ซูเมิ่งเหยาใบหน้าซีดเซียว ในมือกำเข็มขัดหยกไว้แน่น เร่งเดินตรงไปข้างหน้าอย่างฉับไว
เข็มขัดหยกเส้นนี้นางเก็บได้ที่ใต้สวนต้นเหมยหลังจวน
ก่อนที่จะเจอเข็มขัดหยกเส้นนี้ นางเห็นเยี่ยโยวเหยาที่ราวกับเทพบุตรเดินออกมาจากใต้ต้นดอกเหมย ทว่าเมื่อนางมาถึงก็สายไปเสียแล้ว ซูเมิ่งเหยาไม่ทันเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้และไม่ทันเห็นซูจิ่นซีที่ปรากฏตัวขึ้นมาก่อนหน้าเยี่ยโยวเหยาเช่นกัน
เวลานั้นโยวอ๋องดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดีเท่าไรนัก ที่ผ่านมาซูเมิ่งเหยาแอบชอบเยี่ยโยวเหยามาโดยตลอด ทว่าก็ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้ ในครั้งนี้ก็เช่นกัน นางทำเพียงแค่รอให้เยี่ยโยวเหยาจากไปก่อน จึงได้เก็บเข็มขัดหยกเส้นนี้ไว้กับตน
ทว่าซูเมิ่งเหยานึกอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่า วันนั้นที่สวนหลังบ้านของจวนสกุลซูจะเกิดเรื่องบัดสีเช่นนั้นขึ้น ซูจิ่นซีเจ้าเด็กบ้า คาดไม่ถึงว่านางจะทำอย่างนั้นกับผู้ที่ตนปักใจรักอย่างฝ่าบาทโยวอ๋อง…
ซูเมิ่งเหยายากที่จะทำใจรับได้เหลือเกินว่าเยี่ยโยวเหยาผู้ซึ่งสูงส่งแม้แต่เทพเจ้าก็ไม่อาจต้านทานผู้นั้น จะตกลงปลงใจแนบชิดกับเด็กโง่ซูจิ่นซี ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นในสวนหลังจวนอีกด้วย ช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายยิ่งนัก
เมื่อนึกถึงยามที่เยี่ยโยวเหยาผู้สูงส่งและซูจิ่นซีคนต่ำช้าอิงแอบแนบชิดกันแล้ว ซูเมิ่งเหยาก็เกือบจะคลุ้มคลั่งด้วยความหึงหวงและแทบอยากจะระเบิดโทษะออกมา
ซูจิ่นซี เจ้ามีสิทธิอันใด?
มีสิทธิอันใดกัน?
ซูเมิ่งเหยาที่กำลังอยู่ในวังวนของความโกรธ ไม่ทันสังเกตว่าตรงทางเดินกำลังมีคนเดินมาจึงชนเข้าอย่างจัง
“เจ้าเด็กนี่ รีบเดินอะไรเพียงนั้น เจ้าจะรีบไปเกิดใหม่หรืออย่างไร? ”
เดิมทีฮั่วซื่อที่ไม่ได้อารมณ์ดีมากนักเพราะเรื่องของซูเซียนฮุย และยังมาถูกซูเมิ่งเหยาชนเข้าอีกจึงทำให้นางยิ่งโกรธมากขึ้น
ซูเมิ่งเหยารีบหยิบเข็มขัดหยกอันเป็นที่รักที่หล่นลงบนพื้นขึ้นมาซ่อนไว้ด้านหลังตน ดวงตาที่คับข้องใจของนางเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจ
“ท่านแม่ เมิ่งเหยา… เมิ่งเหยาไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ! ”
แม้ว่าซูเมิ่งเหยาจะรีบเก็บซ่อนสีหน้าที่ผิดปกตินั้น ทว่าก็ยังถูกฮั่วซื่อเห็นเข้าอยู่ดี
เพียงมองเข็มขัดหยกเส้นนั้นที่มีตัวอักษรท่านอ๋องแล้ว ฮั่วซื่อก็ทราบได้ทันทีว่าต้องเป็นของท่านอ๋องเยี่ยโยวเหยาอย่างแน่นอน ตอนนี้ในจงหนิง นอกเสียจากโยวอ๋องที่จะใช้ตัวอักษรนี้แล้ว ล้วนไม่มีผู้ใดที่สามารถใช้ได้
แม้ฮั่วซื่อจะพึ่งผ่านมา ทว่าชั่วพริบตาเดียวนางก็เข้าใจความรู้สึกของซูเมิ่งเหยาได้ทันที
พอนึกถึงซูจิ่นซีที่ก่อนหน้านี้ทำท่าทางอวดดีแบบนั้น ฮั่วซื่อหยุดคิดเพียงครู่แล้วจึงดึงมือของซูเมิ่งเหยาขึ้นมากุมไว้
“สาวน้อยผู้น่าสงสารของข้า แม้สกุลซูของพวกเราจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับผู้คนในวังหลวง แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่อาจเอื้อมถึงลูกหลานของฮ่องเต้ แม้แต่นังโง่ซูจิ่นซียังตะเกียกตะกายขึ้นไปได้สมใจ แล้วบุตรสาวของข้าที่เกิดมามีใบหน้างดงามเช่นเจ้า จะพูดได้อย่างไรว่าเจ้าไม่เหมาะสมกับโยวอ๋องและสู้นังโง่ซูจิ่นซีนั่นไม่ได้ เพียงแต่ว่าน่าเสียดายที่… ”
