สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน – ตอนที่ 14 ตำหนักบูรพาและการแพ้ใจตนเอง

        ทั้งร่างซูจิ่นซีรู้สึกแสบร้อน เนื่องจากสูญเสียเลือดจำนวนมากเกินไป ทำให้ซูจิ่นซีหมดสติไปอย่างรวดเร็ว

        กระทั่งทินกรลาลับ ผืนนภาประดับไปด้วยแสงสายัณห์ในยามตะวันรอน เยี่ยโยวเหยาจึงเริ่มมีสติรับรู้ขึ้นมาอย่างช้าๆ

        เขาเหลือบมองทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าอย่างเฉยเมยและไม่สนใจใยดี จัดเสื้อผ้าของตน เหยียบชุดแต่งกายของซูจิ่นซีและเดินออกจากประตูไปอย่างไม่นำพา

        พ่อบ้านเฒ่า ทหารและข้ารับใช้ด้านนอกห้องบรรทมตำหนักฝูอวิ๋นต่างก็พยักหน้าเคร่งขรึม พอเห็นเยี่ยโยวเหยา พ่อบ้านเฒ่าจึงรีบลุกขึ้นเข้าเฝ้าอย่างรวดเร็ว

        เยี่ยโยวเหยามองดูโคมแดง ผ้าประดับและกระดาษหลากสีสันราวกับกำลังสร้างบรรยากาศชื่นมื่นในสวนนั่นอย่างเย็นชา และถามด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ใครเป็นคนสั่งให้แขวน? ”

        พ่อบ้านเฒ่ารับรู้ได้ถึงความผิดปกติในน้ำเสียง และคิดได้ทันทีว่าตนอาจเข้าใจความหมายในเจตนาของท่านอ๋องผิดไป จึงคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อยอมรับความผิด

        “เป็นข้าน้อยทำเองพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจะสั่งให้คนรื้อเดี๋ยวนี้! ”

        เยี่ยโยวเหยามองไปรอบๆ ลานบ้านที่เดิมทีเย็นยะเยือกและเงียบสงัดคล้ายเกิดความอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เนื่องจากผ้ามงคลสีแดงเหล่านั้น

        “ในเมื่อแขวนแล้วก็แขวนไป! ”

        พูดจบเยี่ยโยวเหยาก็หันหลังเดินออกไปนอกเรือนชิงโยว ทหารหลายนายและเหล่าองครักษ์เงาตามติดไปทันที

        พ่อบ้านเฒ่าและผู้ที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนต่างพากันตกตะลึง หลังจากนั้นครู่ใหญ่จึงค่อยๆ หันศีรษะกลับไปยังห้องบรรทมในตำหนักฝูอวิ๋น เสียงประหลาดและน่าละอายในห้องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะยังก้องอยู่ในโสตประสาทของทุกคน

        สตรีผู้นี้ สำหรับท่านอ๋องแล้ว นางช่างไม่เหมือนผู้อื่นเสียจริง!

        เมื่อเช้าวันนี้ สุริยันขึ้นทางทิศตะวันตกหรือไม่?

        ซูจิ่นซีตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ดวงจันทร์ก็อยู่ตรงกับศีรษะของนางพอดิบพอดี

        พื้นที่นองไปด้วยโลหิตของตน ถ้วยและของประดับตกแต่งที่แตกละเอียด ผู้อื่นที่ไม่ทราบเรื่องราวอาจคิดว่าในเรือนหอนี้ได้เกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงขึ้น

        ซูจิ่นซีขยับตัวได้เพียงเล็กน้อย ร่างกายที่เจ็บปวดรวดร้าวราวกับฉีกขาดของนาง ทำให้นางคล้ายเกิดอาการกระตุกเกร็ง

        พ่อบ้านเฒ่าและบ่าวรับใช้สองถึงสามนายคอยเฝ้าอยู่หน้าประตูและไม่กล้าเข้าไป ทว่าเมื่อได้ยินเสียงของซูจิ่นซีเคลื่อนไหวพวกเขาจึงรีบถามอย่างเคารพ “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ท่านตื่นแล้วใช่หรือไม่? ข้าน้อยจะได้ให้นางกำนัลเข้าไปปรนนิบัติพ่ะย่ะค่ะ! ”

        ตอนนี้ซูจิ่นซีไม่เหลือแรงจะขยับตัวได้เลย หากไม่หาคนมาช่วยอาจขยับไม่ได้เป็นแน่ เช่นนั้นนางจึงรีบจัดการสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย

        “เข้ามาเถิด! ”

        ผู้ที่เข้ามาก่อนคือสตรีวัยกลางคนอายุราวๆ สี่สิบถึงห้าสิบปี เนื่องจากในห้องบรรทมไม่มีตะเกียงไฟและมืดสนิท เมื่อสตรีวัยกลางคนถือตะเกียงไฟเข้ามาและมองเห็นทุกอย่างภายในห้องชัดเจนแล้ว นางก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น

        เรื่องอย่างว่าของโยวอ๋องช่างทำเกินไปแล้ว เช่นนี้พระชายาจะทนรับไหวได้อย่างไรกัน?

