุรุษผู้น่าหวาดกลัวนี้เลย
คิดไปแล้วตอนนี้ฐานะของนางเองในสกุลซูก็ไม่มีอะไรดีอยู่แล้ว เปลี่ยนสภาพแวดล้อมบรรยากาศที่แตกต่างออกไปก็ไม่ได้แย่ไปกว่ากันเท่าไร เช่นนี้แล้วนางจึงยืนขึ้นและก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับราชโองการ
พอเดินไปถึงข้างกายของซูจ้ง ซูจ้งเอื้อมมือคว้าชุดของซูจิ่นซีไว้ นางก้มหน้าเหลือบมองไปยังซูจ้งที่ส่ายหัวให้นางด้วยความกังวล
หรือว่าสายตาจะยาวจนมองผิดไป เป็นไปได้หรือไม่ว่าชายชราซูจ้งผู้นี้จะยังเป็นห่วงซูจิ่นซีอยู่บ้าง?
ซูจิ่นซีผละจากมือของซูจ้งที่กำชุดนางไว้ลับๆ ออกมาอย่างไม่ใส่ใจและก้าวไปข้างหน้าเพื่อน้อมรับพระราชโองการของฮ่องเต้
ซูจิ่นซีรับราชโองการหรือ?
นางกล้าที่จะแต่งงานกับโยวอ๋อง นางไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร?
แท้ที่จริงนางก็เป็นแค่คนโง่เขลาผู้หนึ่ง ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี
ทุกคนมองไปที่ซูจิ่นซีเหมือนมองผีอย่างไรอย่างนั้น
เหล่าขันทีเมื่อถ่ายทอดคำสั่งเสร็จสิ้นก็ยกยิ้มอย่างเย็นชาแล้วมองไปที่ซูจิ่นซี จากนั้นจึงหันหลังเดินออกจากจวนสกุลซูไปอย่างไม่สนใจผู้ใด
แม้ซูจิ่นซีจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดทุกคนจึงทำท่าทางตกใจกลัวถึงเพียงนั้น ทว่าอย่างไรก็ตาม นางกลับมีความสุขมากกว่าความทุกข์ที่จะได้หนีออกจากจวนสกุลซูแห่งนี้เสียที
เพียงแต่นางไม่รู้ว่าโยวอ๋องหรือเยี่ยโยวเหยาคือผู้ที่ถูกนางบังคับรวบหัวรวบหางแล้วสะบัดก้นหนีไป ไร้ซึ่งความรับผิดชอบที่สวนหลังจวนของสกุลซู หากนางรู้เรื่องนี้แล้วละก็ นางอาจยอมตายเสียดีกว่าเจอคนผู้นั้นก็เป็นได้