ฮั่วซื่อกล่าวพร้อมกับลูบมือของซูเมิ่งเหยาอย่างนุ่มนวล
ซูเมิ่งเหยาจมอยู่กับความเศร้าของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นสตรีที่ฉลาดเพียงใด เมื่อเจอเรื่องเช่นนี้ก็ต้องสับสนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นนางจึงไม่มีสติหลงเหลือในการระมัดระวังตนเองจากฮั่วซื่อ
น้ำตาของซูเมิ่งเหยาไหลลงมาอย่างควบคุมไม่ได้ “ท่านพูดในเวลานี้ จะมีอะไรดีขึ้นมา? ซูจิ่นซีกับโยวอ๋องเป็นสามีภรรยากันทางพฤตินัยแล้ว ข้าแต่งเข้าไปอีกคนก็เป็นได้เพียงพระชายารองกระนั้นสิ”
ฮั่วซื่อจับประเด็นสำคัญในคำพูดของซูเมิ่งเหยาได้ก็ตกใจทันที “เจ้าพูดว่า… ซูจิ่นซีคนโง่เง่านั่นกับโยวอ๋องเป็นสามีภรรยากันทางพฤตินัยหรือ? ”
จู่ๆ ซูเมิ่งเหยาก็รู้สึกพลาดที่เอ่ยวาจาออกไปเช่นนั้น นางรีบเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าแล้วหันหลังก้าวเดินไปยังเรือนของตนเอง “ท่านแม่ ท่านหูฝาดแล้ว ข้าไม่ได้พูดอันใดทั้งนั้น! ”
คิดว่าคนอย่างฮั่วซื่อโง่นักหรือ?
คำโกหกของซูเมิ่งเหยาจะสามารถหลอกฮั่วซื่อได้อย่างไรกัน?
ฮั่วซื่อมองแผ่นหลังของซูเมิ่งเหยาที่หนีไปอย่างรีบร้อน อารมณ์ที่แสดงออกมาสลับซับซ้อน
ก่อนหน้านี้ซูจิ่นซีพูดไว้ว่า หลังจากที่นางถูกยาสลบของซูเซียนฮุ่ยจนหลับไป ได้มีบุคคลสูงศักดิ์มาช่วยไว้
หรือว่าผู้นั้นจะเป็นโยวอ๋อง?
ทว่านี้มันไม่สมเหตุสมผลเลยนี่?
โยวอ๋องที่ผู้คนต่างนับถือผู้นั้น จะมาสนใจมองคนโง่อย่างซูจิ่นซีด้วยเหตุอันใด? แล้วยังจะมาทำเรื่องแบบนั้นกับคนเช่นซูจิ่นซี…
เมื่อนึกถึงภาพลักษณ์ที่ดูโง่เขลา ไร้เดียงสา และใบหน้าอันอัปลักษณ์ของซูจิ่นซี ฮั่วซื่อก็รู้สึกสะอิดสะเอียนและยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าเยี่ยโยวเหยาจะต้องไม่มีทางสนใจเจ้าซูจิ่นซีผู้นี้เป็นแน่
ทว่าจู่ๆ ฮั่วซื่อก็นึกบางอย่างออก
หรือว่าโยวอ๋องจะมาเพราะหยกกิเลน
แม้ว่านางจะไม่แน่ใจว่าปีนั้นเกิดเหตุร้ายแรงอันใดขึ้น ทว่าฮั่วซื่อผู้นี้ก็พอจะทราบว่าหยกกิเลนมีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับเจ้าโง่ซูจิ่นซี
ฮั่วซื่อเหลือบมองไปยังทิศทางที่ซูเมิ่งเหยาวิ่งหนีไป หากมันเกี่ยวข้องกับหยกกิเลนจริงๆ เช่นนั้นก่อนหน้านี้เรื่องราวของเจ้าโง่ซูจิ่นซีกับโยวอ๋องก็เริ่มจะมีเหตุผลที่ชัดเจนขึ้นมาบ้างแล้ว
เดิมที ฮั่วซื่อคิดว่าซูจิ่นซีอวดดียิ่งขึ้น มีความสามารถยิ่งขึ้น แต่งเข้าไปในจวนโยวอ๋องก็เหมือนกับก้าวเข้าไปหานรก นางคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่วัน ทว่าคาดไม่ถึงว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะมีต้นสายปลายเหตุที่เกี่ยวข้องกันมากมาย
หากโยวอ๋องปล่อยให้ซูจิ่นซีมีชีวิตที่สุขสบายอยู่ภายในจวน เหตุผลก็เพื่อตามหาหยกกิเลนแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นหากซูจิ่นซีคิดจะใช้ฐานะพระชายาของโยวอ๋องกลับมาที่จวนสกุลซูอย่างหน้าชื่นตาบาน ชีวิตที่สุขสบายของนางสองคนแม่ลูกเล่าจะยังมีใดอย่างไร?
เมื่อนึกมาถึงตอนนี้ แววตาอาฆาตของฮั่วซื่อก็เปล่งประกายขึ้นมา
ซูจิ่นซี นังโง่นั่น ต้องไม่ได้แต่งเข้าไปในจวนของโยวอ๋องเป็นอันขาด…
ในเวลานี้ ซูจิ่นซีไม่รับรู้ถึงเรื่องที่ฮั่วซื่อและซูเมิ่งเหยากำลังคิดสักนิด นางสงบใจเป็นอย่างมากเพราะกำลังเสาะหายาตัวสุดท้าย นั่นก็คือไป๋ลู่เฉ่า เพื่อนำมารักษารอยพิษบนใบหน้าของตนเอง
ลวี่หลีเห็นซูจิ่นซีขมวดคิ้วทั้งวัน พานทำให้นางขมวดคิ้วตามไปด้วย นางเอ่ยถามซูจิ่นซีว่า “คุณหนู ท่านมีอะไรในใจหรือไม่เจ้าคะ? ลองพูดออกมาเถิดเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะได้ช่วยคุณหนูคิดอีกแรงนะเจ้าคะ”
ซูจิ่นซียิ้มมุมปากเบาๆ “เจ้าเด็กโง่ หยุดล้อเล่นได้แล้ว เจ้าจะช่วยอะไรข้าได้เล่า? ”
ใบหน้าของลวี่หลีเต็มไปด้วยความสงสัย “ทำไมจะช่วยไม่ได้เล่าเจ้าคะ? แม้ว่าข้าน้อยจะไม่ทราบว่าคุณหนูกลุ้มใจเรื่องอันใด ทว่าข้าน้อยทราบว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องรอยพิษบนใบหน้าของคุณหนูเป็นแน่! ”
ซูจิ่นซีประหลาดใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าสาวใช้ผู้นี้ก็มีความคิดไม่น้อยเลย
ลวี่หลีเมื่อเห็นการแสดงออกของซูจิ่นซีก็รู้แล้วว่าตนเองเดาถูก ลวี่หลียกยิ้มอย่างดีใจแล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้คุณหนูกับอนุซุนคุยกันเรื่องจะช่วยคุณหนูรักษาพิษ แล้วคุณหนูก็ได้ยาตงเออเออเจียวมาจากอนุซุนอีกด้วย ทว่าท่านยังคงขมวดคิ้ว จะต้องมียาบางอย่างขาดไปใช่หรือไม่เจ้าคะ? ”
ซูจิ่นซีมองสาวใช้ผู้นี้แตกต่างออกไปในทันที
“ไม่เลว ไม่ใช่คนโง่นี่ ถือว่าใช้ได้”
“เช่นนั้นคุณหนูจะยอมเชื่อใจข้าน้อยหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีครุ่นคิดสักพัก นางกระดิกนิ้วชี้เพื่อบอกใบ้ให้ลวี่หลีเข้ามาใกล้ๆ
ลวี่หลีเดินเข้ามาที่ข้างตัวซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีกระซิบถามว่า “เจ้ารู้จักไป๋ลู่เฉ่าหรือไม่? ”
ลวี่หลีมองไปที่ซูจิ่นซีอย่างแปลกใจ “คุณหนู เจ้าพิษนั่นจำเป็นต้องใช้ไป๋ลู่เฉ่าหรือเจ้าคะ? ”
สกุลซูสมกับเป็นตระกูลหมอที่เก่งกาจที่สุดจริงๆ ขนาดลวี่หลีข้ารับใช้ฐานะเล็กๆ ยังรู้ว่าไป๋ลู่เฉ่าคือยาที่หายาก ไม่แปลกใจที่เจ้าของร่างคนเดิมผู้ซึ่งไม่รู้อะไรเกี่ยวกับยาจะถูกวิจารณ์ว่าเป็นขยะของตระกูลแพทย์
ซูจิ่นซีพยักหน้า
ลวี่หลีตอบกลับอย่างมั่นใจมากว่า “แม้จะพูดว่าเจ้ายาไป๋ลู่เฉ่านี้หายากมาก ทว่าในจวนของพวกเรามีอยู่ต้นหนึ่ง มันถูกปลูกไว้ที่ลานของเรือนคุณหนูซูเมิ่งเหยาเจ้าค่ะ”
อยู่ที่ซูเมิ่งเหยาหรือ?
เมื่อนึกถึงลางสังหรณ์ที่ซูจิ่นซีมีต่อซูเมิ่งเหยาแล้ว ซูจิ่นซีก็ทราบได้ทันทีว่า การที่จะไปเอายาไป๋ลู่เฉ่ามาจากซูเมิ่งเหยานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ไม่แน่ว่าพิษที่แปลกประหลาดในตัวของนางนี้ อาจเกี่ยวข้องกับซูเมิ่งเหยาก็เป็นได้