สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 9 ไม่อยากเป็นชายารอง

        ซูเมิ่งเหยาใบหน้าซีดเซียว ในมือกำเข็มขัดหยกไว้แน่น เร่งเดินตรงไปข้างหน้าอย่างฉับไว

        เข็มขัดหยกเส้นนี้นางเก็บได้ที่ใต้สวนต้นเหมยหลังจวน

        ก่อนที่จะเจอเข็มขัดหยกเส้นนี้ นางเห็นเยี่ยโยวเหยาที่ราวกับเทพบุตรเดินออกมาจากใต้ต้นดอกเหมย ทว่าเมื่อนางมาถึงก็สายไปเสียแล้ว ซูเมิ่งเหยาไม่ทันเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้และไม่ทันเห็นซูจิ่นซีที่ปรากฏตัวขึ้นมาก่อนหน้าเยี่ยโยวเหยาเช่นกัน

        เวลานั้นโยวอ๋องดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดีเท่าไรนัก ที่ผ่านมาซูเมิ่งเหยาแอบชอบเยี่ยโยวเหยามาโดยตลอด ทว่าก็ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้ ในครั้งนี้ก็เช่นกัน นางทำเพียงแค่รอให้เยี่ยโยวเหยาจากไปก่อน จึงได้เก็บเข็มขัดหยกเส้นนี้ไว้กับตน

        ทว่าซูเมิ่งเหยานึกอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่า วันนั้นที่สวนหลังบ้านของจวนสกุลซูจะเกิดเรื่องบัดสีเช่นนั้นขึ้น ซูจิ่นซีเจ้าเด็กบ้า คาดไม่ถึงว่านางจะทำอย่างนั้นกับผู้ที่ตนปักใจรักอย่างฝ่าบาทโยวอ๋อง…

        ซูเมิ่งเหยายากที่จะทำใจรับได้เหลือเกินว่าเยี่ยโยวเหยาผู้ซึ่งสูงส่งแม้แต่เทพเจ้าก็ไม่อาจต้านทานผู้นั้น จะตกลงปลงใจแนบชิดกับเด็กโง่ซูจิ่นซี ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นในสวนหลังจวนอีกด้วย ช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายยิ่งนัก

        เมื่อนึกถึงยามที่เยี่ยโยวเหยาผู้สูงส่งและซูจิ่นซีคนต่ำช้าอิงแอบแนบชิดกันแล้ว ซูเมิ่งเหยาก็เกือบจะคลุ้มคลั่งด้วยความหึงหวงและแทบอยากจะระเบิดโทษะออกมา

        ซูจิ่นซี เจ้ามีสิทธิอันใด?

        มีสิทธิอันใดกัน?

        ซูเมิ่งเหยาที่กำลังอยู่ในวังวนของความโกรธ ไม่ทันสังเกตว่าตรงทางเดินกำลังมีคนเดินมาจึงชนเข้าอย่างจัง

        “เจ้าเด็กนี่ รีบเดินอะไรเพียงนั้น เจ้าจะรีบไปเกิดใหม่หรืออย่างไร? ”

        เดิมทีฮั่วซื่อที่ไม่ได้อารมณ์ดีมากนักเพราะเรื่องของซูเซียนฮุย และยังมาถูกซูเมิ่งเหยาชนเข้าอีกจึงทำให้นางยิ่งโกรธมากขึ้น

        ซูเมิ่งเหยารีบหยิบเข็มขัดหยกอันเป็นที่รักที่หล่นลงบนพื้นขึ้นมาซ่อนไว้ด้านหลังตน ดวงตาที่คับข้องใจของนางเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจ

        “ท่านแม่ เมิ่งเหยา… เมิ่งเหยาไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ! ”

        แม้ว่าซูเมิ่งเหยาจะรีบเก็บซ่อนสีหน้าที่ผิดปกตินั้น ทว่าก็ยังถูกฮั่วซื่อเห็นเข้าอยู่ดี

