ในลานดอกบัว ซูจิ่นซีศึกษาและทำการผลิตยาถอนพิษเจ็ดแมลงเจ็ดสีออกมาได้แล้ว
ตัวยาสีขาวขุ่นเป็นมันเงาใสและรสชาติก็ใช้ได้
ซูจิ่นซีตรวจสอบพิสูจน์ตัวยาอย่างระมัดระวังหลายครั้ง เมื่อมั่นใจว่าจะไม่ส่งผลเสียในภายหลังจึงกินเข้าไป
แม่นมจางและข้ารับใช้หญิงชราอีกหลายคนนำชุดมงคลมารออยู่ที่หน้าประตูเป็นเวลานานแล้ว แม้ว่าพวกนางจะหงุดหงิดร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าก่อนหน้านี้ที่พวกนางได้เห็นฮั่วซื่อเสียเปรียบและตกอยู่ในกำมือซูจิ่นซีมาก่อน ข้ารับใช้หญิงชราเหล่านี้จึงไม่กล้าที่จะพูดมากหรือเข้ามาเร่งรัดซูจิ่นซีแม้แต่น้อย
เมื่อถึงเวลายามสอง ลวี่หลีจึงจะเปิดประตูให้เหล่าหญิงชราเข้ามาในเรือน
หลายคนช่วยกันเปลี่ยนเสื้อผ้าหวีผมล้างหน้าให้ซูจิ่นซีด้วยความเคารพยินดี ทว่าในสายตาของพวกนาง ลับๆ แล้วยังคงสะท้อนความรู้สึกผ่านแววตาราวกับว่าเห็นผีอยู่ตลอด
แม้ว่าซูจิ่นซีจะกลับมาเป็นปกติดีแล้ว ทว่านางยังคงมีหน้าตาอัปลักษณ์ หากจวนโยวอ๋องไว้ชีวิตนางให้รอดพ้นผ่านคืนวันอภิเษกสมรสไปได้สิแปลก
เหล่าหญิงชราอดคิดไม่ได้ว่าวันนี้สีผิวซูจิ่นซีช่างดูหมองคล้ำด้วยความอคติจนเคยชิน เช่นนั้นซูจิ่นซีจะต้องมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานเป็นแน่
หลังจากช่วยกันสวมใส่เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับตกแต่งให้แก่ว่าที่เจ้าสาวแล้ว เหล่าข้ารับใช้หญิงชราก็โค้งคำนับซูจิ่นซีอย่างเคารพและทยอยเดินออกจากสวนดอกบัวไป
ซูจิ่นซีสวมไก้โทว [1] นั่งเงียบๆ บนตั่งเตียงเพื่อรอว่าที่พระสวามีมารับ
ทว่ารอแล้วรอเล่าจนผ่านพ้นเวลามงคลก็แล้ว ยังไม่เห็นแม้แต่เงาขบวนเสด็จจากจวนโยวอ๋องเลย
“ไม่ใช่ว่าโยวอ๋องไปได้ยินเรื่องอันใดมา แล้วจึงคิดถอนหมั้นไม่ยอมอภิเษกสมรสเสียแล้วกระมัง”
“แม้ว่าบุคลิกของโยวอ๋องจะเย็นชาและแปลกประหลาดไปบ้าง ทว่าเท่าที่ข้าได้ยินมา ท่านอ๋องมีใบหน้าที่หล่อเหลาเอาการ แล้วเจ้าดูหน้าของคุณหนูเจ็ดนั่นสิ บุรุษใดจะยอมรับได้”
“หากโยวอ๋องไม่อยากได้คุณหนูเจ็ด เช่นนี้ก็ถือว่าคุณหนูเจ็ดโดนถอนหมั้นถึงสองครั้ง และล้วนเป็นการถูกถอนหมั้นจากราชวงศ์เสียด้วย แล้วต่อไปจะยังมีบุรุษที่ใดกล้าแต่งกับนางอีกเล่า”
“หึๆ คนที่น่ารังเกียจเช่นนาง ยังจะหวังแต่งออกไปอีกหรือ? น่าขำสิ้นดี! แม่พันธุ์สุกรในชนบทเมื่อเทียบกับนางแล้วยังดีกว่าไม่รู้เท่าไร! ”