        จากนั้นนางก็เหลือบเห็นซูจิ่นซีที่ทั้งผมเผ้าและเสื้อผ้าต่างก็ยุ่งเหยิงนอนขดตัวอยู่บนพื้น เมื่อมองดูผ้าปูที่นอนที่เรียบร้อยราวกับไม่ถูกแตะต้องแม้เพียงนิดบนเตียงนั่น ทำให้นางประหลาดใจมากยิ่งขึ้น

        ความชอบพิเศษของท่านอ๋องนี่ ช่างไม่เหมือนผู้อื่นเสียจริง!

        ซูจิ่นซีไม่มีแรงที่จะวิเคราะห์เรื่องการแสดงออกของสตรีวัยกลางคนผู้นี้ นางขมวดคิ้วแล้วยื่นมือของไป “รีบมาพยุงข้าหน่อย ข้าขยับตัวไม่ไหวแล้ว”

        สตรีวัยกลางคนรีบเข้าไปพยุงซูจิ่นซีทันที ทว่าแรงของนางก็ไม่ได้มีมากนักจึงไม่สามารถช่วยพยุงซูจิ่นซีขึ้นมาได้ เพียงแค่ประคองไม่ถูกตำแหน่งก็สามารถทำให้ซูจิ่นซีเจ็บปวดจนร้องโหยหวนออกมา

        ท้ายที่สุดแล้ว จึงต้องเรียกทหารสองถึงสามนายเข้ามาช่วยพยุงซูจิ่นซีขึ้นมานอนบนเตียง

        ข้ารับใช้ต่างเข้ามาทำความสะอาดและจัดเก็บข้าวของ พ่อบ้านเฒ่าเคาะประตูแล้วตามเข้ามาด้วยท่าทีที่เคารพ

        “พระชายาอ๋อง ข้าน้อยได้ส่งคนไปถามท่านอ๋องแล้วว่าจะให้พระชายาประทับอยู่เรือนใด ท่านอ๋องกล่าวว่า เรือนของท่านคือเรือนอวิ๋นไคที่อยู่ทางทิศประจิม ข้าน้อยได้ให้คนไปทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว พระชายาจะย้ายไปเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ”

        เรือนอวิ๋นไค?

        เดิมทีคิดว่าท่านอ๋องที่เย็นชาถึงเพียงนั้น เมื่อทราบว่านางกระทำเรื่องใดกับตนแล้ว ซูจิ่นซีอาจไม่มีชีวิตรอดต่อไปเป็นแน่ ทว่านึกไม่ถึงว่ายังปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่ต่อ

        ซูจิ่นซีเงยหน้าขึ้นมองไปยังทางทิศประจิมผ่านหน้าต่าง ดวงจันทร์สว่างไสว ‘เรือนอวิ๋นไค’ มองเห็นได้อย่างสะดุดตา ช่างเป็นเรือนที่สูงและเด่นสง่า

        นี่เป็นสิ่งเดียวที่นางรู้สึกได้หลังจากย้อนยุคมายังโลกใบนี้ เป็นครั้งแรกที่ทำให้นางรู้สึกถึงการเป็นเจ้าของและเป็นสถานที่ที่ทำให้นางรู้สึกปลอดภัยได้

        น้ำตาของซูจิ่นซีเอ่อคลอ คล้ายปวดเบ้าตาทั้งสองข้าง

        ทว่านางก็หวังว่าที่นี่จะสามารถอยู่ได้อย่างอิสระและไม่มีเรื่องเลวร้ายใดจะย่างกรายเข้ามาในชีวิตตนอีก

        “ตอนนี้พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด! ”

        พ่อบ้านเฒ่าให้คนพาซูจิ่นซีย้ายเข้าไปที่เรือนอวิ๋นไค

        หลังจากนั้นซูจิ่นซีก็ให้พ่อบ้านเฒ่าไปเชิญหมอมาต่อกระดูก หมอวินิจฉัยแล้วว่าซี่โครงของซูจิ่นซีหักสองซี่ กว่าจะต่อกระดูกเสร็จเรียบร้อยก็เสียเวลาไปครึ่งคืน หลังจากนั้นซูจิ่นซีก็นอนหลับไปอย่างเงียบๆ

        เช้าวันต่อมาข่าวลือต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองตี้จิง

        ข่าวลือที่ว่าคือ โยวอ๋องอดใจรอซูจิ่นซีขึ้นเกี้ยวมาหาที่จวนไม่ไหว จึงไปหานางถึงที่ประตูจวนสกุลซูและเป็นคนพานางไปเสียเอง

        ข่าวลือที่ว่า ซูจิ่นซีไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อย่างที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้ ทว่ากลับเป็นสตรีที่โสภาราวกับหยกนิล

        และยิ่งไปกว่านั้นคือ ข่าวลือว่าภายในห้องบรรทมตำหนักฝูอวิ๋นระหว่างซูจิ่นซีกับโยวอ๋องมีการเคลื่อนไหวที่ครั่นคร้ามจนสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เป็นเหตุให้กระดูกซี่โครงของซูจิ่นซีหักสองซี่และไม่สามารถลุกจากเตียงได้เป็นเวลาสามเดือน

        ภายในกำแพงสีแดงสูงตระหง่านของตำหนักตงกง

        เยี่ยเซินคู่หมั้นคนก่อนของซูจิ่นซี หรือก็คือผู้ที่เป็นไท่จื่อในปัจจุบันนั้น บัดนี้ทรงเกรี้ยวโกรธจนกวาดกระดาษ หินหมึก แท่งหมึกและสิ่งของทุกอย่างลงจากโต๊ะ

        “อันใดกัน โยวอ๋องรักษาพิษหายแล้ว? ถึงได้ไปรับเจ้าโง่ซูจิ่นซีนั่นที่จวนสกุลซูด้วยตนเองหรือ? ”

        ขันทีผู้เฝ้าติดตามคุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้นรายงานข่าวที่ได้ฟังมา

        “รายงานฝ่าบาท เรื่องจริง… เรื่องจริงเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ โยวอ๋องไม่มีท่าทีคล้ายคนถูกพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ จึงไปรับซูจิ่นซีที่หน้าประตูจวนสกุลซูด้วยตนเอง ได้ยิน… ได้ยินว่าโปรดปรานซูจิ่นซีผู้นี้เป็นอย่างยิ่งอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ… ”

        “มิใช่ว่าซูจิ่นซีกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือนไปแล้วหรืออย่างไร? อีกอย่างหน้าตาก็น่าเกลียดน่าชัง ที่ว่ามีโฉมหน้าที่งดงามนั่นมันด้วยเหตุใดกัน? ”

        “ใบหน้าที่มีรอยพิษของนางเหมือนจะหายดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ สวยสง่าจนผู้คนต่างตกตะลึง เวลานั้นในเมืองตี้จิงหลายคนที่เฝ้ามองประตูจวนสกุลซูต่างก็เห็นเป็นสิ่งเดียวกัน ข้าน้อยไม่กล้าปดฝ่าบาทอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นข้างนอกนั่นยังมีอีกข่าวลือ… ข่าวลือ… ”

        “ขันทีไร้ค่า ข่าวลืออันใด รีบพูดออกมา! ”

       เยี่ยเซินใช้เท้าถีบไปยังขันทีผู้ต่ำต้อยอย่างรุนแรง

        ขันทีน้อยรีบพลิกตัวกลับมาคุกเข่าอีกครั้งทันที “ข่าวลือว่าฝ่าบาทไม่รู้จักของดี มีตา… หามีแววไม่… พลาดคุณหนูเจ็ดแห่งสกุลซูภายหลังจะต้องเสียใจเป็นแน่”

        ขันทีน้อยพูดจบก็คาดว่าวันนี้หัวของตนอาจจะต้องหลุดออกจากบ่า

        “ขันทีไร้ประโยชน์ เจ้าพูดจาเหลวไหล ไร้ประโยชน์สิ้นดี ไป! ออกไปให้พ้นจากหน้าข้า…… ”

        เยี่ยเซินโกรธมากจนเสียสติไปแล้ว

        เดิมทีเยี่ยเซินคิดว่าหากตนเองมีคนโง่เง่าและน่าเดียดฉันท์เช่นซูจิ่นซีเป็นพระชายา อาจทำให้ชีวิตตนต้องพบเจอกับความอัปยศ จึงถือโอกาสนี้ไปขอเข้าเฝ้าพระบิดา ให้พระองค์พระราชทานงานอภิเษกสมรสระหว่างซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาที่ไปทำสงครามมาและได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งยังได้รับพิษที่ไม่มียาตัวใดสามารถรักษาให้หายได้แทนตนเอง เยี่ยเซินนึกจะอาศัยเยี่ยโยวเหยาที่อำมหิตและไม่ชอบสตรีผู้นั่น ทำให้ซูจิ่นซีตายตกอย่างไม่มีมูลเหตุให้ผู้คนต้องสงสัยในข้อเท็จจริง

        แผนนี้เดิมทีออกแบบมาเพื่อฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว ไม่เพียงแต่ปฏิเสธซูจิ่นซี ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้เยี่ยโยวเหยาอับอายขายหน้าอย่างรุนแรงอีกด้วย

        ทว่านึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องจะกลับกลายเป็นเช่นนี้

        ไม่เพียงแต่อาการบาดเจ็บและอาการจากการถูกพิษนั้นของเยี่ยโยวเหยาจะหายดีแล้ว ซูจิ่นซีก็หายจากโรคสติฟั่นเฟือนอีกด้วย ใบหน้าที่มีรอยพิษนั่นก็หายขาด ทำให้ตนกลายเป็นตัวตลกให้ผู้คนหัวเราะเยาะ

        สามวันก่อนตนกับซูเซียนฮุ่ยยังบีบเค้นซูจิ่นซีอยู่ที่ห้องด้านหลังจวนสกุลซู เพื่อตามหาหยกกิเลนอยู่เลย!

        ในเวลานั้นซูจิ่นซียังเป็นเพียงสตรีโง่เง่า มีรอยพิษบนใบหน้าที่โสมมชวนอาเจียน เหตุใดจู่ๆ นางจึงกลายเป็นสตรีที่งดงามขึ้นได้กัน?

        เยี่ยเซินคิดจนปวดหัวคร่ำครวญจนปวดใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถเข้าใจได้

        ซูจิ่นซี!

        เยี่ยโยวเหยา!

        พวกเจ้าน่ารังเกียจกันทั้งคู่!

        เยี่ยเซินยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ คล้ายดั่งโลหิตจุกอยู่ที่อก แทบจะทะลุพุ่งออกมาทางปากกระจายไปทั่วพื้น

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน สามพันปีก่อนที่แผ่นดินเทียนเหอจะได้รับการจดบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ สกุลซู ตระกูลแพทย์ที่เก่าแก่และร่ำรวยแห่งแคว้นจงหนิง ภายในห้องที่รกร้างทรุดโทรมห้องหนึ่ง บุตรสาวคนที่เจ็ด ‘ซูจิ่นซี’ เสื้อผ้าขาดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลถูกมัดติดกับเสา ข้างกายคือสาวงามนางหนึ่ง นางสวมอาภรณ์หรูหรา ในมือถือกริชค่อยๆ เฉือนลงบนร่างกายของซูจิ่นซี “ไอ้โง่ เจ้ายังไม่ยอมอ้าปากพูดอีกหรือ หยกกิเลนอยู่ที่ใด” ร่างของซูจิ่นซีสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ทว่าปากก็ยังถูกปิดสนิทให้ไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว ดวงตาสีเข้มมืดมนคลอด้วยหยาดน้ำตา ส่งสายตาวิงวอนต่อสาวงามนางนั้น หญิงสาวยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วดึงผ้าที่อุดปากซูจิ่นซีออก สาวงามตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “พูด! ” แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะร้องไห้ส่งเสียงดังสนั่นราวกับเด็กน้อยขึ้นมา “พี่หญิงเป็นคนหลอกลวง ฮือ…ฮือฮือ…บอกว่าจะให้ข้ากินปลา ท่านพี่หลอกข้า ฮือฮือ ลวี่หลี… ข้าเจ็บเหลือเกิน! ลวี่หลี…ฮือฮือฮือ…ข้าเลือดไหล ลวี่หลี…” ดวงตาส่องประกายของสาวงามหม่นแสงลงทันที กริชในมือยกขึ้นจ่อคอของซูจิ่นซีอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “หุบปาก! หากยังตะโกนอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้! ” ซูจิ่นซีหวาดกลัวเสียจนหยุดส่งเสียงร้องไห้ในทันใด อีกทั้งยังมองสาวงามด้วยแววตาขยาด ทว่าในขณะที่ดวงตาอันสับสนของซูจิ่นซีมองทะลุผ่านสาวงามไปยังบุรุษผู้มีรังสีมืดมนบนเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงแปดเหลี่ยมข้างหลังนาง ซูจิ่นซีก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset