ฮั่วซื่อถอนหายใจด้วยความโล่งอกและมองไปที่ซูจิ่นซีอย่างดูหมิ่น ทันใดนั้นก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมา
การอภิเษกสมรสระหว่างคนโง่กับไท่จื่อได้ถูกยกเลิกไปแล้ว เพียงแต่คุณหนูเจ็ดจะต้องอภิเษกสมรสกับโยวอ๋องแทน ดังนั้นซูเซียนฮุ่ยบุตรสาวของตนที่เดิมทีก็มีสัมพันธ์รักลับกับไท่จื่ออยู่แล้ว นางวาดฝันที่จะเป็นพระชายาของไท่จื่อ ในเมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้ ก็เหมือนเติมเต็มความหวังให้ซูเซียนฮุ่ยมากขึ้น
ซูเซียนฮุ่ยเอง ดูเหมือนจะนึกไปถึงขั้นนั้นเช่นเดียวกัน เพียงรอยยิ้มแพรวพราวบนใบหน้าของนางก็สามารถอธิบายได้ถึงสิ่งที่อยู่ในความคิดทั้งหมด
“พาคุณหนูเจ็ดกลับไปเถิด พวกเจ้าก็ดูแลนางให้ดี อย่าละเลยว่าที่พระชายาในอนาคตของโยวอ๋องเล่า ขอเพียงแค่ว่าที่พระชายาอยู่อย่างสงบ รอเข้าพิธีเท่านั้น แล้วเรื่องที่ผ่านมาแม่ของเจ้าจะไม่เอาความ”
ฮั่วซื่อมองไปยังซูจิ่นซี แม้ว่าคำพูดของนางจะดูคล้ายสุภาพ ทว่าในคำพูดเหล่านั้นล้วนแฝงคำขู่อยู่ไม่น้อย
บ่าวที่มีพละกำลังทั้งหลายของฮั่วซื่อที่เคยจับซูจิ่นซีไว้ก่อนหน้านี้ เมื่อได้รับคำสั่งให้ปล่อยนาง พวกเขาก็จงใจทำเหมือนว่า ‘เชิญ’ ซูจิ่นซีกลับไปยังที่พักของตน
โดยไม่คาดคิด ซูจิ่นซีกลับเปล่งเสียงขึ้นมาอีกครั้ง “มีผู้ใดบอกหรือว่าอดีตนั้นสามารถลืมได้โดยง่าย? ในเมื่อเรื่องมันยังไม่จบ! ศพของฮั่วอวี้ยังคงนอนอยู่ตรงนั้น ท่านแม่จะทนทุกข์แบกรับไปอย่างนั้นได้หรือเจ้าคะ? ”
ดวงตาทั้งสองของฮั่วซื่อหรี่ลง นางมองไปที่ซูจิ่นซีแฝงด้วยความอันตราย
ในเวลานี้ซูจิ่นซีรู้สึกดีขึ้นมากทีเดียว
เมื่อย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ที่ขันทีกำลังอ่านพระราชโองการอยู่นั้น ซูจิ่นซีก็ตระหนักได้ว่าตนเองมีโอกาสที่จะยืนหยัดขึ้นอีกครั้ง นอกจากจะสามารถออกจากสกุลซูได้แล้ว เหตุผลอีกประการหนึ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งก็คือ นางยังได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้โดยตรง ไม่ต้องผ่านผู้ใดในจวนนี้เสียด้วย
ซูจิ่นซียิ้มพร้อมทั้งเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ ฮั่วซื่อและพูดด้วยเสียงที่มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน “ข้าเป็นเพียงผู้เดียวที่จะต้องอภิเษกสมรสกับโยวอ๋อง หากเกิดเรื่องที่เกินความคาดหมายขึ้นกับข้าจนทำให้ไม่สามารถอภิเษกได้ ท่านแม่บอกข้าสิว่าเพื่อเป็นการรักษาเกียรติของสกุลซูและสกุลเทียน ฝ่าบาทจะทรงเลือกผู้ใดอภิเษกสมรสกับโยวอ๋องต่อจากข้ากันเล่า”
หากไม่มีว่าที่พระชายาคนใหม่ โยวอ๋องต้องโกรธมากเป็นแน่ เพื่อที่จะทำให้ความโกธรของโยวอ๋องสงบลงและเพื่อเป็นค่าไถ่โทษ ความเป็นไปได้มากที่สุดก็จะต้องเป็นซูเซียนฮุ่ยที่ดีกว่าซูจิ่นซีถึงร้อยเท่า
ซูเซียนฮุ่ยต้องการอภิเษกสมรสกับไท่จื่อเพื่อที่นางจะได้เป็นพระชายาขององค์รัชทายาทในอนาคต ยิ่งกว่านั้นในภายภาคหน้า นางก็อยากจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินเหนือผู้ใด นางจะแต่งงานกับโยวอ๋องได้อย่างไร นั่นมันปีศาจชัดๆ เช่นนั้นก็เหมือนกับเอาชีวิตไปตายเปล่า
ฮั่วซื่อไม่หลงเหลือความอ่อนโยนอย่างที่ทำมาก่อนหน้านี้ นางกัดฟันพูด “ซูจิ่นซี เจ้าต้องการจะทำสิ่งใด? ”
ซูจิ่นซีเหลือบมองไปที่ฮั่วซื่ออย่างดูถูก ราวกับว่านางกำลังดูละครลิง จากนั้นจึงหันหลังและเดินเข้าไปในห้องโถง “ให้ผู้ตายเฉลยว่าใครเป็นฆาตกร อย่าให้ฆาตกรตัวจริงหลบหนีไปได้ และที่สำคัญ จงเปิดเผยความจริงทุกอย่างให้สิ้น! “
ฮั่วซื่อมองตามแผ่นหลังที่อวดดีของซูจิ่นซีอย่างสงบ ทว่าในใจยังคงต่อว่าด่าทอหญิงชั่วอย่างไม่หยุดยั้ง แทบอยากจะบีบคอซูจิ่นซีให้ตายคามือไปเสีย
ทว่านางก็ไม่อาจทำได้
หากซูจิ่นซีตาย บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของนางก็จะต้องแต่งงานกับโยวอ๋องแทนที่ซูจิ่นซี
ตราบใดที่นางยังมีลมหายใจ เหตุการณ์นั้นจะต้องไม่เกิดขึ้น!
ซูจิ่นซี… นางต้องการจะกระทำสิ่งใด?
แท้จริงใช่สตรีผู้โง่เขลาที่ริอ่านคิดกล้าขัดอาญาสวรรค์จริงหรือไม่?
ผู้คนส่วนใหญ่กลับเข้าประจำตำแหน่งเดิม แม้ว่าบางคนจะยังไม่หายจากอาการตกใจเรื่องข่าวการอภิเษกสมรสของซูจิ่นซีกับโยวอ๋อง หรือบางคนที่หวาดกลัวตัวตนของฮั่วซื่อทว่าก็ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด และบางคนก็ยังคงจดจ่อกับภาพตรงหน้าทั้งหมดอย่างไม่อยากมีส่วนร่วมเสียเลย
อย่างไรก็ตามในเวลาเช่นนี้ ตัวละครหลักของฉากก็ยังคงเป็น ซูจิ่นซี ฮั่วซื่อ ซูจ้ง ซูเซียนฮุ่ยและฮั่วอวี้ที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นนั่น
ซูเซียนฮุ่ยรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย “ซูจิ่นซี เจ้าต้องการจะกระทำสิ่งใดกันแน่? ”
ซูจิ่นซีระบายยิ้มเบาๆ โดยไม่สนใจซูเซียนฮุ่ย
เมื่อนางเดินไปข้างๆ ศพของฮั่วอวี้แล้วยกไป๋เหลียน [1] ที่คลุมร่างของฮั่วอวี้ออก นางก็จัดการโกยหญ้าที่เหนียวหนืดออกจากพื้นรองเท้าของฮั่วอวี้แล้ววางไว้บนผ้าแพรเพื่อให้ทุกคนได้เห็น
“ทุกคนเห็นชัดเจนแล้วใช่หรือไม่ว่า นี่คือหญ้าหวู่จูที่ข้าโกยมาจากพื้นรองเท้าของฮั่วอวี้ หญ้าชนิดนี้มักเติบโตในที่มืดและอับชื้น สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการเติบโตของหญ้าชนิดนี้มีเพียงในสวนดอกบัวของข้าเท่านั้น ฮั่วอวี้ถูกนำร่างขึ้นมาจากสระบัวในสวนดอกบัวของข้า
“นังเด็กโง่ นี่เจ้ากำลังจะอธิบายอันใดของเจ้าอีก? เช่นนี้แล้ว การตายของท่านชายฮั่วไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้าได้อย่างไรกันเล่า ในเมื่อหลักฐานคาตาเสียขนาดนี้”
อนุซุนหัวเราะเยาะด้วยท่าทางเย้ยหยัน เตรียมที่จะดูถูกถากถางเต็มที่
ซูจิ่นซีไม่ได้ใส่ใจคนอย่างอนุซุนและไม่เคยคิดจะใส่ใจคนอย่างนางด้วยซ้ำ
ซูจิ่นซียิ้มหลังจากได้แสดงสิ่งที่อยู่ในมือของตนให้ผู้คนได้ดู นางถอดรองเท้าของตนเอง แล้วส่งให้แม่นมจาง
“นำไปให้ทุกคนดูสิ”
แม้ว่าแม่นมจางจะเป็นคนของฮั่วซื่อ ทว่านางก็ไม่กล้าอาจเอื้อมนิ่งเฉยต่อหน้าซูจิ่นซี นางทำได้เพียงนำรองเท้าของซูจิ่นซีหงายขึ้นให้ทุกคนได้ดู
“ทุกคนเห็นชัดเจนแล้วหรือไม่ว่า รองเท้าของข้าสะอาดสะอ้าน ไม่มีโคลนดินเหนียวติดเปื้อนเช่นเดียวกับพื้นรองเท้าของฮั่วอวี้ ที่สำคัญคือไม่มีหญ้าหวู่จู ท่านพี่พูดว่าฮั่วอวี้จมน้ำตายเพราะข้าผลักลงสระบัว ฉะนั้นข้าจะผลักเขาลงไปได้อย่างไร ในเมื่อข้าเองไม่ได้เข้าใกล้สระบัวแม้แต่น้อย หากท่านพี่หญิงใหญ่ทราบก็โปรดชี้แนะข้าด้วย”
ซูจิ่นซีตวัดมองซูเซียนฮุ่ยอย่างอาฆาต
เมื่อต้องเผชิญกับสายตาเฉียบแหลมของซูจิ่นซีที่ราวกับกำลังบีบบังคับให้นางตอบ เมื่อนั้นภายในใจของซูเซียนฮุ่ยก็รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้น ซูเซียนฮุ่ยก็เชิดหน้ายืดอกขึ้นและพูดอย่างมั่นใจว่า “เจ้ากำลังบังคับให้ข้าทำสิ่งใด? ไม่ใช่ว่าข้าที่เป็นผู้พบเห็นเจ้าผลักท่านพี่ฮั่ว ทว่าเป็นชิงเหมย บ่าวรับใช้ของเจ้า นางเห็นกับตาของนางเองว่าเจ้าเป็นคนผลักท่านพี่ฮั่วลงไปในน้ำ จึงนำข่าวมาบอกแก่ข้า”
ซูจิ่นซียิ้มอย่างเย็นชา ทว่าไม่ได้เอ่ยเรียกชิงเหมยให้มาหา “ในเมื่อชิงเหมยของเรือนข้าเห็นแล้ว ทำไมไม่แจ้งให้ท่านพ่อและท่านแม่ทราบ เหตุใดนางจึงไปหาเจ้า เรื่องนี่มันช่างน่าประหลาดเสียจริง”
หูตาที่คอยสอดแนมอย่างลับๆ และการทรยศคือสิ่งที่มีให้เห็นแทบจะทุกวันภายในจวนแห่งนี้ ผู้คนต่างทราบดี ทว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอธิบายได้ในสถานการณ์เช่นนี้ และพวกเขาก็เลือกที่จะไม่พูด
ทว่าฮั่วซื่อดูเหมือนจะมีความรู้สึกแตกต่างออกไป นางมองไปที่ซูเซียนฮุ่ยด้วยสายตาที่ซับซ้อน
เมื่อซูเซียนฮุ่ยรู้สึกว่ามารดาของตนจ้องมองมาก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจมากขึ้น ทว่าก็พยายามปิดบังเอาไว้อย่างดีไม่เปิดเผยให้ผู้ใดเห็น ซูเซียนฮุ่ยหันกลับมามองอนุซุนแห่งสกุลซูอย่างใจเย็น
อนุซุนเองทราบเรื่องนี้ดีจึงคิดเบี่ยงเบนความสนใจของฮั่วซื่อและทุกคนไปที่ซูจิ่นซี
“นังเด็กโง่เง่า แม้จะพิสูจน์ได้ว่าพื้นรองเท้าของเจ้าไม่มีโคลนและหญ้าหวู่จูข้างสระบัวของเจ้าแล้วอย่างไร? ในเมื่อท่านชายฮั่วตายในเรือนของเจ้า อย่างไรเจ้าก็ปัดความรับผิดชอบไม่ได้ และเมื่อเจ้าปัดความรับผิดชอบไม่ได้ เจ้าก็คือผู้ต้องสงสัย”
เรื่องราวมาถึงขนาดนี้แล้ว ทว่าฆาตกรใจบาปเมื่อไม่จนตรอกก็ไม่มีทางยอมรับ!
“ท่านป้าซุนกังวลเรื่องใดอยู่หรือไม่ ข้าเคยบอกแล้วว่าหากท่านต้องการให้ความจริงถูกเปิดโปงจนสิ้น ก็ไม่ควรปล่อยให้ฆาตกรตัวจริงลอยนวลได้อย่างอิสระ และจิ่นซีผู้นี้ก็จะเป็นคนกระชากหน้ากากฆาตกรตัวจริงออกมาอย่างไรเล่า! ”
หลังจากที่ซูจิ่นซีพูดจบ สายตาของนางก็กวาดมองไปที่เท้าของทุกคน
เมื่อทุกคนถูกซูจิ่นซีดูรองเท้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน ต่างก็กลัวว่าตนจะถูกชี้ว่าเป็นฆาตกร ทั้งกระวนกระวายใจทั้งขี้ขลาด หนึ่งในนั้นก็ยังมีผู้ที่รู้สึกละอายใจต่อความชอบธรรมเรื่องนี้ และใจกว้างมากอย่างซูเมิ่งเหยารวมอยู่ด้วย
ก่อนที่ซูจิ่นซีจะมองไปที่เท้าของซูเมิ่งเหยา ซูเมิ่งเหยาก็ถอดรองเท้าและหงายให้ผู้คนได้ดูอย่างเปิดเผย ทุกคนจึงได้เห็นว่าพื้นรองเท้าของนางนั้นสะอาดสะอ้าน แม้ฝุ่นสักนิดก็ไม่มี
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ซูจิ่นซียิ่งตระหนักได้ว่าซูเมิ่งเหยาไม่ใช่คนธรรมดา
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีสามารถสรุปได้ว่า ฮั่วอวี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับซูเมิ่งเหยา วิธีการที่โง่เขลาเช่นนี้ ไม่มีทางที่คนที่ไม่ธรรมดาอย่างซูเมิ่งเหยาจะเป็นผู้ลงมือกระทำแน่!
ในความเป็นจริงซูจิ่นซีก็ไม่อาจทราบได้ว่าใครคือฆาตกรตัวจริง นางสามารถตัดสินจากประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ในช่วงศตวรรษที่ 21 ก็เท่านั้น
สายตาของซูจิ่นซีมองไปที่เท้าของอนุซุน นางส่งเสียง “หึ” ด้วยความไม่พอใจแล้วรีบหันหน้าหนีสายตาของซูจิ่นซี แววตาดูถูกเหยียดหยาม ทว่าไม่มีความร้อนรนหรือขี้ขลาด
ฮั่วซื่อโกรธมาก
แม้ว่าซูเซียนฮุ่ยไม่ได้ถอดรองเท้าเหมือนซูเมิ่งเหยา ทว่านางก็ไม่มีทีท่าหวาดหวั่นต่อสิ่งใด
สีหน้าของคนอื่นๆ ต่างประหลาดใจ
ซูจิ่นซีไม่เพียงแต่มองเท่านั้น ทว่ายังชี้นิ้วไล่ข้ามทุกๆ คน ในที่สุดก็หยุดอยู่ที่คนผู้หนึ่ง…