ไม่ว่าจะเป็นข้ารับใช้ของเหล่าอนุ หรือคุณหนู คุณชาย ที่รวมตัวอยู่ในห้องรับแขกจวนสกุลซู ต่างรวมหัวกระซิบกระซาบกันเป็นการส่วนตัว ยิ่งพูดก็ยิ่งเกินความจริงไปมาก และเมื่อผู้คนจับกลุ่มพูดคุยกันมากขึ้นเรื่องจึงไปถึงหูของลวี่หลี
“พวกเขาทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ คุณหนูต้องสั่งสอนพวกเขาเสียหน่อยแล้วเจ้าค่ะ! ”
ซูจิ่นซีไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ เพราะในเวลานี้ใบหน้าของนางปวดตึงมาหลายชั่วยามแล้ว
“ลวี่หลี เจ้าช่วยหยิบกระจกมาให้ข้าหน่อยสิ ไม่รู้ว่าหน้าของข้าเวลานี้เป็นอย่างไรบ้าง ปวดไปหมดเลย! ”
ซูจิ่นซีพูดไปพร้อมกับยกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวขึ้น
เมื่อได้ยินเสียง ลวี่หลีจึงหันกลับมา ไม่รู้ว่านางเห็นสิ่งใดเข้า ลวี่หลียกมือทั้งสองขึ้นปิดปากด้วยความประหลาดใจ ดวงตาของนางเบิกกว้างขึ้นในทันที
“สวรรค์! ”
……
ณ ห้องโถงใหญ่จวนสกุลซู
ฮั่วซื่อ ซูจ้ง รวมไปถึงเหล่าอนุ คุณชาย คุณหนูที่นั่งรออยู่ก็เริ่มจะอดรนทนต่อไปไม่ไหวกระทืบเท้าด้วยความโกรธเสียแล้ว
ที่จริงแล้วฮูหยินฮั่วซื่อก็ทนรอไม่ไหวเช่นกันจึงส่งคนไปดูสถานการณ์ที่หน้าประตูจวนโยวอ๋อง
เมื่อกลับมาแล้วจึงรายงานทันทีว่าจวนโยวอ๋องเงียบสงบมาก ดูไม่เหมือนมีการจัดงานมงคลใดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
ไม่เพียงแต่ไร้ซึ่งเงาผู้ที่คอยรับแขกเท่านั้น แม้แต่ผ้าแดงที่ใช้ในงานมงคลสักผืนก็ไม่มีเสียด้วยซ้ำ
ซูจ้งตกใจจนลุกขึ้นจากเก้าอี้ในทันที
“ทำไม… เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? ”
อนุหลิวไม่ได้สนใจอันใดทั้งยังยิ้มอย่างเย็นชา “จะเรื่องอันใดกัน? ไม่ยอมแต่งอย่างไรเล่า! ผู้ใดใช้ให้ชื่อเสียงเรียงนามของคุณหนูเจ็ดกระฉ่อนไปถึงด้านนอกกัน! หึๆ ”
ซูจ้งได้ยินคำพูดประชดที่ไร้สาระของอนุหลิวจึงมองตำหนินางด้วยความไม่สบอารมณ์ยิ่ง
“วันมงคลเช่นนี้ อย่ากวนโมโหจนทำให้ตาแก่อย่างข้าหน้านิ่วคิ้วขมวดไปหน่อยเลย รีบกลับเรือนของเจ้าไปเสีย! ”
อนุหลิวสบถขึ้นอย่างไม่ชอบใจแล้วพาตัวของนางเดินออกจากประตูห้องโถงใหญ่ราวกับว่าไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น
“ข้าก็ไม่อยากจะอยู่ที่นี่ให้สิ้นเปลืองเวลาเช่นกัน สู้กลับไปนอนหลับให้สบายดีกว่า! วันนี้เป็นวันมงคลก็จริง ทว่าใครจะรู้ว่าพรุ่งนี้อาจจะต้องจัดงานศพก็เป็นได้”
ซูจ้งโกรธจนกัดฟันกรอด ทว่าก็ยอมรับว่าที่อนุหลิวพูดอาจเป็นเรื่องจริง
โยวอ๋องมีชื่อเสียงแปลกประหลาดร้อยแปดพันเก้าเกี่ยวกับความน่าสะพรึงกลัว แต่ไหนแต่ไรมาจวนโยวอ๋องก็เหมือนนรกในเก้าโลกใต้พิภพอยู่แล้ว เมื่อซูจิ่นซีต้องสมรสให้แก่โยวอ๋องก็เปรียบเสมือนเท้าข้างหนึ่งของนางก้าวเข้าสู่วังวนแห่งนรกแล้วก้าวหนึ่ง
แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมา ซูจ้งจะไม่ชอบหน้าบุตรสาวผู้นี้เท่าไรนัก ทว่าอย่างไรก็ตาม นางก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคนผู้นั้นที่เขารับปากไว้ว่า…
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ซูจ้งก็ขมวดคิ้วและตัดสินใจอย่างแน่วแน่
ฮั่วซื่อที่กำลังครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายจึงตัดสินใจตะโกนออกไป “เรียกคนมาที! จ้างคนสองสามคนให้แบกเกี้ยวพาคุณหนูเจ็ดไปส่งที่จวนโยวอ๋อง! ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ! พวกเราต้องเป็นคนจัดขบวนเองหรือ? ”
ซูจ้งยากที่จะเชื่อเหลือเกิน
ดวงตาของฮั่วซื่อมองอย่างแข็งกร้าว “หากเราไม่จัดขบวนเองแล้วจะทำอย่างไรเล่า? จะยอมให้คนทั้งเมืองตี้จิงหัวเราะเยาะจวนสกุลซูหรือ? ”
“ในเมื่อโยวอ๋องไม่ยอมแต่ง พวกเราดึงดันส่งนางเข้าไป จิ่นซีอาจต้อง… ”
‘ไม่มีชีวิตรอด’ ซูจ้งไม่แม้แต่จะกล้าเอ่ยคำเหล่านี้ออกมา ทว่าฮั่วซื่อยังยืนยันในความคิดของตนเองอย่างแน่วแน่ “อย่างนั้นก็จัดการตามนี้ เรื่องภายในจวนนี้ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลอันใดให้มากความ! ”
ซูจ้งมีฮั่วซื่อเป็นฮูหยินที่เข้มงวด และเขาเองก็ไม่สามารถตอบโต้นางได้แม้เพียงนิด เมื่อถูกย้อนศรกลับมา ซูจ้งจึงทำได้เพียงกลืนน้ำลายตนเองและเก็บทุกอย่างไว้ในใจ
เดิมทีเมื่อฮั่วซื่อรับรู้จากซูเมิ่งเหยาว่า ซูจิ่นซีกับโยวอ๋องกระทำเรื่องที่ไม่อาจแก้ไขได้ไปแล้ว อีกใจหนึ่งฮั่วซื่อก็ไม่อยากให้ซูจิ่นซีมีชีวิตรอดแต่งเข้าจวนโยวอ๋องเพราะนางอาจใช้ฐานะพระชายาของโยวอ๋องกดหัวคนของจวนสกุลซูก็เป็นได้
บัดนี้ดูจากท่าทีของจวนโยวอ๋องแล้ว คำพูดของซูเมิ่งเหยาอาจต้องประเมินดูอย่างรอบคอบอีกครั้งว่าเป็นความจริงหรือไม่
ในเมื่อโยวอ๋องทำราวกับไม่ยินยอมอภิเษกสมรสด้วย แม้แต่งานมงคลภายในจวนก็ยังไม่จัดเตรียม การบีบบังคับซูจิ่นซีให้เข้าไปในจวนโยวอ๋องก็เท่ากับว่าส่งนางไปสู่นรกและในท้ายที่สุดนางก็จะต้องตายแบบไม่ต้องสงสัยอย่างแน่นอน
เมื่อถึงเวลานั้นฮั่วซื่อก็จะไม่ต้องกังวลกับอนาคตของซูจิ่นซี เพราะเหตุใดนางจะต้องกังวลกับผู้ที่ตายไปแล้วเล่า?
……
ในสวนดอกบัว แม่นมจางก้าวเข้าประตูมาเอ่ยเรียกซูจิ่นซี “คุณหนูเจ็ด เกี้ยวมาแล้วเจ้าค่ะ เชิญคุณหนูออกมากับข้าน้อยเพื่อไปขึ้นเกี้ยวเถิดเจ้าค่ะ! ”
ซูจิ่นซีได้รับการช่วยเหลือจากแม่นมจางและลวี่หลี นางเดินบนพรมแดงสีสดไปยังหน้าประตูของจวนสกุลซู
แม้ว่าจวนโยวอ๋องจะไม่จัดงานมงคล ทว่าจวนสกุลซูก็ไม่กล้าละเลย เป่าขลุ่ยตีกลอง จำต้องแสร้งทำบรรยากาศให้ครื้นเครงสนุกสนานและปิติยินดี
ให้รู้กันไปว่าบุตรสาวจวนสกุลซูจะแต่งเข้าจวนโยวอ๋อง หน้าประตูจวนสกุลซูเต็มไปด้วยผู้คนที่มาเพื่อแสดงความยินดีและผู้คนที่มารอชมเรื่องน่าตลกขบขัน
ทั้งเมืองตี้จิงราวกับว่ามีคนหลายหมื่นคนกำลังคอยมุงดู
“เจ้าสาวคนใหม่กำลังจะขึ้นเกี้ยวแล้ว! ”
เสียงตะโกนของผู้แบกเกี้ยว พวกเขาวางเกี้ยวลง ขณะที่ซูจิ่นซีที่สวมผ้าคลุมศีรษะกำลังเดินไปที่เกี้ยวโดยมีคนคอยพยุงอยู่ด้านหลังของนาง
“ท่านอ๋องเล่า? ”
“จริงด้วย ท่านอ๋องหายไปไหน? ”
“ไม่ใช่ว่าเวลานี้เจ้าบ่าวต้องพาเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวหรอกหรือ? เหตุใดจึงไม่เห็นหน้าท่านอ๋องเลย? ”
“น่าขันเสียจริง โยวอ๋องฐานะสูงส่งเช่นนั้น เป็นไปได้อย่างไรว่าจะมายังสถานที่ต่ำต้อยเช่นสกุลซู? ”
“มิใช่ว่าโยวอ๋องไม่ต้องการลดฐานะลงมา ทว่าอาจเป็นเพราะท่านอ๋องไม่ต้องการจัดงานมงคลนี้เสียด้วยซ้ำกระมัง! พวกเจ้ายังไม่รู้ใช่หรือไม่ว่า? ที่จวนโยวอ๋องไม่มีการจัดงานมงคลอันใดเลย แม้แต่ขบวนเจ้าบ่าว สกุลซูก็เป็นคนจัดทำขึ้นเอง”
“โอ้ จัดการเองเลยหรือ? ที่แท้คุณหนูเจ็ดแห่งสกุลซูผู้นี้ ช่างไม่กลัวตนเองขายหน้า? ”
“คนน่ารังเกียจเช่นนาง ยังจะไว้หน้าตนเองอีกหรือ? ”
“ฮ่าๆๆ จริงด้วยสิ นางโตมาน่าเกลียดปานนั้น ไม่ต้องไว้หน้าก็ยังอยู่ได้! ”
การสนทนาในฝูงชนทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และซูจิ่นซีก็ได้ยินทุกประโยคอย่างชัดเจน
นางหยุดอยู่ที่หน้าเกี้ยวทันที พลางกำมือแน่น
ที่แท้จวนโยวอ๋องก็ไม่อยากจัดงานมงคลนี้
ที่แท้ขบวนรับเจ้าสาวก็เป็นจวนสกุลซูที่จัดขึ้น
และนางกลายเป็นตัวตลกในสายตาผู้คนไปเสียแล้ว
พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า ข้าซูจิ่นซีผู้นี้ไม่ใช่ซูจิ่นซีคนเดิม!!!
“ซูจิ่นซี! ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงและบรรยากาศแห่งความโกรธพลุ่งพล่านอยู่เหนือศีรษะนาง
ในขณะเดียวกันลมพายุที่รุนแรงได้พัดไก้โทวของซูจิ่นซีให้เลิกขึ้น
ซูจิ่นซีหันหลังย้อนกลับมาตามเสียงเรียก นางเห็นผ้าคลุมสีแดงฉูดฉาดโบกสะบัดอยู่ทั่วนภา และบุคคลผู้หนึ่งค่อยๆ ร่อนลงมาจากท้องฟ้า นางตกตะลึงในทันที
เยี่ยโยวเหยา เยี่ยโยวเหยามาแล้ว!!!
และในเวลานี้ฝูงชนที่ล้อมชมจึงทันได้เห็นใบหน้าที่งดงามเหนือคำบรรยายหลังจากที่ล้างพิษสมบูรณ์แล้วของซูจิ่นซี ทว่าเมื่อผ้าคลุมศีรษะลอยตกลงมาคลุมใบหน้าของนาง ผู้คนก็หายจากอาการตื่นตกใจในทันที
ผิวขาวกระจ่างใส คิ้วดำวาบวับดุจปีกผีเสื้อ จมูกกลมมนเหมือนเกาลัดสวยสง่า ริมฝีปากบางแดงดุจผลอิงเถา
งามสง่าเสียจนฝูงชนแทบไม่กะพริบตา
บุตรสาวคนที่เจ็ดของสกุลซูเป็นสตรีที่ทั้งโง่เง่าและขี้ริ้วขี้เหร่ไม่ใช่หรอกหรือ?
นางใช่นางเดิมหรือ?
เหตุใดเมื่อเติบโตมาจึงเลอค่าได้ถึงเพียงนี้ ราวกับสาวงามที่หลุดออกมาจากภาพวาดในวรรณคดีก็ไม่ปาน?
……