        เพียงมองเข็มขัดหยกเส้นนั้นที่มีตัวอักษรท่านอ๋องแล้ว ฮั่วซื่อก็ทราบได้ทันทีว่าต้องเป็นของท่านอ๋องเยี่ยโยวเหยาอย่างแน่นอน ตอนนี้ในจงหนิง นอกเสียจากโยวอ๋องที่จะใช้ตัวอักษรนี้แล้ว ล้วนไม่มีผู้ใดที่สามารถใช้ได้

        แม้ฮั่วซื่อจะพึ่งผ่านมา ทว่าชั่วพริบตาเดียวนางก็เข้าใจความรู้สึกของซูเมิ่งเหยาได้ทันที

        พอนึกถึงซูจิ่นซีที่ก่อนหน้านี้ทำท่าทางอวดดีแบบนั้น ฮั่วซื่อหยุดคิดเพียงครู่แล้วจึงดึงมือของซูเมิ่งเหยาขึ้นมากุมไว้

        “สาวน้อยผู้น่าสงสารของข้า แม้สกุลซูของพวกเราจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับผู้คนในวังหลวง แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่อาจเอื้อมถึงลูกหลานของฮ่องเต้ แม้แต่นังโง่ซูจิ่นซียังตะเกียกตะกายขึ้นไปได้สมใจ แล้วบุตรสาวของข้าที่เกิดมามีใบหน้างดงามเช่นเจ้า จะพูดได้อย่างไรว่าเจ้าไม่เหมาะสมกับโยวอ๋องและสู้นังโง่ซูจิ่นซีนั่นไม่ได้ เพียงแต่ว่าน่าเสียดายที่… ”

        ฮั่วซื่อกล่าวพร้อมกับลูบมือของซูเมิ่งเหยาอย่างนุ่มนวล

        ซูเมิ่งเหยาจมอยู่กับความเศร้าของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นสตรีที่ฉลาดเพียงใด เมื่อเจอเรื่องเช่นนี้ก็ต้องสับสนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นนางจึงไม่มีสติหลงเหลือในการระมัดระวังตนเองจากฮั่วซื่อ

        น้ำตาของซูเมิ่งเหยาไหลลงมาอย่างควบคุมไม่ได้ “ท่านพูดในเวลานี้ จะมีอะไรดีขึ้นมา? ซูจิ่นซีกับโยวอ๋องเป็นสามีภรรยากันทางพฤตินัยแล้ว ข้าแต่งเข้าไปอีกคนก็เป็นได้เพียงพระชายารองกระนั้นสิ”

        ฮั่วซื่อจับประเด็นสำคัญในคำพูดของซูเมิ่งเหยาได้ก็ตกใจทันที “เจ้าพูดว่า… ซูจิ่นซีคนโง่เง่านั่นกับโยวอ๋องเป็นสามีภรรยากันทางพฤตินัยหรือ? ”

        จู่ๆ ซูเมิ่งเหยาก็รู้สึกพลาดที่เอ่ยวาจาออกไปเช่นนั้น นางรีบเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าแล้วหันหลังก้าวเดินไปยังเรือนของตนเอง “ท่านแม่ ท่านหูฝาดแล้ว ข้าไม่ได้พูดอันใดทั้งนั้น! ”

        คิดว่าคนอย่างฮั่วซื่อโง่นักหรือ?

        คำโกหกของซูเมิ่งเหยาจะสามารถหลอกฮั่วซื่อได้อย่างไรกัน?

        ฮั่วซื่อมองแผ่นหลังของซูเมิ่งเหยาที่หนีไปอย่างรีบร้อน อารมณ์ที่แสดงออกมาสลับซับซ้อน

        ก่อนหน้านี้ซูจิ่นซีพูดไว้ว่า หลังจากที่นางถูกยาสลบของซูเซียนฮุ่ยจนหลับไป ได้มีบุคคลสูงศักดิ์มาช่วยไว้

        หรือว่าผู้นั้นจะเป็นโยวอ๋อง?

        ทว่านี้มันไม่สมเหตุสมผลเลยนี่?

        โยวอ๋องที่ผู้คนต่างนับถือผู้นั้น จะมาสนใจมองคนโง่อย่างซูจิ่นซีด้วยเหตุอันใด? แล้วยังจะมาทำเรื่องแบบนั้นกับคนเช่นซูจิ่นซี…

        เมื่อนึกถึงภาพลักษณ์ที่ดูโง่เขลา ไร้เดียงสา และใบหน้าอันอัปลักษณ์ของซูจิ่นซี ฮั่วซื่อก็รู้สึกสะอิดสะเอียนและยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าเยี่ยโยวเหยาจะต้องไม่มีทางสนใจเจ้าซูจิ่นซีผู้นี้เป็นแน่

        ทว่าจู่ๆ ฮั่วซื่อก็นึกบางอย่างออก

        หรือว่าโยวอ๋องจะมาเพราะหยกกิเลน

        แม้ว่านางจะไม่แน่ใจว่าปีนั้นเกิดเหตุร้ายแรงอันใดขึ้น ทว่าฮั่วซื่อผู้นี้ก็พอจะทราบว่าหยกกิเลนมีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับเจ้าโง่ซูจิ่นซี

        ฮั่วซื่อเหลือบมองไปยังทิศทางที่ซูเมิ่งเหยาวิ่งหนีไป หากมันเกี่ยวข้องกับหยกกิเลนจริงๆ เช่นนั้นก่อนหน้านี้เรื่องราวของเจ้าโง่ซูจิ่นซีกับโยวอ๋องก็เริ่มจะมีเหตุผลที่ชัดเจนขึ้นมาบ้างแล้ว

        เดิมที ฮั่วซื่อคิดว่าซูจิ่นซีอวดดียิ่งขึ้น มีความสามารถยิ่งขึ้น แต่งเข้าไปในจวนโยวอ๋องก็เหมือนกับก้าวเข้าไปหานรก นางคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่วัน ทว่าคาดไม่ถึงว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะมีต้นสายปลายเหตุที่เกี่ยวข้องกันมากมาย

        หากโยวอ๋องปล่อยให้ซูจิ่นซีมีชีวิตที่สุขสบายอยู่ภายในจวน เหตุผลก็เพื่อตามหาหยกกิเลนแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นหากซูจิ่นซีคิดจะใช้ฐานะพระชายาของโยวอ๋องกลับมาที่จวนสกุลซูอย่างหน้าชื่นตาบาน ชีวิตที่สุขสบายของนางสองคนแม่ลูกเล่าจะยังมีใดอย่างไร?

        เมื่อนึกมาถึงตอนนี้ แววตาอาฆาตของฮั่วซื่อก็เปล่งประกายขึ้นมา

        ซูจิ่นซี นังโง่นั่น ต้องไม่ได้แต่งเข้าไปในจวนของโยวอ๋องเป็นอันขาด…

        ในเวลานี้ ซูจิ่นซีไม่รับรู้ถึงเรื่องที่ฮั่วซื่อและซูเมิ่งเหยากำลังคิดสักนิด  นางสงบใจเป็นอย่างมากเพราะกำลังเสาะหายาตัวสุดท้าย นั่นก็คือไป๋ลู่เฉ่า เพื่อนำมารักษารอยพิษบนใบหน้าของตนเอง

        ลวี่หลีเห็นซูจิ่นซีขมวดคิ้วทั้งวัน พานทำให้นางขมวดคิ้วตามไปด้วย นางเอ่ยถามซูจิ่นซีว่า  “คุณหนู ท่านมีอะไรในใจหรือไม่เจ้าคะ? ลองพูดออกมาเถิดเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะได้ช่วยคุณหนูคิดอีกแรงนะเจ้าคะ”

        ซูจิ่นซียิ้มมุมปากเบาๆ “เจ้าเด็กโง่ หยุดล้อเล่นได้แล้ว เจ้าจะช่วยอะไรข้าได้เล่า? ”

        ใบหน้าของลวี่หลีเต็มไปด้วยความสงสัย “ทำไมจะช่วยไม่ได้เล่าเจ้าคะ? แม้ว่าข้าน้อยจะไม่ทราบว่าคุณหนูกลุ้มใจเรื่องอันใด ทว่าข้าน้อยทราบว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องรอยพิษบนใบหน้าของคุณหนูเป็นแน่! ”

        ซูจิ่นซีประหลาดใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าสาวใช้ผู้นี้ก็มีความคิดไม่น้อยเลย

        ลวี่หลีเมื่อเห็นการแสดงออกของซูจิ่นซีก็รู้แล้วว่าตนเองเดาถูก ลวี่หลียกยิ้มอย่างดีใจแล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้คุณหนูกับอนุซุนคุยกันเรื่องจะช่วยคุณหนูรักษาพิษ แล้วคุณหนูก็ได้ยาตงเออเออเจียวมาจากอนุซุนอีกด้วย ทว่าท่านยังคงขมวดคิ้ว จะต้องมียาบางอย่างขาดไปใช่หรือไม่เจ้าคะ? ”

        ซูจิ่นซีมองสาวใช้ผู้นี้แตกต่างออกไปในทันที

        “ไม่เลว ไม่ใช่คนโง่นี่ ถือว่าใช้ได้”

        “เช่นนั้นคุณหนูจะยอมเชื่อใจข้าน้อยหรือไม่? ”

        ซูจิ่นซีครุ่นคิดสักพัก นางกระดิกนิ้วชี้เพื่อบอกใบ้ให้ลวี่หลีเข้ามาใกล้ๆ

        ลวี่หลีเดินเข้ามาที่ข้างตัวซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซีกระซิบถามว่า “เจ้ารู้จักไป๋ลู่เฉ่าหรือไม่? ”

        ลวี่หลีมองไปที่ซูจิ่นซีอย่างแปลกใจ “คุณหนู เจ้าพิษนั่นจำเป็นต้องใช้ไป๋ลู่เฉ่าหรือเจ้าคะ? ”

        สกุลซูสมกับเป็นตระกูลหมอที่เก่งกาจที่สุดจริงๆ ขนาดลวี่หลีข้ารับใช้ฐานะเล็กๆ ยังรู้ว่าไป๋ลู่เฉ่าคือยาที่หายาก ไม่แปลกใจที่เจ้าของร่างคนเดิมผู้ซึ่งไม่รู้อะไรเกี่ยวกับยาจะถูกวิจารณ์ว่าเป็นขยะของตระกูลแพทย์

        ซูจิ่นซีพยักหน้า

        ลวี่หลีตอบกลับอย่างมั่นใจมากว่า “แม้จะพูดว่าเจ้ายาไป๋ลู่เฉ่านี้หายากมาก ทว่าในจวนของพวกเรามีอยู่ต้นหนึ่ง มันถูกปลูกไว้ที่ลานของเรือนคุณหนูซูเมิ่งเหยาเจ้าค่ะ”

        อยู่ที่ซูเมิ่งเหยาหรือ?

        เมื่อนึกถึงลางสังหรณ์ที่ซูจิ่นซีมีต่อซูเมิ่งเหยาแล้ว ซูจิ่นซีก็ทราบได้ทันทีว่า การที่จะไปเอายาไป๋ลู่เฉ่ามาจากซูเมิ่งเหยานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

        ไม่แน่ว่าพิษที่แปลกประหลาดในตัวของนางนี้ อาจเกี่ยวข้องกับซูเมิ่งเหยาก็เป็นได้

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset